คอนเสิร์ตเปิดขึ้นอย่างเป็ทางการ ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นกลางอากาศห่างออกไปไกลสิบไมล์ เสียงเชียร์ดังสนั่นเลือนลั่นไปทั่วท้องฟ้า
ณ ่เวลาที่เสียงดังอึกทึก จ้าวเฉียนคนขับแท็กซี่คันนั้นก็เข้ามาจอดรถยังบริเวณลานจอดรถที่ด้านหลังประตูทางเข้า เขาขึ้นป้ายว่า “งดให้บริการชั่วคราว”
จ้าวเฉียนประหม่าเสียจนเหงื่อแตกเต็มฝ่ามือ เขากำลังกดหมายเลขโทรศัพท์ “ฮัลโหล ผมมาถึงแล้ว ผู้มีพระคุณ คุณอยู่ที่ไหน?”
“ฟังเสียงเอาสิ ผมอยู่ในคอนเสิร์ต” เสียงด้านหลังนั้นกำลังถ่ายทอดสดอยู่
“ผู้มีพระคุณ คุณอยากทำอย่างนี้จริงๆ เหรอ ผมรู้สึกว่ามัน แบบนี้มันไม่ค่อยดี...” จ้าวเฉียนพูดด้วยความขลาดกลัว
“วางใจเถอะ คุณเป็แค่แผนสำรอง อาจจะไม่ต้องให้คุณช่วย จำเอาไว้ว่า ขอเพียงเมิ่งฉีพลาดตำแหน่งแชมป์ เธอก็จะถอนตัวออกจากวงการบันเทิง ถึงตอนนั้นพวกคุณก็จะคบกันได้
หรือว่าคุณอยากให้เธอชนะ แล้วติดหนึบอยู่กับบอดี้การ์ดนั่นทั้งวันทั้งคืน” เสียงนั้นหัวเราะเยาะเย้ย
“ไม่ได้! จะให้คุณเมิ่งฉีถูกผู้ชายคนนั้นเหยียบย่ำไม่ได้ เธอบอบบาง ตัวเล็กนิดเดียว ร่างกายรับไม่ไหวแน่” จ้าวเฉียนถูกเสียงนั้นปั่นหัวและครอบงำ
“ถ้าอย่างนั้น ก็จงรออย่างเชื่อฟัง” พอพูดจบ เสียงนั้นก็วางสายไป
รอบชิงชนะเลิศของรายการ ‘The Voice of China’ ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกร่วมกันร้องเพลงอยู่บนเวที มีดารามากมายมาร่วมแสดง แม้แต่กรรมการก็ยังร่วมร้องเพลงด้วย เรียกว่าบรรยากาศคึกคักมาก แต่ทั้งหมดล้วนเป็อาหารว่างก่อนที่จะเข้าสู่อาหารจานหลัก เพื่อรอให้ถึง่เวลาที่ทุกคนเฝ้ารอคอย นั่นก็คือการแสดงของผู้เข้าแข่งขันสองท่านสุดท้าย
หลังจากการแสดงชุดสุนัขจากต่างดาว ไฟบนเวทีก็ดับลง เหลือแค่เพียงกลุ่มไฟกลางเวทีเท่านั้น ทุกคนพากันกลั้นหายใจรอชม
วงซิมโฟนีออร์เคสตราบรรเลงเพลงคลอไป มันคือท่วงทำนองของเพลง ‘บุปผารำพัน’ เหล่าบรรดาแฟนๆ พากันโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
แท่นที่อยู่ตรงกลางหลุมดำกลางเวทีค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของเมิ่งฉีซึ่งถือไมโครโฟนอยู่ในมืออย่างนุ่มนวล เพลง ‘บุพผารำพัน’ นั้นช่างติดหูถึงแม้จะผ่านมาแล้ว 4 ปี แต่ตอนที่เมิ่งฉีขับกล่อมเอาไว้นั้นเธอก็ได้ใช้กลิ่นอายของเพลงรักแบบคลาสสิค ช่างเป็มนต์เสน่ห์แห่งยุค 90
แม้จะห่างไปเนิ่นนาน แต่พอกลับมาฟังอีกครั้งหนึ่งก็ราวกับสมาชิกในครอบครัวที่เพิ่งจะกลับมาจากแดนไกล ผู้คนต่างพากันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แฟนๆ บางคนถึงขั้นะเืใจเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้ สงสารไปกับความคับข้องใจของเมิ่งฉีใน่หลายปีที่ผ่านมา
วันนี้เมิ่งฉีเหมือนกับเ้าหญิง เธอใส่ชุดกระโปรงสั้นที่ประดับด้วยคริสตัล สวมรองเท้าแก้วเหมือนกับซินเดอเรลล่า ราวกับแต่งตัวมาเพื่อวันนี้ที่เป็วันนิรวานของเธอ
“น้องเมิ่งฉีสวยมาก เพลงก็เพราะมากด้วย” เซี่ยวอี๋ฟังซะจนเคลิบเคลิ้ม แต่เสิ่นิกลับใส่หูฟังไม่ยอมถอดออก เพลงที่เปิดอยู่ในมือถูกเปลี่ยนโหมดเป็โหมดวนลูปอย่างต่อเนื่อง
กรรมการทั้งสี่ประทับใจกับทักษะการร้องเพลงของเมิ่งฉี แต่นี่เป็เวทีคอนเสิร์ต เปิดตัวด้วยเพลงช้าๆ เนิบๆ แบบนี้ มันส่งผลต่อบรรยากาศ ในแง่ของการควบคุมพื้นที่ กรรมการอาจจะหักคะแนนเธอได้
กรรมการหลายท่านที่เตรียมจะติเตือนยังไม่ทันได้เริ่ม จู่ๆ วงซิมโฟนีก็หยุดลงอย่างกะทันหัน วงร็อกจากอีกด้านหนึ่งเข้ามารับ่ต่อทันที วงร็อกบรรเลงเพลงอันทรงพลัง แดนเซอร์หลายสิบคนวิ่งขึ้นไปบนเวทีและรุมฉีกเสื้อผ้าของเมิ่งฉีเหมือนกับนักเลง จนแฟนคลับแถวหน้าเวทีอยากจะพากันขึ้นไปตบ
แต่เมื่อไฟเวทีสว่างขึ้น เมิ่งฉีก็ยืนตระหง่านอยู่บนกองคริสตัลทั้งตัว เหลือแค่เพียงชุดว่ายน้ำลายผ้าพันแผลและรองเท้าส้นเข็มคริสตัล การเปิดตัวอันน่าทึ่งนั้นเหมือนกับนางเอกเื่ ‘The Fifth Element’ สติกเกอร์แผ่นน้อยบนหน้าอกปกปิดแค่เพียงส่วนสำคัญเท่านั้น ส่วนโค้งเว้า้าด้านล่างนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านช่องว่างระหว่างผ้าพันแผล
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีรูปร่างที่เซ็กซี่มีหน้าอกมีก้น แต่เมื่อสวมชุดแบบนี้แล้ว กลับทำให้มีกลิ่นอายความเย้ายวน ทั้งชายทั้งหญิงพากันตกตะลึงอึ้งไปหมด
ดูเหมือนว่าเมิ่งฉีจะเขินอยู่บ้าง ใบหน้าน้อยๆ ของเธอนั้นแดงระเรื่อ เธอยกแขนขวาขึ้นสูงพร้อมกับะโว่า “พวกเรามากล่าวทักทายกันหน่อยค่ะ!”
เธอยังคงร้องเพลง ‘บุปผารำพัน’ แต่ด้วยจังหวะและการเรียบเรียงที่เหมาะแก่การเต้น เปลี่ยนจากอารมณ์เศร้าให้กลายเป็เปลวไฟอันร้อนแรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้แต่เหล่าคณะกรรมการก็ยังพากันร้อง พากันโยกหัวตามไปด้วย
เมิ่งฉีสะกดตัวเอง ความจริงแล้วเธอเต้นไม่เก่งเลย แต่กลับพยายามเต้นท่าเซ็กซี่ อวดโชว์ขาสั้นและหน้าอกคัพ A ยิ่งด้วยบรัชออนบนใบหน้าที่งามตามธรรมชาตินั้นยิ่งเป็ที่สุด
หลังจากจบไปเพลงหนึ่ง ผู้คนต่างก็พากันปรบมืออย่างกึกก้อง เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกรรมการถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเชียร์จากผู้ชมอยู่หลายครั้ง คำชื่นชมมากมายผ่านเข้าหูไม่หยุดหย่อน ผลคะแนนเฉลี่ยที่เมิ่งฉีได้ก็คือ 9.6 คะแนน
หลังจากขอบคุณแฟนๆ ทั้งประเทศและคณะกรรมการแล้ว เมิ่งฉีก็หอบหันหลังไปยังด้านหลังเวที สายตาของเธอกวาดมองไปที่เสิ่นิซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณที่นั่ง VIP และเมื่อเห็นว่าเขากำลังฟังเพลงอยู่เมิ่งฉีก็เผลอยิ้มออกมา
“คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวที่ถนัดร้องเพลงช้าจะเปลี่ยนแนวมาร้องเพลงเร็วได้ คงจะพยายามมากสินะ” ทางเข้าหลังเวที ยายชาเขียวในชุดราตรีสีขาวยืนอยู่ ณ ตรงนั้น
“ชาเขียว ขอแค่วันนี้ที่เราจะหยุดปากและไม่ทะเลาะกัน แข่งกันด้วยความสามารถอย่างยุติธรรมได้หรือเปล่า” เมิ่งฉีถอนหายใจพร้อมขอร้องอย่างสันติ
“ความสามารถเหรอ พี่คิดว่าจะเอาชนะฉันได้อย่างนั้นเหรอ” ยายชาเขียวก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยสายตาดูถูก
นี่มันค่ำคืนบ้าบออะไรกัน เมิ่งฉีซึ่งหัวโบราณสุดๆ กลับใส่กระโปรงสั้นเต้นโชว์เนื้อหนัง ยายชาเขียวซึ่งชอบออกสเตปกลับสวมชุดราตรียาว เธอเลือกเปิดตัวด้วยเพลงคลาสสิกจังหวะที่ช้าชื่อว่า ‘คัน’
โชว์นี้ไม่มีแดนเซอร์ ด้านหลังเวทีถูกจัดฉากให้เป็วันฝนตกในป่าไผ่ บรรเลงเพลงด้วยกู่เจิง เอ้อร์หู และขลุ่ยจีน มันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความเป็ตะวันออกสมัยโบราณ
สายฝนที่ตกโปรยปรายจากท้องฟ้าทำให้ชุดราตรีของยายชาเขียวนั้นแนบสนิทชิดร่าง และทันใดนั้นทุกคนก็เข้าใจ ที่ว่าชาเขียวไม่โชว์โป๊นั้น ที่แท้ก็เป็แค่การแสดง! ชุดขาวเกือบจะโปร่งใสจนเห็นเนื้อหนัง ท่อนล่างเธอสวมแค่เพียงจีสตริงสีดำเท่านั้น สองจุดบนท่อนบนก็มีเพียงสติกเกอร์ปิดทับไว้
เธอร้องเพลงและเต้นรำท่ามกลางสายฝน ใช้วิธีแสดงแบบละครเวที ทุกครั้งที่ยกขาขึ้นสูงเหนือศีรษะ ทุกครั้งที่เอนหลังราวกับเอวจะหักลงไป ผู้ชมที่รับชมอยู่ต่างก็หน้าแดงและใจเต้นรัว เป็ห่วงว่าเธอจะแหกขามากเกินไปไหม จะทำให้อะไรบางส่วนฉีกขาดหรือเปล่า
มาลองฟังเนื้อเพลง ‘คัน’ ดู “มาเถอะ มาใช้ชีวิตกัน ยังไงก็มีเวลาอีกมาก มาเถอะ มารักกันเถอะ ยังไงก็มีความโง่เขลาอีกมาก (ความปรารถนา) ”
วันนี้ชาเขียวเต้นช้ามาก เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมทุกท่านได้เห็นผิวพรรณทุกตารางนิ้วของเธออ ถึงขนาดเต้นรูดกับเสาไม้ไผ่กลางเวที ความแข็งแรงของท่อนแขน ส่งร่างกายให้หมุนพลิ้วไปในอากาศ เมิ่งฉีไม่อาจไม่ยอมรับว่าการที่ชาเขียวเข้ามาถึงรอบชิงได้ นอกจากพื้นเพของเธอแล้ว ตัวเธอเองก็นับว่ามีความสามารถอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่า กรรมการชายทั้งสองท่านถึงขั้นต้องนั่งไขว่ห้างเพื่อที่จะปกปิดส่วนที่ยื่นออกมา เพลงแรกของยายชาเขียวได้คะแนนรวมเฉลี่ย 9.8 คะแนน เธอออกนำเมิ่งฉีไปก่อน
เพลงที่สอง เมิ่งฉีหวนกลับสู่เส้นทางเพลงช้า เธอเปลี่ยนสไตล์ให้สดใสขึ้นเล็กน้อย ฉากด้านหลังถูกเปลี่ยนเป็วิวในรั้วมหาวิทยาลัย เธอร้องเพลง ‘คุณที่เคยร่วมโต๊ะ’ เมิ่งฉีสาวงามแห่งหมู่บ้านในชุดเนตรนารี เต้นคลอไปกับแดนเซอร์หนุ่มสื่อถึงความสัมพันธ์อันแสนสุขและแสนเศร้า ปลุกความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายๆ คน เธอได้คะแนนเฉลี่ย 9.8 คะแนน
ยายชาเขียวกลับสู่สังเวียนราชินีเท้าไฟ เธอร้องเพลง ‘TAXI’ ของนักร้องเกาหลีขายาว ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะชาเขียวเคยอาศัยอยู่ที่เกาหลีเป็เวลานาน การออกเสียงสำเนียงเกาหลีนั้นเป๊ะมากราวกับหลุดออกมาจากห้องเรียน เธอได้คะแนนเฉลี่ย 9.8 คะแนน เสมอกัน
เพลงที่สามคือเพลงที่คู่แข่งเลือกให้ และในที่สุดพวกเธอทั้งคู่ก็ยืนอยู่บนเวทีเดียวกัน ชาเขียวอมยิ้มพลางกล่าวกับคณะกรรมการว่า “ในเมื่อวันนี้คึกคักขนาดนี้ ฉันจึงอยากเลือกเพลงไพเราะอันศักดิ์สิทธิ์เพลงหนึ่งให้กับพี่สาว ‘อย่าไปเป็มือที่สามของคนอื่น’ ค่ะ”
ทันทีที่พูดชื่อเพลงออกมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มทั่วทั้งฮอลล์ แม้แต่ไคว่จุ่ยหวาเองก็ยังได้กลิ่นเขม่าดินปืน ยิ่งไปกว่านั้นเพลงนี้ก็ไม่ได้อยู่ใน 10รายชื่อเพลงที่เตรียมไว้ให้คู่แข่งเลือก
“ขอแค่คุณบอกว่าร้องไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ขอให้เธอเปลี่ยนเพลงได้” ไคว่จุ่ยหวากระซิบที่ข้างหูเมิ่งฉี
“ช่างเถอะ แค่วันนี้วันเดียว ฉันใจกว้างมาก ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อย” เมิ่งฉีพยักหน้าเป็การรับคำท้า เวทีกลับมาเป็ของเมิ่งฉีอีกครั้ง เพลงที่สามเป็การร้องแบบอะแคปเปลล่าไม่มีเครื่องดนตรีใดๆ จะได้เป็การต่อสู้ที่ห้ำหั่นกันด้วยความสามารถในการใช้เสียงโดยแท้จริง
บนเวที แสงสปอตไลต์สาดส่องลงมา เมิ่งฉีจับไมค์แล้วยิ้มให้ผู้ชมนับหมื่น “ก่อนจะร้องเพลง ฉันขอใช้โอกาสนี้เพื่อเคลียร์ความเข้าใจผิดเมื่อสามปีก่อนก่อนนะคะ ทุกคนต่างรู้เื่ที่ฉันถูกประณามว่าเป็มือที่สามตอนที่กำลังจะเรียนจบ แน่นอนว่าน้องชาเขียวผู้ที่เลือกเพลงนี้ให้ฉันย่อมรู้เื่นี้ดี” ที่ด้านล่างเวทีต่างพากันหัวเราะระงม
“ไม่ผิดค่ะ ฉันกับเหลียงจวินเราเคยคบกัน แต่ฉันไม่ใช่มือที่สาม เขาหลอกฉันว่าเขาหย่าแล้ว และยังสาบานรับรองด้วยว่าเขาโสด ฉันจึงเริ่มพัฒนาความรู้สึกในตอนนั้น ถ้าฉันรู้ว่าเขาเป็คนชั่วแบบนั้น ฉันจะไม่มีวันไปสั่นคลอนการแต่งงานของคนอื่นแน่ สำหรับความรักนั้น ฉันมีเส้นตาย
เพราะฉะนั้นในวันนี้ ขอให้ผู้ชมทุกท่านตั้งใจรับฟังฉันร้องเพลง ‘เมียน้อย’ ให้ดี แล้วลองดูซิว่าฉันมีความรู้สึกผิดอยู่ในนั้นหรือเปล่า”
โดยปราศจากเครื่องดนตรี เมิ่งฉีดีดนิ้วประกอบเป็จังหวะ เธอร้องเพลงลูกทุ่งด้วยเนื้อเสียงที่ชัดเจน สดชื่นและละเอียดอ่อน สิ่งที่ทรงพลังที่สุดก็คือเธอสามารถสลัดความเ็ปและภาระอันหนักอึ้ง ซึ่งเธอแบกมันไว้มาโดยตลอดให้หลุดพ้นออกไปได้ เสียงนั้นราวกับโบยบินได้ และเธอได้รับคะแนนเฉลี่ย 9.8 คะแนนไปอีกครั้ง เธอสามารถเรียกเสียงปรบมืออันอบอุ่นจากบรรดาผู้ชมได้ ไม่ใช่สำหรับเพลงเท่านั้น แต่สำหรับความจริงใจและตรงไปตรงมาของเมิ่งฉีด้วย นี่เป็คุณลักษณะที่หาได้ยากยิ่งในวงการบันเทิง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็อย่าหาว่าเป็การเสียมารยาทเลยนะ ในเมื่อเธอมอบเพลงดีๆ ให้ฉัน แน่นอนว่าฉันก็คงต้องมอบเพลงดีๆ ให้เธอบ้าง “มาร้องเพลง ‘แพะร้องแบะแบะ’ ซะสิ!” เมิ่งฉียิ้มก่อนจะเอาคืน เพลงนี้ก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์ 10 เพลงจากชาเขียวเช่นกัน แต่เพลงนี้ถูกหัวเราะจนฟันแทบร่วง
สีหน้าเสแสร้งของชาเขียวกลายเป็ดำมืด บวกกับการร้องอะแคปเปลล่าซึ่งเป็จุดอ่อนของเธอ เพลง ‘แพะร้องแบะแบะ’ แพ้จนหมดท่า เธอได้คะแนนเฉลี่ยไป 9.6 คะแนน
ผ่านไปสามเพลงแล้ว เดิมทีชาเขียวคิดว่าเธอจะชนะเมิ่งฉีแบบขาดรอยแต่ตอนนี้กลับมาเสมอกัน
“คอยดูก็แล้วกัน เพลงสุดท้าย ฉันจะให้พี่ลงไปนอนดิ้นตายอยู่บนพื้นเลยล่ะ” ยายชาเขียวลงมาจากเวทีด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ฉันจะดิ้นตายไหมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ฉันเห็นเธอดิ้นอยู่นะ ไปเติมหน้าซะหน่อยสิ เติมเยอะๆ เลยล่ะ” เมิ่งฉีกอดอกอมยิ้มพลางพูด