ตอนที่ 6 พยัคฆ์คืนถ้ำ
เสียงกลองศึกที่ดังกึกก้องอยู่นอกกำแพงวังนั้น ไม่ใช่แค่สัญญาณของการกลับมา แต่คือเสียงประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย มันดังสะท้อนก้องอยู่ในอกของทุกคนที่ได้ยิน ั้แ่โอรส์บนบัลลังก์ั ไปจนถึงนางกำนัลที่ต่ำต้อยที่สุดในมุมมืดของวังหลวง สำหรับเยว่หลิงแล้ว เสียงกลองแต่ละครั้งเปรียบเสมือนเสียงหัวใจของนางเองที่กำลังเต้นระรัวจนแทบจะแหลกสลาย
พิธีต้อนรับกองทัพผู้มีชัยถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติในวันรุ่งขึ้น ณ ลานกว้างเบื้องหน้าท้องพระโรงไท่เหอ ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยยืนเรียงรายตามลำดับยศภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่องลงมาต้องกับชุดพิธีการหลากสีสันจนดูพร่างพราย เยว่หลิงในฐานะผู้ดูแลโครงการฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพ ได้รับอนุญาตเป็พิเศษจากหลี่ซ่างกงให้ยืนอยู่แถวหลังสุดของเหล่านางกำนัลาุโจากซ่างฝูจวี๋ ซึ่งเป็ตำแหน่งที่ใกล้กับพิธีการมากพอที่จะมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
นางสวมชุดนางกำนัลสีเขียวหยกอ่อนที่เรียบง่าย แต่กลับขับเน้นให้ผิวพรรณของนางดูผุดผ่องและใบหน้าของนางดูงดงามโดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นางไม่ได้ปักปิ่นหรือสวมเครื่องประดับใดๆ ที่หรูหรา ผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็มวยง่ายๆ เผยให้เห็นลำคอระหงที่ขาวสะอาด นางจงใจทำตัวให้ดูธรรมดาที่สุด เพราะในวันนี้ นางไม่ใช่ผู้เล่น แต่เป็ผู้ชม ผู้ชมที่รอคอยการปรากฏตัวของตัวละครเอกอย่างใจจดใจจ่อ
แล้ว่เวลานั้นก็มาถึง
เมื่อเสียงแตรยาวดังกังวานขึ้น ประตูเมืองชั้นในก็ถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นกองทหารม้าเกราะเหล็กนับพันนายที่เคลื่อนขบวนเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงและน่าเกรงขาม ทหารเหล่านี้ไม่เหมือนกองทหารรักษาพระองค์ที่ดูสง่างาม แต่ร่างกายกลับบอบบาง ทหารของจิ้นอ๋องทุกคนล้วนมีผิวสีทองแดงกร้านแดด ร่างกายกำยำล่ำสัน และแววตาที่คมกริบดุจใบมีด บนชุดเกราะและใบหน้าของพวกเขายังคงมีร่องรอยของาแและคราบฝุ่นจากสมรภูมิที่ห่างไกล นี่คือกองทัพที่ผ่านการรบราฆ่าฟันมาอย่างแท้จริง กลิ่นอายแห่งการนองเืและความตายที่แผ่ออกมาจากพวกเขานั้นรุนแรงจนทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องเผลอกลั้นหายใจ
และท่ามกลางกองทัพพยัคฆ์นั้น คือราชสีห์ผู้เป็จ่าฝูง
จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง ควบอาชาสีนิลตัวเดิมที่ดูราวกับหลอมขึ้นมาจากเงาของรัตติกาล บุรุษที่กลับมาในครั้งนี้ ไม่ใช่องค์ชายรูปงามผู้ซ่อนคมเล็บไว้ใต้รอยยิ้มอีกต่อไปแล้ว แต่คือเทพาที่เพิ่งเดินออกมาจากกองเพลิงแห่งสมรภูมิโดยแท้
เขาสวมเกราะหนังสีดำทะมึนที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน บนแผ่นเกราะมีรอยขีดข่วนจากคมดาบและปลายทวนอยู่ประปราย ผ้าคลุมสีแดงเืนกที่เคยสดใส บัดนี้กลับซีดจางและขาดวิ่นเล็กน้อยที่ชายผ้า สายลมฤดูหนาวพัดโบกผ้าคลุมนั้นให้สะบัดพลิ้วไหวราวกับปีกของอินทรีที่เปื้อนเื ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซูบตอบลงเล็กน้อย แต่กลับทำให้โหนกแก้มและสันกรามดูคมคายเด่นชัดขึ้น ผิวของเขาคล้ำขึ้นจากลมแดด และที่สำคัญที่สุด...คือรอยแผลเป็จางๆ ที่พาดผ่านหางคิ้วข้างซ้ายของเขาไปเพียงนิดเดียว
รอยแผลเป็นั้นไม่ได้ทำให้ความงามของเขาลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับเสริมให้เขาดูอันตราย ดุดัน และเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศอย่างถึงขีดสุด มันคือเครื่องหมายแห่งเกียรติยศที่ทำให้สตรีทุกคนที่ได้เห็นต้องใจสั่นระรัว
เยว่หลิงรู้สึกราวกับว่าลมหายใจของนางถูกกระชากออกจากปอดไปชั่วขณะ นางจ้องมองเขาไม่วางตา พยายามจดจำทุกรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาลงในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ นี่คือบุรุษที่นางทั้งหวาดกลัวและปรารถนา บุรุษที่ถือกรรมสิทธิ์ในตัวนางเอาไว้
ขบวนทัพมาหยุดลงเบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ จ้าวเฟิงลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่องอาจและมั่นคง เขาก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นพิธี ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก้มศีรษะคำนับ "กระหม่อมจ้าวเฟิง นำชัยชนะกลับมาถวายฝ่าา และนำความสงบสุขกลับคืนสู่ชายแดนทางเหนือแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
องค์จักรพรรดิเหลียงเจิ้งก้าวลงจากบัลลังก์ชั่วคราวด้วยพระองค์เอง ทรงเข้าไปประคองพระอนุชาให้ลุกขึ้นด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิใจ "ดีมาก! เฟิงเอ๋อร์ เ้าทำได้ดีมาก! เ้าคือเสาหลักที่แท้จริงของต้าเยี่ยน!"
พิธีการดำเนินต่อไปด้วยการพระราชทานรางวัลแก่เหล่าทหารหาญและการกล่าวสดุดีวีรกรรมต่างๆ เยว่หลิงฟังอย่างตั้งใจ แต่ในสมองของนางกลับว่างเปล่า สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงสง่าของเขาเพียงผู้เดียว นางเห็นองค์รัชทายาทที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์มองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน ทั้งชื่นชมและหวาดระแวง นางเห็นจ้าวอ๋อง (องค์ชายรอง) ที่พยายามซ่อนแววตาแห่งความอิจฉาริษยาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่แสดงความยินดี
และแล้ว ่เวลาที่นางรอคอยก็มาถึง...
หัวหน้าขันทีประกาศด้วยเสียงที่ดังกังวาน "และเพื่อเป็การตอบแทนคุณความดีอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ ฝ่าามีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพไข่เสวียนเผา ที่ทรงสั่งทำขึ้นเป็พิเศษให้แก่จิ้นอ๋อง!"
นางกำนัลาุโสองคนประคองถาดไม้จันทน์หอมขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าตาดสีทองออกมาอย่างนอบน้อม บนถาดนั้นคือผลงานชิ้นเอกที่เยว่หลิงได้ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจลงไป
เมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก...
เสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึงก็ดังขึ้นพร้อมกันจากทั่วทุกสารทิศ
ฉลองพระองค์สีดำสนิทที่ปักด้วยลายวิหคเพลิงสีทองนั้น แผ่พลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงออกมาจนทำให้ผู้คนต้องหยุดหายใจ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาต้องกับดิ้นทองคำแท้และไข่มุกราตรีที่ดวงตาของวิหค ทำให้มันดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เปลวเพลิงสีแดงชาดที่ชายเสื้อดูราวกับกำลังลุกโชนและเคลื่อนไหวได้ มันไม่เหมือนฉลองพระองค์ชุดใดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของต้าเยี่ยน มันคือตำนานที่ถูกถักทอขึ้นด้วยเส้นไหมและดวงิญญา
เยว่หลิงกลั้นหายใจจนตัวเกร็ง นางลอบมองปฏิกิริยาของเขา...
จ้าวเฟิงยืนนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องไปยังฉลองพระองค์ไม่วางตา เขาไม่ได้แสดงความยินดีหรือตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ในแววตาของเขากลับฉายประกายที่ลึกล้ำและซับซ้อนอย่างยิ่ง
เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไป ปลายนิ้วที่หยาบกร้านจากการจับดาบ ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามลายปักของวิหคเพลิงอย่างแ่เบาราวกับกลัวว่ามันจะบุบสลาย ราวกับกำลังััร่างกายของคนรัก
แล้วปลายนิ้วของเขาก็หยุดลงที่ดวงตาข้างซ้าย ที่ซึ่งไข่มุกราตรีเม็ดงามถูกฝังอยู่
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบดุจเหยี่ยวนั้นกวาดมองไปทั่วฝูงชนอย่างรวดเร็ว ผ่านเหล่าขุนนาง ผ่านเหล่าเชื้อพระวงศ์ ผ่านเหล่านางกำนัลาุโ
และมาหยุดลงที่นาง...
หัวใจของเยว่หลิงหยุดเต้นไปชั่วขณะ โลกทั้งใบราวกับหายไป เหลือเพียงนางกับเขาที่ยืนสบตากันท่ามกลางผู้คนนับหมื่น
เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้พยักหน้า
แต่สายตาของเขาที่มองมานั้น มันสื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดนับล้านคำ
ในแววตาคู่นั้น เยว่หลิงมองเห็นความตกตะลึง ความชื่นชม และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขารู้ เขารู้ในทันทีว่าใครคือผู้สร้างผลงานชิ้นนี้ เขามองเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่เื้ัลายปักวิหคเพลิง เขามองเห็นการฟื้นคืนชีพจากกองไฟ เขามองเห็นความทะเยอทะยานที่ซ่อนเร้น เขามองเห็นการเดิมพันที่นางได้ลงไป
และที่สำคัญที่สุด นางมองเห็นเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่เคยเห็นในวันนั้น บัดนี้มันไม่ได้เป็เพียงประกายไฟอีกต่อไปแล้ว แต่มันได้ลุกโชนขึ้นเป็เพลิงกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้เป็จุณ!
มันเป็สายตาของพยัคฆ์ร้ายที่ได้กลับคืนสู่ถ้ำ และได้พบว่าเหยื่อที่มันหมายตาไว้นั้น ไม่ได้เป็เพียงลูกกวางที่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว แต่ได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นางพญาหงส์ที่งดงามและหยิ่งทระนง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้มัน้าที่จะขย้ำและนางมากยิ่งขึ้นไปอีก!
เยว่หลิงรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์กายราวกับถูกไฟลน นางรีบก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าสบตากับเขาอีกต่อไป หัวใจเต้นระรัวจนเจ็บไปหมด นางรู้สึกได้ถึงสายตาของหลี่ซ่างกงที่เหลือบมามองนางแวบหนึ่งด้วยความพึงพอใจ และสายตาอาฆาตแค้นของเหมยเซียงที่แทบจะแผดเผาแผ่นหลังของนางให้เป็รู
พิธีการจบลงด้วยการที่จ้าวเฟิงรับฉลองพระองค์ชุดนั้นมาถือไว้ด้วยตนเอง เขาไม่ได้มอบให้ทหารคนสนิทถือแทน แต่กลับประคองมันไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมราวกับเป็สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
...
ค่ำคืนนั้น วังหลวงจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องพระโรง เสียงดนตรีและการแสดงดำเนินไปจนดึกดื่น แต่เยว่หลิงกลับไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมสิ่งใด นางขอตัวกลับมาที่ห้องพักก่อนเวลาโดยอ้างว่ารู้สึกไม่สบาย
นางรู้ดีว่าคืนนี้ เขาจะต้องมาหานางอย่างแน่นอน
นางอาบน้ำชำระร่างกายอย่างพิถีพิถันจนผิวพรรณส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ นางสวมเพียงชุดนอนผ้าไหมสีขาวเนื้อบางที่แนบไปกับเรือนร่าง ปล่อยผมยาวสลวยให้แผ่สยายเต็มแผ่นหลัง นางไม่ได้จุดเทียนแม้แต่เล่มเดียว อาศัยเพียงแสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องเท่านั้น
นางนั่งรออยู่บนขอบเตียงอย่างสงบ หัวใจที่เคยเต้นระรัวบัดนี้กลับเยือกเย็นลงอย่างน่าประหลาด ความกลัวและความตื่นเต้นได้ถูกหลอมรวมกันจนกลายเป็ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่...นางได้เตรียมใจพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับโชคชะตาของตนเอง
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ...
เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นสามครั้ง...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
มันไม่ใช่เสียงเคาะของนางกำนัลหรือขันที แต่เป็เสียงเคาะที่หนักแน่นและมั่นคง เยว่หลิงลุกขึ้นเดินไปที่ประตูด้วยฝีเท้าที่แ่เบาราวกับไร้น้ำหนัก นางไม่ได้เอ่ยถามว่าใครอยู่ข้างนอก นางรู้ดีอยู่แล้ว
นางค่อยๆ เลื่อนสลักประตูออก...
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืดนอกประตู เขาสวมเพียงเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำตัวยาวธรรมดาๆ แต่กลิ่นอายแห่งอำนาจและกลิ่นสาบของบุรุษเพศที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นรุนแรงจนแทบจะทำให้นางล้มทั้งยืน
จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง...
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ก้าวเข้ามาในห้อง แล้วใช้เท้าเขี่ยประตูให้ปิดลงอย่างเงียบเชียบ ความมืดและแสงจันทร์ในห้องโอบล้อมคนทั้งสองไว้ เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่สอดประสานกัน
เขาเดินเข้ามาหานางช้าๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายคมปลาบในความมืด "วิหคเพลิง..." เขากระซิบเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและทุ้มต่ำ เสียงที่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเยว่หลิงพุ่งสูงขึ้นในทันที
เขาไม่ได้เรียกชื่อนาง แต่เรียกนางด้วยสัญลักษณ์ที่นางได้สร้างขึ้นเพื่อเขา
เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง ใกล้จนนางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น ปลายนิ้วััที่รอยแผลเป็จางๆ บนหางคิ้วของตนเอง "เ้าคงเห็นแล้วสินะ ของที่ระลึกจากพวกซยงหนู"
แล้วเขาก็เลื่อนมือลงมา เชยคางของนางขึ้นอย่างแ่เบาเหมือนเช่นในวันนั้น "ข้ากลับมาแล้ว เยว่หลิง"
"หม่อมฉัน ทราบเพคะ" นางตอบเสียงสั่น
"ฉลองพระองค์ชุดนั้น" เขากล่าวต่อ ดวงตาจ้องลึกลงไปในดวงตาของนาง "มันคือสิ่งที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต"
เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ใกล้จนริมฝีปากของพวกเขาแทบจะัักัน "แต่ข้าอยากจะรู้ว่า ผู้ที่สร้างมันขึ้นมานั้น จะงดงามเพียงใดเมื่ออยู่ใต้ร่างของข้า"
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาบดขยี้ลงบนริมฝีปากของนางอย่างหิวกระหายและรุนแรง มันไม่ใช่จูบที่อ่อนหวาน แต่เป็จูบที่เต็มไปด้วยการประกาศความเป็เ้าของ เป็การทวงสิทธิ์ที่เขาได้ประกาศิตเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน
และเยว่หลิง ก็ไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย นางตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มใจ ปล่อยให้พายุแห่งความปรารถนาที่ถูกกักเก็บมานานพัดพาร่างกายและจิติญญาของนางไปสู่วังวนอันตรายที่นางไม่มีวันหวนกลับคืนได้อีก.
