“โม่หว่านไร้วรยุทธ์ไหนเลยจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวบนหลังคาห้องได้ แต่เ้าปุกปุยกลับสามารถ ต่อให้เป็ผู้เยี่ยมยุทธ์มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศอย่างไร ย่อมไม่อาจเทียบได้กับสัญชาตญาณของแมวตัวหนึ่ง คุณชายคิดว่าคำอธิบายของโม่หว่านสมเหตุผลหรือไม่?”
ตอนนั้นเหยาโม่หว่านสังเกตเห็นเ้าปุกปุยมองขึ้นไปบนหลังคาด้วยท่าทางกระตือรือร้นเป็พิเศษจึงคิดว่าอาจมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่้า ด้วยความสามารถของเย่จวินชิง ไหนเลยจะััไม่ได้ดังนั้นการที่เขาไม่แสดงออกย่อมมีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว คือรู้จักกับคนที่อยู่บนหลังคาผู้นั้นแน่นอนว่าทั้งหมดล้วนเป็เพียงการคาดเดาของเหยาโม่หว่านฝ่ายเดียว แต่ความจริงที่ปรากฏก็ชัดเจนแล้วว่าสมมติฐานของนางถูกต้อง
“สตรีเฉลียวฉลาดเช่นแม่นางต้องมาถูกกักขังอยู่ภายใต้กำแพงวังสูงใหญ่ช่างน่าเสียดายยิ่ง หากแม่นางไม่รังเกียจ ยอมติดตามผู้น้อยกลับไปยังป้อมปราสาทเขาเฟิ่งอวี่(ปีกหงส์) หนานเซิงยินดีมอบตำแหน่งฟูเหรินประมุขให้แก่เ้าโดยมิลังเล” เยี่ยนหนานเซิงโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ดุจเพ็ญจันทร์ข้างขึ้นที่ทอแสงนวลกระจ่างกลางเวหาดวงตาหวานปานดอกท้อยิ่งพราวระยับน่ามอง ประหนึ่งจะสะกดิญญาผู้อื่นให้อยู่ในความลุ่มหลง
“ข้าได้ยินวาจานี้ของเ้ามาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งไม่กลัวว่าปราสาทเฟิ่งอวี่จะแออัดยัดเยียดไปด้วยสตรีหรือ” เย่จวินชิงพลันรู้สึกอยากเอาหน้าไปซุกไว้ไกลๆไม่รู้ตนเองไปคบหากับคนเ้าชู้เสเพลเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
“โม่หว่านเสียมารยาทแล้วที่แท้ท่านคือผู้นำยุทธภพนี่เอง ทว่าตอนนี้โม่หว่านยังรู้สึกว่าตำหนักกวานจวีก็ไม่เลวนักแต่ไม่แน่หากอยู่จนรู้สึกเบื่อวันไหน อาจขอติดตามคุณชายไปชมโลกกว้างก็เป็ได้ คุณชายเชิญนั่งก่อน”ตอนแรกที่ได้ยินชื่อเยี่ยนหนานเซิงก็รู้สึกว่าคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อป้อมปราสาทเขาเฟิ่งอวี่ก็ตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือศิษย์พี่ของเย่จวินชิงในกาลก่อน ทั้งดำรงตำแหน่งเ้ายุทธภพคนปัจจุบันป้อมปราสาทเขาเฟิงอวี่เทียบได้กับวังหลวงของหมู่ชาวยุทธ์ ซึ่งมีอำนาจบารมีแผ่ไพศาลไม่อาจดูิ่ได้
“เช่นนั้นตกลงตามนี้หนานเซิงจดจำใส่ใจไว้แล้ว” เยี่ยนหนานเซิงผลิยิ้มเบิกบานอย่างเปิดเผย พลางหย่อนก้นนั่งคั่นกลางระหว่างเหยาโม่หว่านกับเย่จวินชิง
“มิทราบว่าคุณชายจะรังเกียจหรือไม่หากจะมีเ้าปุกปุยร่วมโต๊ะด้วย”เหยาโม่หว่านเอ่ยวาจาอย่างสุภาพอ่อนโยน ั์ตาฉายแววยิ้ม
“รังเกียจ”เย่จวินชิงซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยปากขึ้นมาแทนด้วยน้ำเสียงชิงชัง นึกระแวงอยู่ครามครันว่าเยี่ยนหนานเซิงจะเป็พวกไม่เคารพรักศักดิ์ศรี
“เช่นนั้นขอหวางเยี่ยได้โปรดฝืนใจตนเองสักครู่แล้วกันคุณชายเยี่ยนเชิญ!” สายตาของเหยาโม่หว่านมองไปที่เยี่ยนหนานเซิง หาได้นำพาต่อสีหน้าปานจะกินคนของเย่จวินชิงแม้แต่น้อย
“แม่นางไม่จำเป็ต้องเรียกคุณชายให้ดูเป็พิธีการเกินไปนักเรียกข้าว่าหนานเซิงดีกว่า หรือจะเรียกเซิงเอ๋อร์ไปเลยก็ไม่เลว” เยี่ยนหนานเซิงหรี่ตาเล็กน้อยริมฝีปากบางโค้งขึ้นเป็มุมที่ชวนมอง หันมายิ้มโปรยเสน่ห์ให้กับเหยาโม่หว่าน
“พี่หนานเซิงก็อย่าได้เรียกแม่นางให้ดูห่างเหินอีกเลยเรียกข้าว่าโม่หว่าน หรือหว่านเอ๋อร์ก็ได้” เหยาโม่หว่านซ่อนประกายคมกล้าในแววตา เหลือเพียงความนุ่มนวลอ่อนโยน
“พวกเ้าจะพอกันได้หรือยังเห็นข้าตายไปแล้วหรือไร เยี่ยนหนานเซิง ที่เปิ่นหวางตามเ้ามา หาใช่เพื่อมาชมบุปผาเกี้ยวพาสตรีแต่เรียกให้มาช่วยหาคำตอบว่านางคือผู้ใด ไหนจะยังมีกิจการที่หมั่งหยวนนั่นอีกเื่”ในที่สุดเย่จวินชิงก็ทนไม่ไหวะเิออกมา เขาให้เยี่ยนหนานเซิงลอบตรวจสอบประวัติของเหยาโม่หว่านอยู่ลับๆคืนนี้กะจะวางอำนาจกำราบความจองหองของนางให้ได้ แต่การแสดงออกของเยี่ยนหนานเซิงกลับทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง
“หวางเยี่ยอยู่กับโม่หว่านมานานยังไม่รู้อีกหรือว่าโม่หว่านเป็ใคร ส่วนเื่การค้าในหมั่งหยวนนั้น เป็เพราะพี่ใหญ่เวทนาสงสารที่โม่หว่านโง่เขลาเบาปัญญาซ้ำยังตัวเปล่าไร้ที่พึ่งพิง จึงยกกิจการที่นั่นให้ั้แ่ปีกลายแล้ว ความจริงหวางเยี่ยแค่มาสอบถามกันโดยตรงก็ได้”เหยาโม่หว่านมองเย่จวินชิงด้วยแววตาใสบริสุทธิ์ไร้สิ่งเคลือบแฝง
“อื้ม...นางกล่าวมาไม่ผิด” เยี่ยนหนานเซิงยกมือขึ้นเท้าคางที่งดงามได้รูป พลางผงกศีรษะคล้อยตามเมื่อเห็นเย่จวินชิงลุกขึ้นมาเต้นผางราวกับสายฟ้าฟาด ในส่วนลึกเขากลับรู้สึกสบายใจ
ั้แ่รู้ข่าวการตายของเหยาโม่ซินสหายผู้นี้ก็เหมือนกลายเป็ท่อนไม้ทื่อๆ ไม่ว่าตนเองจะพูดอะไร ทำสิ่งใด ล้วนไม่มีการตอบสนองคนที่หัวใจสลายไปแล้วคงจะเป็เช่นนี้เองกระมัง แต่มาบัดนี้กลับมีสตรีที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้ในที่สุดศิษย์น้องก็กลับมามีชีวิตชีวาเสียที
“อื้มผายลมน่ะสิ!เปิ่นหวางให้เ้าเป็คนพูด” เย่จวินชิงถลึงตาใส่เยี่ยนหนานเซิงอย่างโกรธเกรี้ยว คำพูดของเหยาโม่หว่านตนเองไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
“เ้าพูดหรือข้าพูดต่างกันตรงไหนแต่จะว่าไป หนานเซิงก็มีเื่ที่อยากรู้เหมือนกัน หว่านเอ๋อร์... แท้จริงแล้วเ้าเป็คนเฉียบแหลมเช่นนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรหรือว่าเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อคราที่หลุดรอดออกมาจากหออี๋ชุน?” ตัวเป็ถึงผู้นำยุทธภพเยี่ยนหนานเซิงย่อมมีวิธีตรวจสอบเหยาโม่หว่านอย่างละเอียด เื่มีความเกี่ยวพันมาถึงความปลอดภัยของศิษย์น้องเขาต้องใส่ใจเป็พิเศษ
“ผู้มีคุณธรรมย่อมเห็นความเมตตาผู้มีปัญญาย่อมเห็นแต่ความรู้ [1] อีกอย่างโม่หว่านไม่เห็นรู้สึกว่าตนเองมีสติปัญญาเฉียบแหลมมากมายตรงไหน”เหยาโม่หว่านเอ่ยแทรกมุกตลกขึ้นมา แต่กลับยิ่งทำให้ทั้งเยี่ยนหนานเซิงและเย่จวินชิงรู้สึกเหมือนชมบุปผาท่ามกลางม่านหมอก
...
เชิงอรรถ
[1]เป็ความเปรียบหมายความว่า ต่างคนต่างคิด ต่างจิตใจ ใครชอบอย่างไรก็มักมีความเห็นเช่นนั้นไม่อาจนำความคิดของตนไปประเมินผู้อื่น