เมื่อเด็กหนุ่มถอดหน้ากากออก ทุกคนที่รู้จักตัวตนของเขาต่างก็พากันตื่นตะลึงไปตามๆ กัน
ซั่งกวานเชียนจื้อเองก็ตื่นใเช่นกัน กระทั่งจ้าวเหิงยังตื่นตะลึง ส่วนซั่งกวานสยงและคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมก็ล้วนตื่นตะลึงกับเหตุกาณณ์นี้เช่นกัน
เขาในอดีตคืออัจฉริยะหนุ่มที่มีพร์ระดับกระดูกิญญา แต่เพราะเส้นลมปราณถูกทำลาย เขาจึงกลายเป็เพียงคนไร้ค่าผู้หนึ่ง
ทว่าการกลับมาในวันนี้ของเขาไม่ได้มีเพียงแค่พร์ระดับกระดูกิญญาเท่านั้น ครั้งนี้เขายังปรากฏตัวขึ้นในฐานะนักสลักลายเส้นอัจฉริยะผู้หนึ่งอีกด้วย!
“มู่เฟิง!”
“มู่เฟิง!”
“เป็มู่เฟิง”
“มู่เฟิง เขาคือมู่เฟิง เฟิงเย่คือมู่เฟิง!”
“...”
เสียงอุทานดังระงมในกลุ่มผู้ชม ทุกคนต่างก็จดจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมขาวราวกับหิมะผู้นั้นด้วยความคาดไม่ถึง
หน้าตาของเขายังคงเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นดูมีความเป็ผู้ใหญ่และเด็ดเดี่ยวมากขึ้น
ยังคงเป็คนผู้นั้นที่ในอดีตได้ชื่อว่าเป็เพียงพวกไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง
“ปะ เป็ไปได้อย่างไร มู่เฟิง เหตุใดถึงเป็มู่เฟิงไปได้ ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ?”
สีหน้าของจ้าวเหิงพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด ขณะที่เขากล่าวขึ้นด้วยความใ
“มู่เฟิง...มู่เฟิง นี่มันเื่อะไรกัน!”
ซั่งกวานสยงจ้องมองไปยังมู่เฉินที่กำลังแสยะยิ้ม
“เป็พี่เฟิง พี่เฟิงยังไม่ตาย!”
บรรดาศิษย์ในตระกูลมู่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ชมต่างก็เบิกตากว้างด้วยความใเช่นกัน
“มู่เฟิง! มู่เฟิง! นี่มันอะไรกัน เป็มู่เฟิงไปได้อย่างไร?”
หนานหาวที่นั่งอยู่บนระเบียงของอาคารสูงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพลันใขึ้นมาทันที เพียงมองด้วยสายตาเขาก็สามารถเห็นใบหน้าของมู่เฟิงได้อย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปตวาดเสียงใส่ต้วนเชียนโหมวที่อยู่ด้านข้าง
“ทะ ท่านอ๋อง กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เฟิงเย่ผู้นั้นกลายเป็มู่เฟิงไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาถูกจางจวีสังหารไปแล้วหรอกหรือ?”
ต้วนเชียนโหมวเองก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
ซั่งกวานเชียนจื้อมองไปยังเด็กหนุ่มผมสีขาวผู้มีั์ตาสีโลหิตตรงหน้าเขา เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความใ จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นด้วยความตื่นตะลึงว่า “เ้า เ้าคือมู่เฟิง เ้าเป็คนหรือว่าเป็ผีกัน?”
“แค่เห็นหน้าข้า เหตุใดเ้าต้องใถึงเพียงนี้ด้วย?”
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปมองทางผู้าุโผู้หนึ่งที่กำลังมีสีหน้ามืดครึ้ม สายตาของจ้าวเหิงพลันเปลี่ยนเป็เ็าขึ้นมาทันที
มู่เฟิงชี้นิ้วไปยังจ้าวเหิงก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ผู้าุโ ยังจำข้าได้หรือไม่? เวลาผ่านมาสองปี ข้ามู่เฟิงกลับมาแล้ว!”
ข้ามู่เฟิงกลับมาแล้ว!
ข้ามู่เฟิงกลับมาแล้ว!
คำพูดฉะฉานของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่วลานจัตุรัสขนาดใหญ่ ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลงในทันที
ในเวลานี้ใบหน้าของจ้าวเหิงดูไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะกล่าวว่า “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเ้าจะยังไม่ตาย!”
“ในเมื่อข้ายังไม่ได้ควักลูกตาของเ้า ข้าจะตายก่อนได้อย่างไร เมื่อสองปีก่อน เ้าปฏิเสธข้ามู่เฟิง ทั้งยังด่าทอและสร้างความอัปยศให้ข้า เ้าบอกว่าข้าเป็สวะที่ไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง ข้อตกลงเมื่อสองปีก่อน เ้ายังจดจำมันได้หรือไม่?”
มู่เฟิงชี้นิ้วไปยังจ้าวเหิงขณะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
จากนั้นเขาก็หันกลับมามองทุกคน และกล่าวขึ้นเสียงดังว่า “ทุกท่าน ไม่รู้ว่ายังมีผู้ใดจำได้หรือไม่ว่าเมื่อสองปีก่อนจ้าวเหิงได้ทำข้อตกลงกับข้าเอาไว้ โดยบอกว่าหากข้าสามารถเอาชนะซั่งกวานเชียนจื้อได้ เขาจะควักลูกตาของตัวเองทิ้งและขอขมาต่อข้า ในวันนี้ ข้ามู่เฟิงมาตามนัดแล้ว”
หลังกล่าวจบมู่เฟิงก็หันไปะโใส่ซั่งกวานเชียนจื้อทันทีว่า “ซั่งกวานเชียนจื้อ เ้าออกมาสู้กับข้า!”
“พี่เฟิง พวกเราจำได้ พวกเราทุกคนล้วนจำได้ทั้งหมด พี่เฟิง ช่างดีนักที่ท่านยังไม่ตาย พวกเราจะสนับสนุนท่านเอง!”
บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน มู่ฝานและคนอื่นๆ ต่างก็ะโออกมาเสียงดัง
“ซั่งกวานเชียนจื้อออกมาสู้กันสักตั้ง!”
มู่ขวงหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะแผดเสียงออกมา
“ซั่งกวานเชียนจื้อออกมาสู้กันสักตั้ง”
ไป๋จื่อเยว่ะโออกมาอย่างเ็า
“ซั่งกวานเชียนจื้อออกมาสู้กันสักตั้ง!”
เหล่าศิษย์ตระกูลมู่อีกหลายสิบคนต่างคำรามออกมาอย่างดุดัน
ใบหน้าของซั่งกวานเชียนจื้อพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด เขาที่กำลังยืนอยู่บนแท่นเวทีไม่รู้ว่าตนควรจะตอบอย่างไรดี
“เหอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเส้นลมปราณของเ้าจะสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ ซั่งกวานเชียนจื้อ เ้าออกไปต่อสู้กับเขาสักตั้งเถิด”
จ้าวเหิงกล่าวอย่างเ็า คนเช่นเขาจะสามารถทนการยั่วยุของมู่เฟิงได้อย่างไร
“ข้า…”
ซั่งกวานเชียนจื้อแทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองไปทางมู่เฟิงและกล่าวว่า “มู่เฟิง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนไร้ความสามารถอย่างเ้าจะยังกลับมายืนหยัดได้อีก ข้าเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์มาสองปี ขณะนี้วรยุทธ์ของข้าอยู่ระดับจื่อฝู่ในขอบเขตของเทียนเว่ยระดับกลางแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะสามาารถสู้ข้าได้”
“กล่าวคำพูดออกมามากมายเพื่อสร้างความกล้าให้ตัวเองอยู่หรือย่างไร? เมื่อสองปีก่อนข้าสามารถบดขยี้เ้าได้อย่างไร ตอนนี้ข้าก็ยังสามารถบดขยี้เ้าได้เหมือนเดิมนั่นแหละ”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยชา
“เลิกพูดจาดูถูกคนอื่นได้แล้ว! หมัดเงาหิรัณย์!”
ซั่งกวานเชียนจื้อแผดเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด พลังปราณภายในร่างกายของเขากำลังเดือดพล่าน ร่างของเขาพุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู หมัดที่อัดแน่นด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่งเปล่งประกายแสงสีทองออกมาขณะพุ่งโจมตีไปทางมู่เฟิง
เมื่อหมัดนี้ทะลวงแหวกอากาศก็ปรากฏเสียงดังหวีดหวิว พอเห็นถึงความทรงพลังของมัน ฝูงชนก็แสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาทันที
“วันนี้ข้าจะทำให้เ้าได้เข้าใจว่าอัจฉริยะที่แท้จริงมันเป็อย่างไร? วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นหก? สำหรับคนอย่างเ้า ข้าใช้เพียงหมัดทะลวงลมปราณก็พอแล้ว”
มู่เฟิงยกยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม เขากระทืบเท้าก่อนจะพุ่งทะยานตัวออกมาเช่นกัน จากนั้นก็ปล่อยหมัดไปทางซั่งกวานเชียนจื้อ พลังปราณที่บรรจุอยู่ภายในมวลคลื่นพลังทั้งแปดลูกพลันปะทุออกมา พลังปราณทั้งหมดโคจรไปตามเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุด
ปึก! ปึก! ปึก! ปึก!
หมัดสีทองพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าพร้อมกันเสียงลั่นของกระดูกแขนที่ดังขึ้นสิบสองครั้ง หมัดนั้นของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยประกายแสงสีขาว
เปรี้ยง...!
เมื่อหมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกัน คลื่นพลังก็พลันสะท้อนกลับและสาดซัดไปทั่วบริเวณ
“อ๊าก…!”
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!...!
ซั่งกวานเชียนจื้อหวีดเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสมเพช หมัดนี้ของมู่เฟิงเป็การะเิพลังปราณจากเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุดมาไว้ในหมัดเดียว ความแข็งแกร่งของมันนั้นมากพอที่จะทำลายหมัดของซั่งกวานเชียนจื้อในทันที นอกจากนี้กระดูกแขนของเขายังปรากฏเสียงะเิดังขึ้นสิบสองครั้ง ก่อนที่แขนข้างนั้นจะเกิดการะเิออกมาจริงๆ
นึกไม่ถึงว่าแขนข้างนั้นของเขาจะะเิจนแหลกละเอียด!
ร่างของซั่งกวานเชียนจื้อปลิวกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร เมื่อร่างของเขากระแทกลงบนพื้น เขาก็ยกมือขึ้นมากุมแขนข้างที่ถูกะเิจนแหลกละเอียดขณะกรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุราย
ดวงตาของเขาที่มองไปยังมู่เฟิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสยดสยอง เส้นผมสีขาวที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมยิ่งขับให้เด็กหนุ่มดูทรงอำนาจและน่ากลัวยิ่งขึ้น
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นแปด!”
ฝูงชนจำนวนหลายแสนคนในจัตุรัสต่างก็เงียบกริบไปชั่วขณะ ถัดจากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
“หมัดเดียว สยบคู่ต่อสู้ได้ในหมัดเดียว!”
“อานุภาพพลังนี้ วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นแปด!"
“โอ้์ นึกไม่ถึงว่าซั่งกวานเชียนจื้อจะไม่สามารถรับมืออีกฝ่ายได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว...”
ทุกคนพากันเบิกตากว้างขณะจ้องมองภาพตรงหน้า กระทั่งจ้าวเหิงยังเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
“พี่เฟิง! พี่เฟิง!”
ศิษย์ตระกูลมู่ส่งเสียงโห่ร้องออกมาอย่างยินดี แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและเทิดทูน
“เขากลับมาแล้ว ความภาคภูมิใจของตระกูลมู่กลับมาแล้ว!”
“บัดซบ!”
ซั่งกวานสยงตวาดออกมาก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนแท่นเวที และประคองกอดร่างของซั่งกวานเชียนจื้อที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้นเขาก็หันขวับไปทางมู่เฟิงอย่างโกรธจัด รังสีสังหารแผ่ออกมาทันที
“เส้นลมปราณของเขาฟื้นคืนกลับมาแล้ว!”
ผู้าุโอู๋อี้และคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นตะลึงกับเื่นี้
เด็กหนุ่มเหลือบมองไปที่จ้าวเหิงอย่างเฉยเมยก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ขอผู้าุโจ้าวเหิงโปรดรักษาสัญญา ควักดวงตาออกมาแล้วขอขมาข้าเสีย”
“ผู้าุโจ้าวโปรดรักษาสัญญา ควักดวงตาของท่านออกมาแล้วขอขมาเสีย”"
มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่ รวมถึงศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นๆ ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาจนดังก้องไปทั่วลานจัตุรัส
จ้าวเหิงโกรธจนแทบกระอัก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็ดำคล้ำ แต่เขายังคงนิ่งเงียบ
“ทำไมเล่า ผู้าุโจ้าว สิ่งที่เ้าเคยพูดในอดีตเป็เพียงการผายลมเท่านั้นหรือ? กล้าพูดแต่ไม่กล้าทำ? เ้าคนทราม ควักลูกตาของเ้าออกมา!”
มู่เฟิงตวาดเสียงดัง พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังจ้าวเหิง
“เ้าหนุ่ม อย่าได้กระทำตนเป็คนไร้เหตุผล ในอดีตเป็ข้าที่ประเมินเ้าต่ำเกินไป แต่อย่าได้บีบบังคับคนอื่นให้มากนัก!”
จ้าวเหิงตอกกลับอย่างเ็า
“จะบีบบังคับเ้าแล้วจะทำไม หากวันนี้เ้าไม่ยอมควักดวงตาออกมา ก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตรอดไปได้!”
ทันใดนั้นมู่เฉิน มู่เยี่ย มู่หวาและคนอื่นๆ จากตระกูลมู่ต่างบินทะยานขึ้นมาบนแท่นเวทีและยืนอยู่ด้านหลังของมู่เฟิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้