หลินหงชวนที่กำลังดื่มชาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเื่นี้
เย่เฟิงฝึกวรยุทธ์แล้วงั้นหรือ? เด็กคนนี้ไม่ใช่ว่ากำลังเรียนหนังสืออยู่หรอกหรือ เขาก้าวสู่วงการยุทธจักรได้อย่างไร?
เื่นี้ทำให้เขาเพิ่งเข้าใจบางอย่าง ก่อนหน้านี้ทำไมหัวหน้าแก๊งอสรพิษ์ถึงช่วยเหลือนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาอย่างเย่เฟิง และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนน่าเกรงขามเช่นเขา กลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัว ทั้งยังแสดงท่าทางทะนงตัวเช่นนั้น ที่แท้เพราะเย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ์แล้วนั่นเอง!
นั่นทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นเย่เฟิงเพียงด้านเดียว จึงคาดหวังให้หลินซือฉิงแต่งงานกับชายคนนี้ แล้วตอนนี้เขาจะทำอย่างไรดี? หากข่าวการฝึกวรยุทธ์ของเย่เฟิงกระจายออกไป ศัตรูจากทั่วทุกทิศคงตามไล่ล่าถึงหน้าประตูบ้านแน่นอน หากเป็เช่นนั้นเขาควรจะทำอย่างไรดี?
ชายชราหน้ากลมอย่างตาเฒ่าถังเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “หากเป็อย่างที่แกว่ามา ตาแก่อย่างพวกเราต้องออกโรงเองอย่างนั้นหรือ? เย่เวิ่นเทียน แกต้องจัดการเื่นี้ อย่าปล่อยให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวาย แล้วเด็กคนนั้นเข้าสู่วงการยุทธจักรได้อย่างไร?”
“ฉันพูดมากไม่ได้” ในทางตรงข้าม เย่เวิ่นเทียนกลับไม่กังวลสักนิด ซ้ำเอ่ยอย่างลำพองใจ “เย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ์เมื่อไรฉันไม่รู้หรอก แต่เขาสามารถบรรลุวิชากรงเล็บัของตระกูลเย่ได้โดยการอ่านเคล็ดวิชาเพียงครั้งเดียว นับว่าเขาเป็อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เลย!”
“ว่าไงนะ!” สีหน้าของตาเฒ่าถังและตาเฒ่าหลินพลันเปลี่ยนไป
“แกพูดจริงงั้นเหรอ?” ตาเฒ่าถังเองก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นกัน และทราบระดับความยากของวิชากรงเล็บัดียิ่งกว่าหลินหงชวนเสียอีก การที่เย่เฟิงสามารถบรรลุวิชาได้ด้วยการอ่านคัมภีร์เพียงครั้งเดียว พร์ของชายหนุ่มช่างร้ายกาจ ในรอบศตวรรษนี้แทบไม่ปรากฏผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพร์เช่นนี้มาก่อน!
“เย่เวิ่นเทียนคนนี้จะโกหกเพื่ออะไร?” ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจในหลานชายของตัวเอง ด้วยฐานะที่ตนเป็ปู่ ก็ต้องภูมิใจที่มีหลานชายเก่งขนาดนี้อยู่แล้ว
“เมื่อเป็เช่นนี้ก็ถึงเวลาที่ตาเฒ่าอย่างเราจะออกหน้าบ้างแล้วล่ะ” ผู้าุโหน้ากลมครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแ่
ในโลกเทวะ ตาเฒ่าถังหรือถังเสวี่ยเฟิง เป็บุคคลที่แข็งแกร่งพอๆ กับเย่เวิ่นเทียน แม้ยี่สิบปีก่อนเขาจะประสบการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่การบ่มเพาะวรยุทธ์ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาก็ไม่สูญเปล่า เขายังคงเป็ผู้มีฝีมือดีอันดับต้นๆ ในยุทธจักร
น้อยมากที่ผู้ฝึกวรยุทธ์รุ่นเยาว์จะรู้ว่าแม่ของเย่เฟิงหรือถังชิงหลิงเป็ลูกสาวของถังเสวี่ยเฟิง และเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากตระกูลเย่ถูกกวาดล้าง สองพ่อลูกจึงพึ่งพาสำนักกระบี่จือเจินจนเกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“ยังไงก็ตาม จะให้คนอื่นรังแกหลานชายของฉันไม่ได้เด็ดขาด” ดวงตาของถังเสวี่ยเฟิงพลันเกิดประกายเย็นเยียบ
“หึ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครกล้ารังแกหลานแกหรอก มีแต่หลานแกรังแกคนอื่นมากกว่า” เย่เวิ่นเทียนยิ้ม “หากการฝึกวรยุทธ์ของเย่เฟิงถูกคนล่วงรู้เข้า ปัญหาคงมาเยือนถึงที่แน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องเตรียมตัวรับมือเื่นี้”
“ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ ฉันจะให้คนของตำหนักไท่จี๋จัดการ” หลินหงชวนที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างไม่กังวลใดๆ
“ยอดเยี่ยมมากตาเฒ่าหลิน” ถังเสวี่ยเฟิงมองมา “จริงๆ แกไม่จำเป็ต้องให้คนของตำหนักไท่จี๋เคลื่อนไหวเลย ตระกูลหลินของแกกับพวกเขาต่างมีความสัมพันธ์ที่ต้องได้ร่วมมือกันอยู่แล้ว...”
“ไม่ว่ายังไง ฉันจะพยายามดู” หลินหงชวนยิ้มพลางส่ายหัว “เ้าเด็กเย่เฟิงนั่นเป็หลานเขยที่ฉันปลื้มอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่ช่วยเขา แล้วจะให้ฉันไปช่วยใคร?”
ผู้าุโทั้งสามสนทนากันตลอดทั้งคืน นอกจากการพูดถึงเื่ราวในอดีตแล้ว เื่ของเย่เฟิงก็เป็อีกหนึ่งหัวข้อหลักที่พวกเขาพูดถึง ประเด็นสำคัญคือหากความลับการฝึกวรยุทธ์ของเย่เฟิงแพร่งพราย และถังเสวี่ยเฟิงออกตัวปกป้องเย่เฟิง ถังชิงหลิงจะทำอย่างไร?
ปัญหานี้ผู้าุโต่างขบคิดหาทางออกกันอยู่นาน จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุป...
…………
ณ วิลล่าชิงเฟิง เมืองเยี่ยนจิง
เมื่อแสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าตา ซูเมิ่งหานก็พลิกตัวไปอีกด้าน ก่อนยกมือแตะที่นอนข้างๆ แต่กลับพบความว่างเปล่า
“เย่เฟิง?” เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนกทันที เย่เฟิงไปไหน?
“มีอะไรเหรอ?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น เป็เย่เฟิงนั่นเอง
เมื่อซูเมิ่งหานหันไปก็พบว่าเย่เฟิงยังอยู่ในห้องนอน เพียงแต่เขาตื่นก่อนเธอเท่านั้น ชายหนุ่มนั่งอ่านตำราทั้งสี่เล่มที่โต๊ะอ่านหนังสือใกล้ๆ
เย่เฟิงมองซูเมิ่งหาน ไหล่ขาวเนียนราวหิมะของคนบนเตียง ทำให้เขาอดนึกถึงัันุ่มนวลและกลิ่นหอมของอีกฝ่ายไม่ได้...
ซูเมิ่งหานหน้าแดงระเรื่อคล้ายลูกตำลึงสุก พร้อมรีบหยิบผ้าห่มคลุมตัวเองทันที “อย่ามองนะ นายออกนอกห้องไปเลย ฉันจะใส่เสื้อ”
“จะอายอะไร?” เย่เฟิงหัวเราะเบาๆ พลางเก็บตำราทั้งสี่เล่ม ก่อนลุกขึ้นไปบีบแก้มนุ่มของซูเมิ่งหานด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นออกจากห้องไป
การกระทำของเย่เฟิงทำให้ซูเมิ่งหานหน้าแดงลามไปถึงใบหู แต่เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงเดินออกไปแล้ว ััแห่งความหวานก็เกิดขึ้นในใจเธอ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอจะพึ่งพิงไปตลอดชีวิต...
เย่เฟิงออกจากห้องนอนก็ส่ายหัวสลัดความคิดเื่เมื่อคืนออกไปจากหัว หลังจากลงบันไดมาได้สามก้าว เขาก็เปิดตำรา ‘ย่างก้าวเงาปีศาจ’ เพื่อศึกษา หากเขาสามารถบรรลุตำราเล่มนี้ได้ก็อาจบรรลุย่างก้าวไร้เงาระดับสอง!
ย่างก้าวเงาปีศาจเป็ทักษะที่ใช้ร่วมกับท่าร่างตัวเบาของเคล็ดวิชาซิวหลัว สามารถเพิ่มความเร็วให้ผู้ใช้ได้ในพริบตา ทว่าไม่อาจใช้ได้นานเท่าใดนัก
สิ่งนี้ทำให้เย่เฟิงนึกถึง่ที่อยู่ในโลกเทวะ ขณะที่ซูเฟ่ยหยิ่งแสดงทักษะย่างก้าวไร้เงาระดับสอง เพียงพริบตาเดียวความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายังไม่สามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้
“เส้นทางโคจรของเส้นลมปราณแบบนี้ ต้องรวบรวมไว้ที่ขาทั้งสองข้าง...” เย่เฟิงพลิกอ่านตำราย่างก้าวเงาปีศาจ ฉับพลันอะไรบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
ชายหนุ่มเริ่มโคจรพลังชี่จากจุดตันเถียนในร่างกายไปที่ขาทั้งสองข้างทันที เขาส่งพลังชี่ไปที่ขาทั้งสองข้างจนมันเติมเต็มจุดสำคัญบนร่างกาย เพียงไม่กี่อึดใจพลังของเขาก็ปะทุออกมา
ฟุบ!
เพียงชั่วพริบตา เย่เฟิงก็วิ่งออกจากบ้านพักจนทิ้งภาพติดตาไว้ตามทาง พริบตาเดียวเท่านั้นระดับความเร็วเพิ่มขึ้นเป็หนึ่งร้อยเมตรต่อสองวินาที ซึ่งเร็วกว่าย่างก้าวไร้เงาที่เขาใช้เป็เท่าตัว!
“ความเร็วระดับนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทักษะนี้สามารถช่วยชีวิตใน่วิกฤติได้แน่นอน” เย่เฟิงคิดอย่างอารมณ์ดี เขาไม่คิดว่าตนจะบรรลุย่างก้าวไร้เงาระดับสองอย่างง่ายดาย หากระดับพลังลมปราณสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งใช้ทักษะนี้ได้นานมากขึ้นเท่านั้น ตราบใดที่เขามีความเร็วระดับนี้ ไม่ว่าจะเป็การจู่โจมหรือล่าถอยก็มีประสิทธิภาพมากพอจนใช้ได้ทุกโอกาส
ตอนนี้เขารวดเร็วยิ่งกว่าหลีฮวาและนักล่าิญญาเสียอีก แม้แต่ในโลกเทวะ ความเร็วเช่นนี้สูสีกับหวงเผยหรงแห่งเขาเทียนจู้เลยทีเดียว
ด้วยวิชาเซียนอย่างย่างก้าวไร้เงา เย่เฟิงย่อมไม่จำเป็ต้องฝึกย่างก้าวเงาปีศาจก็ได้ แต่ดูเหมือนท่าร่างนี้จะเกิดประสิทธิผลดีมากยิ่งขึ้นหากใช้คู่กับเคล็ดวิชาซิวหลัว เย่เฟิงครุ่นคิดขณะกลับเข้าห้อง จากนั้นศึกษาตำราที่เหลืออีกสามเล่มต่อ
เคล็ดวิชาซิวหลัวเป็เพียงวรยุทธ์ขั้นพื้นฐาน พลังปราณที่ได้รับการฝึกฝนจะมีโลหิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ร่างกายต้องแบกรับภาระถึงขีดสุด แต่หลังจากถูกปรับแก้โดยเย่เฟิงแล้ว สิ่งที่ต้องมีโลหิตมาผสานก็ถูกตัดทิ้ง ในทางกลับกันร่างกายต้องแบกรับภาระหนักขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว ซึ่งมันค่อนข้างเหมาะสำหรับการฝึกวรยุทธ์ของเตาปา นอกจากนี้ ทักษะเพลงดาบล่าิญญาที่ฝึกควบคู่กับย่างก้าวเงาปีศาจ หากฝึกฝนติดต่อกันก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน!
ส่วนคลื่นเสียงคุมิญญาซิวหลัว ทักษะนี้ธรรมดาไปหน่อย หากไม่สามารถปลดปล่อยพลังภายในของตัวเองออกมาได้ เคล็ดวิชานี้ก็ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าปล่อยพลังงานภายในออกมาได้ วลีที่ว่า ‘คำรามะเืถึงธรณี’ ก็ดูไม่เกินจริงเท่าใดนัก
เย่เฟิงจำการใช้ทักษะคลื่นเสียงคุมิญญาซิวหลัวได้แล้ว บางทีมันอาจมีประโยชน์หากใช้ใน่เวลาวิกฤติ แต่เขารู้สึกว่าทักษะนี้ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น
ตำราทั้งสี่เล่มเขาส่งให้เตาปาทั้งหมดแล้ว และจะคอยชี้แนะอีกฝ่ายเช่นกัน สิ่งนี้จะเป็จุดเริ่มต้นให้เตาปาสร้างพลังของตัวเอง
ขณะเย่เฟิงขบคิด เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น แต่เขาไม่ได้สนใจ ซูเมิ่งหานเห็นว่ามีสายเข้า จึงเดินไปรับสายทันที “สวัสดีค่ะ?”
“สวัสดีค่ะ ขอสายเย่เฟิงได้ไหมคะ?” เย่เฟิงที่ใช้จิตหยั่งรู้ เพียงได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าคนปลายสายคือ... หลงหว่านเอ๋อร์!
ซวยแล้ว ซูเมิ่งหานรับสายหลงหว่านเอ๋อร์...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้