ฮวาชีเยว่ลุกขึ้นยืน มองหน้าไฉ่ชิงด้วยดวงตาไม่เปลี่ยนแปลง “เ้าคือไฉ่หนิงหรือ? ”
ไฉ่ชิงพูดไม่ออก “ข้าคือไฉ่ชิง! ”
“อ้อ เช่นนั้นเ้าคือไฉ่ชิง กล้าดีอย่างไรขัดรับสั่งฮ่องเต้? ข้าคงต้องแจ้งให้พระองค์ทราบว่าพวกเ้ามิได้สนใจเป็องครักษ์ข้า ทว่ามาที่นี่เพื่อต้นหลงแดง หรืออีกนัยหนึ่งคือพวกเ้าเพียงมาเพื่อแอบดูสมุนไพรวิเศษ!”
ฮวาชีเยว่ยิ้มเจิดจ้า สีหน้าของไฉ่หนิงและไฉ่ชิงคล้ำลง “เ้า...ฮวาชีเยว่ กล้าดีอย่างไรพูดจาไร้สาระ แสร้งทำเป็อ่านความคิดพวกข้า!”
ไฉ่ชิงพูดเสียงเย็น กำมือแน่นด้วยความโมโห
เทียนซีกระวนกระวายขึ้นมา เขาดึงแขนเสื้อฮวาชีเยว่ นางก้มมองดวงตากลมโตสีดำดุจน้ำหมึกนั้นแล้วลูบหัวเขา “พวกเราไม่้าองครักษ์ที่ไม่ภักดีต่อนายหญิง เทียนซีต้องเข้าใจเื่นี้ หากผู้ใต้บังคับบัญชาเ้าไม่เชื่อฟังเ้า ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็ต้องทำให้พวกเขายอมลงแก่เ้า มิใช่นั้นก็ไสหัวพวกมันออกไปเสีย!”
ลู่ซินงึมงำ “คุณหนูใหญ่เ้าคะ ไฉ่ชิงกับน้องชายเพียงแต่...เด็กเกินไปเท่านั้น...”
ฮวาชีเยว่ไม่สนใจลู่ซิน สาวใช้ของนางสองคนล้วนไม่เคยพูดคุยกับบุรุษรูปงามมากนัก เมื่อเจอเด็กหนุ่มรูปงามที่เป็จอมยุทธ์สองคนเข้าออกจวนทุกวันย่อมแอบชอบได้
พวกนางยังเป็เด็กใสซื่อ หัวใจดุจสายลมวสันต์ ง่ายดายแก่การหลงใหลรักใคร่
“ฮวาชีเยว่ พวกเราไม่เคารพเ้าเพราะเ้าไร้ความสามารถ! เราเคารพเพียงปรมาจารย์ที่สูงส่งกว่าเท่านั้น! หาก้าให้พวกข้าเคารพเ้า ก็แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาเสีย! มิเช่นนั้นอย่าได้คิดจะใช้แผนสตรีงามอีก!”
ไฉ่หนิงร้องออกมา แม้สองพี่น้องจะดูเหมือนกัน ทว่าไฉ่ชิงลึกล้ำกว่า ขณะที่ไฉ่หนิงตรงไปตรงมา
ฮวาชีเยว่ยิ้มบาง นางรอให้เขาพูดเช่นนี้อยู่!
“ได้ จำคำเ้าไว้เล่า!” ทันทีที่นางพูดจบ ทุกคนก็รู้สึกราวกับมีเงาสีขาวปรากฏเบื้องหน้านางราวกับสายฟ้า นางใช้ท่าเท้าส่งิญญา พริบตาปราดเข้าสู่ข้างกายสองพี่น้อง นางยกมือขึ้นชิงดาบจากมือพวกเขาออกมาพร้อมกัน
ไฉ่หนิงและไฉ่ชิงตกตะลึง พวกเขาคิดแต่ว่าชัยชนะของฮวาชีเยว่ในสนามประลองล้วนเป็เพียงโชคช่วย
มิคาดที่แท้นางกลับมีความสามารถ!
พวกเขาปล่อยเมื่อ เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ได้ยินเสียงดาบออกจากฝัก ฮวาชีเยว่ถือดาบไว้ในสองมือ เส้นผมพวกเขาร่วงลงจากปลายดาบ ปลิวไปตามสายลม
สองพี่น้องสกุลไฉ่นิ่งงัน มองมือที่ว่างเปล่าของพวกตน จากนั้นจึงเห็นเส้นผมยาวประบ่าของพวกตนต่างถูกฮวาชีเยว่เฉือนออกไป
แม้ฮวาชีเยว่จะไม่รู้วิธีจับดาบ นางก็ยังเป็จอมยุทธ์ระดับเมฆาทะยานขั้นสมบูรณ์ ย่อมเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ฮวาชีเยว่โยนดาบคืนแก่สองพี่น้องที่รับเอาไว้ด้วยความรู้สึกชาหนึบ ใบหน้าพวกเขามีเพียงความประหลาดใจ กระทั่งลู่ซินและโหย่วชุ่ยก็ยังใจนไม่อาจขยับตัว
เทียนซีรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เขารีบปรบมือน้อยๆ พุ่งเข้ามากอดฮวาชีเยว่
ฮวาชีเยว่จ้องมองสองไฉ่ด้วยสายตาเรียบเฉย “จะยอมหรือไม่? ”
สองพี่น้องมองหน้ากัน สีหน้าซีดเผือดยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถของฮวาชีเยว่ที่แสดงให้เห็น นางย่อมสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางย่อมมีวรยุทธ์!
คุณหนูใหญ่ที่ถูกเรียกขานว่าขยะไร้ประโยชน์ผู้นี้ ที่แท้ก็เป็วรยุทธ์!
เมื่อฮวาชีเยว่ขยับกาย พวกเขาััได้ถึงพลังลมปราณเข้มข้น นางไม่ใช่นักดาบ ย่อมต้องใช้พลังลมปราณเพื่อควบคุมดาบทั้งสองเล่ม มิเช่นนั้นย่อมไม่อาจยกดาบหนักเช่นนี้ได้โดยง่าย!
“พวกข้าน้อย...ยอมรับขอรับ!”
แม้ในดวงตาทั้งสองจะปรากฏความเสียใจ ทว่ายังคงก้มหน้าลง แสร้งทำท่ายินยอม
ฮวาชีเยว่เลิกคิ้วขึ้น เด็กสองคนนี้ล้วนแต่เป็คนหนุ่มเืร้อน แม้จะแสร้งทำท่ายอมรับ ทว่าในใจไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่าย
แม้นางจะสำเร็จเมฆาทะยานขั้นสมบูรณ์แล้ว นางยังคงต้องอาศัยท่าเท้าส่งิญญา มิเช่นนั้นย่อมไม่อาจเอาชนะผู้ใช้พลังปราณระดับเมฆาทะยานขั้นกลางได้ นางยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานและสนามรบดุเดือดเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ทว่ายามนี้นางได้เปรียบอย่างง่ายดายด้วยรู้วิชาตัวเบาลึกลับเหนือชั้นนี้
“คุณพระคุณเ้า! คุณหนูใหญ่ทรงพลังยิ่งนักเ้าค่ะ!” ลู่ซินได้แต่อ้าปากค้าง
โหย่วชุ่ยเองก็ประทับใจนัก “คุณหนูทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไรเ้าคะ?”
ฮวาชีเยว่ไม่กล่าวคำเพียงยิ้มเท่านั้น เงียบงันดุจดอกไม้ มือเล็กของเทียนซีอยู่ในอุ้งมือนาง นางคิดจะจากไปทว่ากลับถูกดึงมือเอาไว้ เขาเขียนอักษรลงบนมือนาง
ฮวาชีเยว่หยุดเพื่อดู เทียนซีเขียนลงมาเช่นนี้ “ได้ยินว่าท่านพ่อตายแล้วหรือ”
แม้เด็กคนนี้อายุเพียงหกหนาวทว่ามิได้โง่งม โจวจื่อเฉิงสังหารห้าชีวิต นับเป็ข่าวคาวเืที่น่าตกตะลึงที่สุดในเมืองหลวง
เทียนซีย่อมได้ยินคนพูดคุยกัน จึงได้มาสอบถามฮวาชีเยว่
ใบหน้าฮวาชีเยว่หม่นลง นางยังคงจำสิ่งที่องค์หญิงฮุ่ยเจินกล่าวไว้ก่อนตายได้ จึงส่ายหน้า “เทียนซี เขามิใช่บิดาเ้า”
เทียนซีเบิกตากว้าง จ้องมองฮวาชีเยว่อย่างไม่เชื่อ
ฮวาชีเยว่ยิ้ม เงียบสงัดดุจดวงจันทร์ยามค่ำ “เทียนซี เขามิใช่บิดาเ้า วันหนึ่งเ้าจะเข้าใจ เ้าไม่จำเป็ต้องเสียใจให้คนผู้นั้น”
โจวจื่อเฉิงยอมให้องค์หญิงฮุ่ยเจินทรมานเทียนซี ความโหดร้ายนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาสารเลวเพียงใด ไม่จำเป็ต้องแสดงความสงสารเห็นใจแก่บุรุษเช่นนี้
ส่วนที่เขายินยอมให้เทียนซีเติบโตมานี้ ชาติก่อนฮวาชีเยว่เป็ผู้ลงแรงมากมาย มิใช่ภัตตาคารต้งไห่ใหญ่โตโด่งดังเพียงนี้ได้เพราะความสามารถนางหรอกหรือ?
เทียนซีเข้าใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เสียงปรบมือดังลั่นจากหน้าเรือน
ฮวาชีเยว่ช้อนตาขึ้น เห็นจี้เฟิงในชุดสีฟ้าอยู่ตรงนั้น ทั้งยังมีจี้จิงในชุดสีแดงที่เดินปราดเข้ามา สีหน้าของทั้งสองเปี่ยมด้วยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน
“ชีเยว่ เมื่อครู่เ้าเก่งกาจนัก!”
ฮวาชีเยว่เลิกคิ้ว นางทราบว่ามีคนอยู่นอกสวนทว่ามิได้ใส่ใจว่าผู้มาเยือนเป็ใคร มิคาดทั้งสองจะเป็จี้จิงและจี้เฟิง
พ่อบ้านหวางเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ บ่าวทราบว่าคุณชายจี้และท่านเพื่อนสหายสนิทกันจึงมิได้แจ้งให้ทราบ...”
“ช่างเถอะ เ้าไปได้” ฮวาชีเยว่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จี้เฟิงมองนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นมองสองพี่น้องสกุลไฉ่อย่างเ็า
องครักษ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ฮวาชีเยว่ทั้งเด็กและหล่อเหลา ซ้ำยังมีความประพฤติไม่ธรรมดา แม้จะมาจากครอบครัวสามัญชน ทว่าระดับพลังปราณอยู่ถึงขั้นเมฆาทะยานระดับกลางย่อมจัดการไม่ง่าย
“พี่ชีเยว่ องครักษ์สองคนนี้หยาบคายนัก เหตุใดจึงยังให้พวกเขาอยู่เล่า? พี่ชายกับข้าเห็นแล้วว่าพวกเขาหยาบคายเพียงใด ย่อมสามารถเป็พยานได้หากฮ่องเต้ทรงกล่าวโทษที่ท่านขับไล่พวกเขา!” นางกล่าวเช่นนี้ จี้จิงมององครักษ์ทั้งสองด้วยสายตาเ็า
สีหน้าสององครักษ์ซีดเผือด หากมีใครเป็พยานยืนยันความหยาบคายที่พวกเขากระทำต่อฮวาชีเยว่ เช่นนี้ย่อมหมายถึงพวกเขาขัดรับสั่งฮ่องเต้แล้ว
หากทำให้เชื้อพระวงศ์ไม่พอใจ ครอบครัวพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย อย่างไรทั้งสองก็เป็จอมยุทธ์อัจฉริยะที่โผล่ออกมาจากตระกูลไฉ่
พวกเขามองหน้ากัน แม้ไม่้ายินยอม ทว่ากลับคุกเข่าลง เอ่ยโดยพร้อมเพรียง “คุณหนูฮวา พวกเราทำเกินไป พวกเราเย่อหยิ่งเกินไป ขอคุณหนูฮวาโปรดลงโทษด้วยขอรับ!”
จี้จิงและจี้เฟิงได้ยินพวกเขาก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ดีขึ้นบ้างเมื่อได้ช่วยฮวาชีเยว่ระบายอารมณ์
ฮวาชีเยว่มิได้เก็บความหยาบคายนั้นมาใส่ใจ ในทวีปเทียนหยวนนี้คนแข็งแกร่งล้วนแต่พยศทั้งสิ้น ผู้ที่ปราศจากการฝึกตนล้วนถูกจอมยุทธ์ดูแคลน นับเป็กฎที่ไม่คลอนแคลนมานับหมื่นปี
“ลุกขึ้นเถอะ ลู่ซินเตรียมชา”
ลู่ซินรับคำ ฮวาชีเยว่เชิญจี้เฟิงและจี้จิงเข้าไปยังห้องรับรอง นางยังไม่ได้รับสำรับเช้า เมื่อลู่ซินและสาวใช้นำอาหารเช้าและน้ำชาเข้ามา จี้เฟิงก็มีสีหน้าปวดใจ
“ชีเยว่ยังมิได้รับอาหารเช้าหรือ? เ้าไปที่ใดมา?”
จี้จิงเองก็พยักหน้า “ใช่แล้วพี่ชีเยว่ เหตุใดจึงปฏิบัติเช่นนี้ต่อตนเองเล่าเ้าคะ? ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว!”
ฮวาชีเยว่ยิ้มบาง “ไม่เป็ไร เพียงแต่ข้า...ฮ่าๆ...ข้าหลับเพลินไปหน่อย หลับเป็ตายเลยทีเดียว!”
นางย่อมไม่อาจกล่าวได้ว่าตนมัวแต่นั่งโคจรลมปราณอยู่ในโลกเร้นลับ
จี้เฟิงได้ยินก็ไม่ทราบว่าจะยิ้มหรือขมวดคิ้วดี เขามองฮวาชีเยว่อย่างเข้มข้น รู้สึกชอบสตรีผู้นี้มากขึ้นทุกที คนมีเบื้องลึกที่ปิดบังเอาไว้ ไม่ดูแคลนผู้อื่น ไม่ตกตะลึงเมื่อได้รับความชอบ ไม่คลอนแคลนตามคำดูแคลน เป็สตรีล้ำค่าโดยแท้!
“พวกท่านมาร่วมรับสำรับเช้ารอบสองกับข้าดีไหมเ้าคะ?” ฮวาชีเยว่ยิ้ม ชี้หม้อใส่น้ำแกงไก่โสม “น้ำแกงนี้เคี่ยวกับหลงแดง อร่อยยิ่งนัก ลองชิมร่วมกันดีหรือไม่?”
จี้เฟิงและจี้จิงได้ยินก็อดมิได้ รับถ้วยและตะเกียบมา ฮวาชีเยว่สั่งให้บ่าวไพร่เตรียมน้ำแกงนี้เอาไว้ทุกวันเพื่อให้นางได้ฟื้นคืนพลังปราณ เสริมสร้างร่างกายเทียนซี
ไฉ่ชิงและไฉ่หนิงมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่โชคดีปานนี้ ทว่าสองพี่น้องสกุลจี้กลับมีโอกาสได้ดื่มน้ำแกงหลงแดงไก่ใส่โสม
สมุนไพรวิเศษนี้ประเมินค่ามิได้ มักเก็บไว้เพื่อปรุงยา แต่ฮวาชีเยว่กลับนำมาใช้ทิ้งขว้างเช่นนี้!
“อื้ม รสชาติช่าง...ดี ดีนัก!” จี้จิงอุทานอย่างตื่นเต้น แทบจะะโจากที่
จี้เฟิงยิ้มบาง นิ่วหน้าไม่พอใจ “จิงเอ๋อร์ สตรีควรสำรวมท่าที อย่าได้ตื่นเต้นไม่เป็เื่
“นี่ เหตุใดท่านพี่บอกข้าเช่นนี้เล่า? ข้ามิใช่ว่าที่พระชายาอะไรเสียหน่อย ฮึ่ม! ย่อมไม่ใส่ใจธรรมเนียมวุ่นวายเ่าั้!” จี้จิงยิ้ม ทั้งยังหยอกล้อเทียนซีในเวลาเดียวกัน
ใบหน้าน้อยๆ ของเทียนซีแดงเจิดจ้า ดวงตาเฉลียวฉลาดดูน่ารัก ขณะที่ฮวาชีเยว่ปรารถนาให้รอบสุดท้ายมาถึงโดยไว
“ว่าแต่ พี่จี้ การแข่งขันรอบสุดท้ายจัดขึ้นเมื่อใดเ้าคะ?” ฮวาชีเยว่ถามเสียงเบา
จี้เฟิงมองหน้านาง ดวงตาอ่อนโยน “อีกสามวันข้างหน้า รายชื่อรอบสองใกล้จะออกแล้ว การประลองรอบสุดท้ายจัดขึ้นวันที่แปดเดือดแปด ทุกการประลองจบในวันเดียว
ในที่สุดวันนั้นก็ใกล้มาถึงแล้ว!
ดวงใจของฮวาชีเยว่เริ่มเต้นกระหน่ำ นางทราบว่านางเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับเมฆาทะยานแล้ว ผู้ประลองรายอื่นกลับไม่มีใครเข้าสู่ระดับเมฆายาน นางจึงให้มั่นใจนัก
“พี่ชีเยว่ดูเป็กังวลนะเ้าคะ ให้ข้ามอบปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างแก่ท่านก่อนดีหรือไม่?” ริมฝีปากจี้จิงแดงก่ำ ยิ้มให้แก่ฮวาชีเยว่อย่างซุกซน
“ไม่ต้อง เช่นนั้นจะผิดกฎเอาได้ อีกประการ เทียนซีเองก็้าเวลาอีกหลายวันจึงจะขับพิษออกจากร่างได้หมด เวลานั้นก็นับว่าเหมาะสม...หากข้าชนะ ข้าย่อมได้ปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้างแล้ว ทำตามกฎเกณฑ์เช่นนี้นับว่าเป็ประโยชน์ต่อทุกคนมากกว่า” ฮวาชีเยว่ยิ้ม
ทันใดนั้น เสียงของชิวอวิ๋นก็ดังเข้ามา “คุณหนูรอง...หรือเ้าคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้