ณ โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย
พวกเสวียนเทียนสี่คนกำลังกินดื่มกันอยู่ทันใดนั้นโถงใหญ่ชั้นล่างก็มีเสียงดังสนั่นลอยมา รวมถึงเสียงตวาดด่าทออีกคำรบหนึ่ง
ได้ยินเสียงตวาดแว่วๆ ด้วยความโกรธว่า “จะกล้ามากไปแล้ว...สำนักเทียมเมฆา...พังโรงเตี๊ยมโกโรโกโสนี่...” เป็ต้น
ได้ยินคำว่าสำนักเทียมเมฆาสามคำเสวียนเทียนกับพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนก็สบตากันทีหนึ่ง ยืนขึ้นมาแล้วออกมาจากห้องยืนอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นสอง มองไปที่โถงใหญ่ชั้นล่าง
แขกหลายห้องที่ชั้นล่าง ตอนนี้ก็เดินออกมาดูเช่นกัน
เห็นเพียงในโถงใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ที่กินดื่มอยู่ในโถงใหญ่ก่อนหน้านี้ล้วนถอยออกมาด้านข้างของโถงกันหมดแล้วตรงกลางห้องโถงมีคนยืนอยู่สี่คนด้านข้างของคนทั้งสี่โต๊ะถูกทำลายพังไปแล้วตัวหนึ่ง
เสียงดังสนั่นเมื่อครู่นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็เสียงทำลายโต๊ะตัวนั้น
สี่คนนั้นล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์อายุมากที่สุดก็เพียงยี่สิบสามปี อายุน้อยที่สุดประมาณสิบแปดสิบเก้าปีพลังวัตรล้วนอยู่ในชั้นเบิกนภาขั้นสาม
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อายุมากที่สุดคนนั้นกำลังชี้ไปที่โต๊ะยาวของเฒ่าแก่พลางต่อว่า
สายตาของเสวียนเทียนสบกับพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนทีหนึ่งตรงหน้าอกของสี่คนนั้นล้วนมีตราเมฆเคลื่อนคล้อยก้อนหนึ่งอยู่เป็ศิษย์สำนักเทียมเมฆาจริงๆ
เฟิงปู๋จื้อพูดเสียงเบาว่า “สี่คนนี้ มีสองคนมีชื่ออยู่” คนที่พูดอยู่ชื่อเหยียนกวนซี พลังวัตรขีดสุดของชั้นเบิกนภาขั้นสามเป็หนึ่งในสิบศิษย์เอกของสำนักเทียมเมฆา อันดับที่สี่ข้างตัวเขาคนที่ดูไปเด็กที่สุดคนนั้นยังไม่ถึงสิบเก้าปี ชื่อว่าหลิงลั่วเฟิงศิษย์อันดับหนึ่งสำนักในของสำนักเทียมเมฆา ได้ยินว่าพบโชควิเศษมาก่อนทำให้ควบคุมสัตว์อสูรได้ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสี่ก็ยังไม่กล้าขัดใจกับเขาคนอื่นอีกสองคนคงจะเป็ศิษย์ที่อยู่ลำดับนอกสิบอันดับแรกอาจเคยได้ยินชื่อมาแต่ไม่รู้จัก
เสวียนเทียนพยักหน้าเบาๆที่แท้ในสี่คนมีสองคนเป็หนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักในของสำนักเทียมเมฆาทั้งยังเป็อันดับหนึ่งกับอันดับสี่ มิน่าเล่า ถึงกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้
เหยียนกวนซีผู้นั้นชี้เถ้าแก่ ‘โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย’ ด่าทอว่า “เ้าแก่คารวะสุราไม่ชอบจะดื่มสุราลงทัณฑ์ พวกข้าคนของสำนักเทียมเมฆาจะพักเ้ากล้าบอกว่าไม่มีห้องว่าง ข้าจะพังโต๊ะเก้าอี้พวกนี้รื้อโรงเตี๊ยมโกโรโกโสของพวกเ้าเสีย”
เถ้าแก่คนนั้น อายุราวห้าสิบปี พลังวัตรเพียงชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบต่อหน้าเหยียนกวนซีที่มีพลังวัตรขีดสุดของชั้นเบิกนภาขั้นสามร่างกายสั่นระริกไปหมด
แต่เถ้าแก่ผู้นี้ทำกิจการมาสิบกว่ามีมีกฎการทำกิจการของตนเอง เอ่ยว่า “นายท่านทั้งหลาย ทุกสิ่งล้วนมีลำดับก่อนหลังนายท่านที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมล้วนจ่ายเงินแล้ว ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วข้าจะให้พวกเขาคืนห้องได้อย่างไร? เอาเช่นนี้ค่าห้องพักคืนนี้ของนายท่านทั้งหลาย ตัวข้าผู้เฒ่าจะจ่ายแทนพวกท่านพาพวกท่านไปหาโรงเตี๊ยมแห่งอื่น ดูว่ามีหรือไม่มีห้อง ถ้า...โอ๊ย!”
เถ้าแก่ผู้นั้นยังไม่ทันพูดจบประโยคร่างของเหยียนกวนซีก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเขา ขาข้างหนึ่งเตะออกไป ฉับพลันก็เตะเถ้าแก่ล้มลงไปกองกับพื้นตวาดว่า “เ้าแก่กล้ามาเรียกตัวเองว่าผู้เฒ่าต่อหน้าข้า เ้านับเป็สิ่งใดได้กันหา อย่างข้าหรือจะไม่มีเศษเงินค่าห้องพักแค่นี้? คืนนี้ข้ากับพี่น้องสี่คนจะค้างที่นี่ ไปจัดการให้ได้ห้องสี่ห้องมาพูดมากอีก ข้าจะหักขาตาแก่ของเ้า”
เถ้าแก่คนนั้นส่งเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ ขึ้นมาอีกคำ เพราะหยวนกวนซีพูดจบ เท้าหนึ่งก็เหยียบลงมาเหยียบศีรษะของเฒ่าแก่แนบติดกับพื้น
ด้วยนิสัยทั้งสองชาติของเสวียนเทียนมองเห็นการกระทำทั้งหมดของเหยียนกวนซี นาทีนี้ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้กำลังคิดออกปากห้าม กลับมีคนผู้หนึ่งชิงะโขึ้นมาก่อน “พวกเ้าศิษย์สำนักเทียมเมฆาจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เป็ถึงสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะพวกเ้าต่างอะไรกับโจรร้ายโจรูเาเ่าั้กัน?”
คนผู้หนึ่งะโลงมาจากชั้นสองเป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามคนหนึ่ง พักอยู่บนชั้นสองข้างบันได
ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้อายุราวยี่สิบห้าปี แต่หน้าอกไม่มีตราสัญลักษณ์ของสี่สำนักใหญ่ฟังจากที่เขาพูดเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์พเนจรอะไรอาจเป็ศิษย์ของกลุ่มอำนาจขั้นเจ็ดสักแห่ง
สำหรับสี่สำนักใหญ่ อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นสาม ไม่นับเป็สิ่งใด แต่สำหรับกลุ่มอำนาจขั้นเจ็ดนับว่าเป็บุคคลระดับอัจฉริยะแล้ว
เมื่อเสียงของคนผู้นี้ดังขึ้น เหยียนกวนซีก็ยกเท้าออกมาจากศีรษะของเถ้าแก่หมุนตัวเดินไปทางคนผู้นั้น เอ่ยว่า “โอ๊ะ ข้ากำเริบเสิบสาน แล้วอย่างไรเล่า? เ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เ้าเป็ลูกไล่คนที่เท่าไร กล้าเสนอหน้าออกมายุ่งเื่ชาวบ้านคืนนี้เ้าไสหัวออกไปจากโรงเตี๊ยมซะ ห้องของเ้า ข้าจะเอา”
“เ้าเป็ศิษย์สำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะประสาอะไรเ้ามันโจรชั่วชัดๆ”
คนผู้นั้นโกรธพลางพูดขึ้น “ข้าเป็ศิษย์เอกของสำนักนิลคราม”
สำนักนิลคราม เป็สำนักขั้นเจ็ดแห่งหนึ่งในอาณาจักรเสินเตา
ไม่ดีแล้ว สำนักนิลครามนี้เป็สำนักที่อยู่ในเขตเมืองใหญ่ทั้งสามเมืองที่อยู่ในการปกครองของสำนักกระบี่์พอดีหลังจากเก็บของบรรณาการจากกลุ่มอำนาจขั้นหกข้างล่างแล้วทุกปีต้องส่งบรรณาการสี่ส่วนให้แก่สำนักกระบี่์
“ศิษย์เอกของสำนักขยะแห่งหนึ่งเ้านับเป็ตัวอะไรได้หา? อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีแล้วพลังวัตรเพิ่งชั้นเบิกนภาขั้นสามยังเป็ถึงศิษย์เอก ฮ่าๆ เ้ามันก็เป็แค่กองมูลกองหนึ่งกองมูลกองหนึ่งยังเป็ปุ๋ยบำรุงดินได้ ยังมีดีมากกว่าเ้าส่วนเ้าทำได้แค่ผลาญอาหารเท่านั้น”
เหยียนกวนซีด่าใส่หน้าศิษย์เอกสำนักนิลครามพูดพลาง สายตาของเขาก็กวาดมองบรรดาคนบนชั้นสองทีหนึ่งมาหยุดอยู่ที่พวกเฟิงปู๋จื้อสามคน เมื่อเห็นตรา ‘สำนักกระบี่์’ บนร่างของทั้งสามคน เหยียนกวนซีก็เหยียดรอยยิ้มดูถูกขึ้นมาเอ่ยว่า “ยังขาดอีกสามห้อง เป็พวกเ้าสามคนแล้วกัน คืนนี้ไสหัวออกไปซะห้องของพวกเ้าเป็ของข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องสี่คนแล้ว”
เฟิงปู๋จื้อ ซุ่นอี้ชิวกู้เชียนโหรวสามคนยืนอยู่ด้วยกัน เสวียนเทียนยืนห่างออกมานิดหน่อยอีกทั้งตรงนั้นพอดีเป็มุมอับของแสงโคมพอดี ดูแล้วค่อนข้างมืด สายตาของเหยียนกวนซีจึงมองข้ามเสวียนเทียนไป
พวกเฟิงปู๋จื้อสามคนคนหนึ่งพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นสาม สองคนพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นสอง เฟิงปู๋จื้อที่ชั้นเบิกนภาขั้นสามเหยียนกวนซีก็ไม่รู้จักเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักในของสำนักกระบี่์
ดังนั้นเหยียนกวนซีจึงไม่ได้เห็นพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนอยู่ในสายตาสักนิด
‘โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย’ ชั้นสองมีห้องยี่สิบกว่าห้องล้วนแต่มีผู้ฝึกยุทธ์จับจองอยู่สายตาของเหยียนกวนซีกวาดมองทีหนึ่ง กลับเจาะจงเรียกเฟิงปู๋จื้อสามคนให้ไสหัวไปสำนักเทียมเมฆากับสำนักกระบี่์ ไม่ถูกกันราวน้ำกับไฟ แค่นี้ก็เห็นชัดแล้ว
ยังไม่ทันได้ไปหาเื่ผู้อื่นผู้อื่นก็มาหาเื่ถึงประตูบ้านเสียแล้ว
เสวียนเทียนคิดจะลงมือั้แ่แรกอยู่แล้วฉับพลันจึงะโลงมาจากชั้นสองพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนก็ตามมาข้างหลังะโลงมาเช่นกัน
จากมุมมืดด้านข้าง อยู่ดีๆมีคนกะโลงมาคนหนึ่ง อีกทั้งยังยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนสายตาของศิษย์ทั้งสี่สำนักเทียมเมฆาพลันมองประเมินบนร่างเสวียนเทียนคิดว่าเสวียนเทียนเป็ศิษย์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเฟิงปู๋จื้อ
ปรากฏว่าทั้งสี่คนต้องผิดหวังครั้งใหญ่ที่แท้พลังวัตรเพิ่งชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งเท่านั้น
พวกเฟิงปู๋จื้อสามคนรู้ดีว่าเสวียนเทียนจะจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยเมื่อะโลงมากลางโถงแล้ว ก็ไม่ได้พูดจา ไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้ายืนอยู่ข้างหลังเสวียนเทียนห่างไปหนึ่งเมตร
สายตาของเสวียนเทียนหยุดลงบนร่างของเหยียนกวนซีเอ่ยว่า “ห้องพักพวกเรามีแน่แต่เกรงว่าสวะอย่างเ้าจะไม่มีปัญญาเอาไปไม่ได้!”
ศิษย์สำนักกระบี่์ทั้งหมดสี่คนปรากฏว่าคนที่ออกหน้ากลับเป็ศิษย์ที่เพิ่งชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งคนหนึ่งแต่เมื่อคำพูดนี้ของเสวียนเทียนหลุดออกมา บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ในโรงเตี๊ยมต่างตกตะลึง
เมื่อครู่เหยียนกวนซีกำเริบเสิบสานมากเพียงใดทุกคนล้วนเห็นชัดอยู่กับตาคนไม่น้อยล้วนได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของเหยียนกวนซีมาก่อนรู้ว่าเขาเป็อันดับสี่ของสิบศิษย์เอกสำนักเทียมเมฆา รู้ว่าความกำเริบเสิบสานของเหยียนกวนซีมีพลังความสามารถให้กำเริบเสิบสาน
แต่ศิษย์ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งคนหนึ่งของสำนักกระบี่สรรค์เปิดปากพูดก็เรียกเหยียนกวนซีว่าเป็สวะ จะไม่ให้บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ตกตะลึงได้อย่างไร?
ขนาดศิษย์ทั้งสี่ของสำนักเทียมเมฆาได้ยินคำพูดของเสวียนเทียนก็นิ่งไปเพราะคำพูดนั้นไม่คาดคิดอย่างแน่นอนว่า เหยียนกวนซีจะถูกเสวียนเทียนเรียกว่าขยะ
เหยียนกวนซีโกรธจัดราวกับมีไฟปะทุพวยพุ่งออกมา เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่งเดินเข้ามาหาเสวียนเทียน พูดเสียงดังว่า “เ้าเ้าชาติสุนัข เ้าลองพูดอีกสักประโยคสิ?”
เสวียนเทียนยิ้มเหยียด พูดขึ้นว่า “บอกว่าเ้าเป็สวะยังนับว่ายกยอเ้าแล้ว เ้ามันเป็เดนมนุษย์ เ้ามันเป็หนอนกินมูลในห้องส้วมน้ำจากกองมูลคือบ้านของเ้า เ้ากินมูลอยู่ทุกวันถึงโตมาเป็เดนมนุษย์อย่างนี้ ไม่ที่จริงแล้วเ้ามันเป็เศษเดนในหมู่เดนมนุษย์!”
บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ในโรงเตี๊ยมต่างสูดหายใจเฮือกตกตะลึงเหยียนกวนซีก็ว่ากำเริบเสิบสายพอแล้ว ปากก็เลวร้ายถึงขั้นตอนนี้กลับมีคนกำเริบเสิบสาน ทั้งยังปากคอเราะร้ายกว่าเหยียนกวนซีโผล่มาหนึ่งคน
เมื่อได้ยินคำพูดของเสวียนเทียนบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ในใจกลับไม่มีใครไม่สาแก่ใจ กับคนเช่นเหยียนกวนซีนี้พูดจามีเหตุผลกับเขา นั่นย่อมเป็คำพูดเสียเปล่า ต้องร้ายต่อร้าย ใช้ท่าทีที่กำเริบเสิบสานยิ่งกว่าดูถูกเขาใช้คำพูดที่เลวร้ายยิ่งกว่าทำลายเขา
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดก็เหงื่อผุดพรายแทนเสวียนเทียนเหยียนกวนซีหาใช่คนที่จะทำลายได้ง่ายๆ ถูกคนด่าเช่นนี้คิดได้เลยว่าจุดจบที่ต้องเผชิญจะเป็อย่างไร
แล้วพลังวัตรของเสวียนเทียนก็เพิ่งชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งแม้ว่าด้านหลังยังมีศิษย์สำนักกระบี่์อีกสามคน แต่ก็ไม่มีใครสักคนเป็สิบศิษย์อันดับแรกของสำนักในส่วนฝั่งสำนักเทียมเมฆายังมีหลิงลั่วเฟิงอันดับหนึ่งของสิบศิษย์เอกสำนักในอยู่อีกคนหนึ่ง
“เ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเ้าหาเื่ตาย!”
เป็ดังคาด เหยียนกวนซีเดือดดาลก้าวเท้าของเขาขยับเร็ว ทั้งร่างราวกับสายลมพริบตาก็พลิ้วมาถึงตรงหน้าเสวียนเทียนเช่นเดียวกับตอนยกเท้าเตะเฒ่าแก่เมื่อครู่ทุกประการ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง เตะเข้ามาหาเสวียนเทียน
ลูกเตะนี้ไม่มีระเบียบท่าทางสักนิดช่องโหว่นับร้อย ถ้าเป็การต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ในระดับชั้นเดียวกัน เตะลูกเตะเช่นนี้ออกมาเป็การยื่นขาออกมาเป็เป้ามีชีวิตให้ผู้อื่นเล่นงานโดยแท้
แต่ลูกเตะนี้เร็วผิดธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่ง เหลือเฟือเกินพอเพราว่าผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ย่อมถูกลูกเตะนี้ของเหยียนกวนซีเตะลงไปกองกับพื้นแล้ว
พลังวัตรตอนนี้ของเสวียนเทียนเป็ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งก็จริง
แต่พลังที่แท้จริง...
ตอนที่ขาหนึ่งของเหยียนกวนซีเตะเข้ามานั่นเองแขนซ้ายของเสวียนเทียนก็ยื่นออกมา
ภาพฉากนั้นราวกับเหยียนกวนซีตั้งใจยื่นขาเข้าไปในมือของเสวียนเทียน
นิ้วทั้งห้าของเสวียนเทียนกำลงพริบตาก็จับหลังข้อเท้าของเท้าที่เตะมาของเหยียนกวนซีไว้พละกำลังหมื่นชั่งปลดปล่อยออกมา ราวกับคีบเหล็กบีบไว้
เสวียนเทียนพลิกร่างทีหนึ่ง มืออาศัยแรงที่เหยียนกวนซีเตะมาดึงไปข้างหลัง ทั้งร่างของเหยียนกวนซีเร็วราวกับสายฟ้า ไหลมาอยู่ตรงหน้าเสวียนเทียนรวดเร็วแม้เหยียนกวนซีผู้ฝึกยุทธ์ชั้นสูงสุดของชั้นเบิกนภาขั้นสามคนนี้ก็ยังไม่ทันได้ตอบสนอง
และตอนนี้เองฝ่ามือขวาของเสวียนเทียนนิ้วทั้งห้าก็เรียงชิดติดกัน หนึ่งฝ่ามือฟาดออกมา
ป้าบ!
เสียงดังสนั่นดังขึ้นร่างของเหยียนกวนซีฉับพลันกระเด็นปลิวไปสิบกว่าเมตรชนเข้ากับกำแพงด้านข้างของห้องโถงใหญ่ ตอนอยู่กลางอากาศเืสดคำหนึ่งกับเศษฟันแตกอีกหลายซี่ก็พ่นออกมา ด้านซ้ายของใบหน้าปรากฏรอยฝ่ามือแดงเถือกรอยหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้