แสงจันทร์กระจ่างบดบังแสงดาว รถสัญจรไปมาบนถนนเลียบชายฝั่งในยามค่ำคืน ภายใต้โคมไฟถนนสีส้ม มีจักรยานสาธารณะซึ่งให้เช่ากำลังแล่นเลียบถนนอยู่
ตุ๊กตากระต่ายตัวโตนั่งอยู่ที่กันชนหน้าของเสิ่นิ เขากอดรัดมันอยู่ในอ้อมอกเฉกเช่นคนรัก เมิ่งฉีนั่งหันข้างอยู่ที่เบาะหลัง เธอโอบเอวของเสิ่นิด้วยมือเดียวและซบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา ลมที่พัดโชยผ่านสองขาทำให้กระโปรงสั้นของเธอพลอยเต้นระบำด้วย ถุงน่องขาวสลับดำสว่างวาบภายใต้รัศมีจากแสงไฟ
เมิ่งฉียืนกรานว่าจะปล่อยคนขับรถแท็กซี่คนนั้นไป ซึ่งนั่นทำให้เสิ่นิครวญครางในลำคอ เขาไม่ได้กังวลว่าเ้าหมอนั่นจะสร้างความลำบากให้แก่เขา แต่แค่อยากรู้ว่า ทำไมแฟนคลับถึงได้ตามสะกดรอยตามเขาได้ถึงสองแห่งภายในวันเดียว เื่นี้จะบอกว่าโชคดีก็เป็ไปไม่ได้
เขาคงจะต้องใช้ทักษะบางอย่างในสนามรบเพื่อรวบรวมข้อมูลแล้ว แต่ว่าแม่ดาราใหญ่หัวแข็งคนนี้ ช่างไม่เป็เอาซะเลย
เขาถีบจักรยานด้วยความเร็วเพื่อจะพาเมิ่งฉีกลับไปยังคฤหาสน์ และแน่นอนว่าเซี่ยวอี๋กลับมาถึงแล้ว เธอกำลังพูดคุยอยู่กับอู๋เหนิง เมิ่งฉีเหนื่อยล้า เธออุ้มกระต่ายน้อยซึ่งตัวสูงกว่าเธอขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน เสิ่นินั่งลงตรงข้ามกับอู๋เหนิงด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“คุณคิดจะทำอะไร” อู๋เหนิงถาม
“ั้แ่นี้เป็ต้นไป ต้องเพิ่มระดับมาตรการการรักษาความปลอดภัยของคุณเมิ่งฉี ผมจำเป็ต้องรู้ตารางการเดินทางล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง รวมถึงรายชื่อและข้อมูลของบุคคลที่คุณเมิ่งฉีจะได้พบ” เสิ่นิกล่าวอย่างซื่อสัตย์และเปิดเผย
“ทำไมกัน พ่อคนขับรถนั่นทำให้คุณรู้สึกถึงอันตรายเหรอ เซี่ยวอี๋บอกผมแล้วว่าเขาเป็แฟนคลับผู้ภักดี คุณขี้กลัวเกินไปหรือเปล่า” อู๋เหนิงจ้องด้วยสายตาดูถูก
“ที่ผมห่วงไม่ใช่ชายอ้วนคนนั้น แต่เป็คนร้ายจริงๆ ที่อยู่เื้ัหมอนั่นมากกว่า”
“คุณไม่ได้ซักถามเขาเหรอว่าคนคนนั้นคือใคร” ในที่สุดอู๋เหนิงก็จริงจังขึ้นมา
“ไม่มีโอกาส แต่ก็ไม่เป็ไร ผมรู้ว่าเขาต้องลงมืออีกแน่ แต่ว่าครั้งหน้า เขาจะต้องเสียใจที่มากวนประสาทผม” เสิ่นิพูดอย่างเ็า
“ผมก็อยากเห็นว่าไอ้หน้าไหนที่กล้ามาแตะต้องศิลปินของผม” นี่นับเป็ครั้งแรกที่อู๋เหนิงและเสิ่นิร่วมแรงร่วมใจกัน
เมื่อเห็นรอยยิ้มเ้าเล่ห์ของคนทั้งคู่แล้ว เซี่ยวอี๋ก็ถึงกับตัวสั่น
วันที่สี่ ในที่สุดอู๋เหนิงก็เริ่มเชื่อใจบอดี้การ์ดผู้ไม่้าเงิน ไม่เพียงแต่แจ้งกำหนดการล่วงหน้า 12 ชั่วโมง แต่ยังมอบหมายให้เขาเป็คนกำหนดเส้นทางการเดินทางไปทำงานด้วย และแม้ว่าเส้นทางที่เสิ่นิจัดจะใช้เวลาเพิ่มขึ้น 5 ถึง 10 นาที แต่ก็ไม่มีเื่สะกดรอยตามเกิดขึ้นอีก
รอบชิงชนะเลิศใกล้เข้ามาทุกวัน เมิ่งฉียุ่งมากจนถึงขั้นจำกัดเวลานอนให้เหลือน้อยที่สุด เธอมีนัดสัมภาษณ์ทุกวันอย่างไม่จบไม่สิ้น เต้นไม่มีวันเสร็จ ร้องไม่มีวันจบ เธอเหนื่อยมากเสียจนแทบเป็ลมในห้องน้ำ หมดแรงจนแทบจะยกตะเกียบขึ้นไม่ไหว กระทั่งไข้ขึ้นจนแตะ 39.8 องศา เธอพูดๆ เื่การแข่งขันอยู่ จู่ๆ ก็สลบไปเลย...
แต่สิ่งที่อู๋เหนิงทำเพื่อเธอกลับคือการปลุกให้เธอลุกขึ้นมาทำงานต่อ เสิ่นิกลายมาเป็บุรุษพยาบาลเต็มเวลา คอยดูแลสภาพร่างกายเธออย่างละเอียด มันเกินจะจินตนาการว่าทำไมหญิงสาวตัวน้อยคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งมากเพียงนี้ งานหนักเสียจนกระทั่งสภาพร่างกายเธอแทบพัง แต่เธอก็ไม่บ่นสักคำ
ในความคิดของเธอ นี่แหละดารา ต้องมีความพยายามอดทนมากกว่าคนทั่วไปร้อยเท่า ถึงจะสมกับที่ได้รับความสนใจจากแฟนๆ เซี่ยวอี๋ตามติดอยู่สองวัน เธอก็หมดความสนใจต่อคำเชิญของอู๋เหนิงโดยสิ้นเชิง เธอยินดีที่จะปวดแขนเพื่อฝึกความแม่นยำในการยิงปืน แต่ไม่ยินดีที่จะต้องเต้น 200 เที่ยวเพื่อที่จะทำให้เขาประทับใจ
วันที่ 7 รอบชิงชนะเลิศมาถึงแล้ว รอบสนามเนืองแน่นไปด้วยเหล่าแฟนๆ และสื่อมวลชนั้แ่เช้ามืด คุณยายแก่ๆ มายืนขายแท่งไฟ พวกขายตั๋วผีก็มาอย่างกับนัดไว้ สื่อท้องถิ่นหลายสำนักถึงขนาดจัด่ข่าวพิเศษแทรกเพื่อรายงานสถานการณ์เป็ครั้งคราว ราวกับว่าฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศระดับโลกกำลังจะจัดขึ้นที่นี่
ระบบรักษาความปลอดภัยของคอนเสิร์ตก็ถือว่าใช้ได้ นอกจากผู้ชมบนอัฒจันทร์แล้ว จะมีเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราอยู่ทุกๆ 30 เมตร รอบๆ เวทีมีเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากถึง 30 นาย พวกเขายืนชิดติดกันโดยล้อมเป็กำแพงมนุษย์
“มาเป็กองทัพขนาดนี้ เราคงไม่ต้องออกโรงแล้วล่ะมั้ง” ก่อนที่บรรดาผู้ชมจะเข้าสนาม เซี่ยวอี๋ตามติดเสิ่นิเพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกับสถานที่แสดง และเมื่อเห็นทีมงานรักษาความปลอดภัยเคลื่อนขบวนมาเป็แถว เซี่ยวอี๋ก็รู้สึกสุขใจที่ชามข้าวได้ถูกปล้นไป
“ก่อนจะหมดสัญญาต้องทำให้สุดความสามารถ นี่คือหน้าที่” เสิ่นิยังคงตรวจตราบรรยากาศรอบๆ อย่างพิถีพิถัน เขาตรวจไปจนกระทั่งข้าวของเครื่องมือที่ใช้
“ก็แล้วแต่นายเถอะ ว่าแต่พอจบงานนี้แล้วนายจะไปทำอะไร คิดจะเป็บอดี้การ์ดของเมิ่งฉีต่อไปอย่างนั้นเหรอ ฉันมองออกนะ นายชอบเธออยู่ไม่น้อย” เซี่ยวอี๋ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง และหันไปมองทางอื่นในขณะที่ถามออกไป
“บริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่นให้บริการการรักษาความปลอดภัยทุกประเภท แต่จะไม่หวนกลับไปทำงานเดิม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่พ่อได้ตั้งกฎไว้ ผมก็ต้องยึดปฏิบัติตาม” เสิ่นิตอบอย่างใจเย็น
“หากเมิ่งฉีรู้ถึงกฎข้อนี้ล่ะก็ เธอคงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ” เซี่ยวอี๋ถอนหายใจเบาๆ
“เธอคงไม่รู้หรอก เพราะผมจะจากไปอย่างเงียบๆ ไม่คิดจะบอกลา” เมื่อเสิ่นิตรวจสอบเวทีเสร็จ เขาก็เก็บเครื่องดนตรี “ไปกัน กลับห้องแต่งตัวเถอะ”
“เครื่องจักรไร้ความรู้สึก...ชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้ตาบอดไปชอบไอ้เ้าหมอนี่ได้” เซี่ยวอี๋กระซิบพูดกับตัวเอง
“หูผมดีมากนะ อย่าพูดจาว่าร้ายลับหลังผม ระวังจะถูกหักเงินเดือน” เสินิเดินนำออกไป 5 เมตรแล้ว
“ฉันมีเงินเดือนด้วยเหรอ” เซี่ยวอี๋แสยะยิ้มพร้อมเดินตามไป
ห้องแต่งตัวสำหรับผู้เข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คือห้องพักที่เมื่อก่อนทีมฟุตบอลเขาใช้กัน ได้ใช้ห้องที่ 20 กว่าคนใช้เพียงลำพังนับว่าโอ่อ่าหรูหรามาก
ใกล้จะถึงเวลาแต่งองค์ทรงเครื่องครั้งสุดท้ายแล้ว อู๋เหนิงและทีมงานร่วมโหลยังคงยืนอยู่ที่นอกประตู เหมือนกับเกย์ที่ยืนต่อแถวรอเข้าห้องน้ำหญิงในสวนสาธารณะอย่างไรอย่างนั้น
“คุณทำอะไรน่ะ” เซี่ยวอี๋ถามด้วยความสงสัย
“เมิ่งฉีกำลังลองเสื้อผ้า เธอบอกว่าอยากพบเสิ่นิตามลำพัง เชิญ! คุณบอดี้การ์ดของผม” อู๋เหนิงเปิดประตูห้องแต่งตัวให้เสิ่นิด้วยตัวเอง
เสิ่นิไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่เปิดไฟสลัว อุปกรณ์เครื่องแต่งตัวเกลื่อนอยู่ทุกแห่งหน มีเพียงหลอดไฟกลมส่องสว่างอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่
“เมิ่งฉีเหรอ”
“รอเดี๋ยว!” เมิ่งฉีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่หลังม่านอย่างอุตลุด แต่งุ่มง่ามอยู่สองนานก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ เธอจึงใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าอกไว้ก่อนจะโผล่ออกมาจากหลังม่าน
ชุดกระโปรงสั้นที่เธอสวมในวันนี้ประดับด้วยเม็ดคริสตัล บนเท้าก็สวมรองเท้าส้นเข็มที่ประดับด้วยมุขคริสตัลอย่างประณีตเช่นกัน โลลิตัวจ้อยที่สูงแค่ 1.55 เมตรดูเพรียวขึ้นทันตาเห็น เป็ที่น่าดึงดูดเย้ายวนใจ
“ว่าไง” เสิ่นิถามเบาๆ
“ซิปมันติด ช่วยฉันดึงหน่อย” เมิ่งฉีหันหลังให้ เผยให้เห็นแผ่นหลังเนียนรูปตัว S
ตามมาด้วยเสียงเสียดสีของซิปดังเอี๊ยดอ๊าด จังหวะการเต้นของหัวใจของเมิ่งฉีก็เพิ่มเร็วขึ้นไปด้วย แก้มเธอแดงเปล่งขึ้นมา
“เสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมออกไปแล้วนะ” เสิ่นิตั้งท่าจะเดินออกไป
“หยุดก่อน! ที่ฉันเรียกคุณมาไม่ใช่เพราะจะอ่อยคุณ!” เมิ่งฉีคว้าชายสูทของเสิ่นิไว้
“มีเื่อะไรอีกเหรอ” บางครั้งเสิ่นิก็ไม่เข้าใจจิตใจของผู้หญิง
“ฉันให้” เมิ่งฉีเอา SD การ์ดยัดใสมือเสิ่นิ
“นี่มันอะไร” เสิ่นิถามด้วยความสงสัย
“พ่อตัวแสบ คุณน่ะโชคดีแล้ว ในนี้เป็เพลงใหม่ที่ฉันอัดไว้ เดิมทีฉันตั้งใจจะเอามาเป็เพลงจบในรอบชิงชนะเลิศ และแม้ว่าอาจารย์นักแต่งเพลงจะชอบมันมาก แต่อู๋เหนิงก็ยังยืนกรานว่าจะแปลงเพลง เพราะฉะนั้นต่อไปฉันก็คงไม่มีโอกาสได้ร้องเพลงนี้อีกแล้ว คุณอยู่กับฉันนานขนาดนี้ แถมยังช่วยฉันไว้ตั้งหลายครั้ง ถือว่าสิ่งนี้เป็ของขวัญที่ฉันมอบให้คุณก็แล้วกัน
หากว่าวันไหนเงินคุณไม่พอใช้ ก็เอาเ้านี้ไปขายให้กับค่ายเพลงนะ มันน่าจะพอสำหรับการซื้อห้องชุดใจกลางเมืองภายในวงแหวนรอบที่ห้าได้” เมิ่งฉีหัวเราะฮ่าๆ “แน่นอนว่าฉันไม่ได้อยากให้คุณทำอย่างนั้น”
“เข้าใจแล้ว ผมจะเก็บมันเอาไว้เป็อย่างดี” เสิ่นิเก็บ SD การ์ดใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหันตัวเตรียมเดินจากไป
“เพียะ!” เมิ่งฉีเด้งตัวขึ้นตบหน้าผากเสิ่นิจอมซื่อบื้อ “งี่เง่า ใครเขาให้คุณเก็บฮะ! ให้เอาไปฟัง! ฟังซะ! เข้าใจไหม”
“คุณน่ะ อย่าเที่ยวไปลงมือกับใครที่คุณเอาชนะไม่ได้ นี่ผมยอมคุณหรอกนะ” เสิ่นิกล่าวพลางลูบหน้าผากและขมวดคิ้ว
“ก็เพราะรู้ว่าคุณยอม แล้วจะไม่ให้ฉันแกล้งคุณเหรอ คุณเห็นฉันโง่หรือยังไง” เมิ่งฉีกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ณ เวลานี้ เ้าหน้าที่กลุ่มใหญ่เดินผ่านเสิ่นิเข้าไปยังห้องแต่งตัว พวกเขาเริ่มง่วนอยู่กับงานของตัวเอง เมิ่งฉีอาจจะเป็ดาราสำหรับคนอื่น แต่สำหรับพวกเขาเธอเป็เหมือนเวทีในการทำงาน การจับเธอแต่งหน้าทำผมแต่งตัวให้สวยที่สุดเป็เหมือนกับป้ายโฆษณาในการหากินครั้งต่อไปของพวกเขา เสิ่นิถูกคนเบียดออกไปจากห้องแต่งตัว แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะปิดประตูให้
“เธอเรียกคุณไปทำไม” ที่นอกประตูนั่น อู๋เหนิงถามขึ้น
“ซิปติด ให้ไปช่วยดึง” เสิ่นิพูดจบก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
ค่ำคืนอันเงียบสงบ ฝูงชนเนืองแน่นไปทั้งสนาม ผู้คนนับหมื่นถือแท่งไฟหลากหลายประเภท บ้างก็ถือป้ายไฟนีออนเชียร์ดาราในดวงใจของตัวเอง บรรยากาศ่ต้นของงานแสดงครึกครื้นถึงขีดสุด
บรรดาผู้ชมต่างตื่นเต้นเหมือนกับรอดูการชนไก่ เ้าหน้าที่ทุกคนประหม่าราวกับว่ากำลังจะคลอดลูก กรรมการทั้งสี่นั่งอยู่บนเก้าอี้อันทรงเกียรติ ไคว่จุ่ยหวายังคงดื่มน้ำร้อนสลับเย็นเพื่อกระตุ้นลิ้นของเขา เ้าหมอนี่ก่อนเป็พิธีกรคงเคยทำงานที่เมืองตงก่วนในกวางตุ้งมาก่อน
ยังมีเวลาอีก 10 นาทีก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น เสียงะโร้องเรียก “เมิ่งฉี” และ “ชาเขียว” ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน เพื่อคอยจับตาดูเมิ่งฉี เสิ่นเมิ่งและเซี่ยวอี๋นั่งอยู่ในบริเวณที่นั่ง VIP ด้านข้างเวที รอบๆ ตัวพวกเขามีแต่คนดัง คนรวยทั่วทั้งเมืองจีน และเหล่าบรรดาผู้ถือบัตร VIP ก็แน่นขนัดเสียจนไปถึงขอบเวที คอยะโกันโหวกเหวก พวกเขาไม่เพียงแต่มีที่นั่ง แต่ยังมีพนักงานเสิร์ฟคอยบริการน้ำชาและน้ำดื่มให้ ทุกคนได้นั่งเก้าอี้โซฟา หนำซ้ำยังพกพาเอาพัดลมปรับอากาศมาใช้เพื่อไล่ไอร้อนยามค่ำคืนของเมืองหลินไห่ได้
เซี่ยวอี๋พบดาราดังไม่น้อย บางคนถึงขั้นเริ่มคุยกับเธอก่อน ทำเอาเธอเขินไปเลย แต่เสิ่นิกลับนั่งอย่างเป็ธรรมชาติ เขาเปลี่ยนเอา SD การ์ดที่เมิ่งฉีให้มาใส่ในโทรศัพท์ ก่อนจะเสียบหูฟังเข้าไปในช่องหู
สิ่งที่เมิ่งฉีคาดไม่ถึงก็คือ ในฐานะนักสู้มืออาชีพ เสิ่นหมิ่งไม่สามารถที่จะปิดกั้นหูทั้งสองของเขาได้ เขาไม่ฟังเพลง เพราะมันทำให้ความสามารถในการรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวลดลง
แต่เพื่อความปรารถนาดีของเมิ่งฉี เขาคลิกปุ่มเล่นเพลงเป็ครั้งแรก เสียงกีตาร์อันเรียบง่าย กอปรกับเส้นเสียงอันเป็ธรรมชาติ และเนื้อเพลง... ที่แท้แล้วความรู้สึกของมนุษย์นั้นไม่จำเป็ต้องมากมาย ขอแค่ความจริงใจก็เพียงพอ