เล่มที่ 8 บทที่ 229 เ้าขอร้องเองนะ
“หืม?” หลินเฟยยิ้มน้อยๆออกมา รู้สึกสนใจข้อเสนอนี้ขึ้นมาทันที พลางมองดูเ้าอสุรกายที่ดิ้นพล่านไปมาบนพื้น ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าขอพูดไว้ก่อนนะ ว่าเป็เ้าที่เสนอตัวเองมา ข้าไม่ได้บังคับแต่อย่างใด…”
“ใช่ๆ เป็ข้าที่เสนอตัวเอง…” เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ เ้าอสุรกายก็ถูกควันดำกลืนกินมนต์สะกดไปถึงสองสายแล้ว ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพหวาดผวายิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่มีอารมณ์มาสนใจคำพูดของหลินเฟยอีกต่อไปแล้ว…
“ก็ได้ ในเมื่อเ้ามีความตั้งใจแรงกล้าขนาดนี้…” เมื่อหลินเฟยพูดจบ เขาก็โคจรเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูอีกครั้ง ทันใดนั้นก็วาดสัจจะเก้าอักขระขึ้นมากลางอากาศ ไม่นานอักขระสีทองทั้งเก้าตัวก็สลายตัวเองเป็ลำแสงสีทอง และพุ่งไปทางเ้าอสุรกาย
ขณะที่ลำแสงสีทองเข้าประชิดตัวเ้าอสุรกาย ไออสูรที่กำลังรายล้อมอยู่รอบตัวก็ปั่นป่วนเข้าต่อต้านทันที
“ทำไมล่ะ คิดจะกลับคำงั้นหรือ?” หลินเฟยเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
จะว่าไปก็ดูประหลาดไม่น้อย เพราะหลังจากที่หลินเฟยพูดจบ หมอกควันดำที่รายล้อมอยู่ก็กัดกินเร็วขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นเ้าอสุรกายก็แทบสิ้นสติ มันหวาดกลัวจนไม่กล้าต่อต้าน และจำยอมปล่อยให้ลำแสงสีทองเ่าั้จมหายเข้าไปในตัว…
กระทั่งลำแสงทั้งหมดหายไป หลินเฟยจึงกวักมือเรียกหมอกควันดำนั้นกลับมา ทำให้เ้าอสุรกายรอดตายอย่างหวุดหวิด บัดนี้มันกำลังค่อยๆลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง…
มนต์สะกดในตัวถดถอยไปถึงสี่สายภายในวันเดียว โดยมนต์สองสายได้ถูกดวงจันทร์สะบั้นจนแตกสลาย ส่วนอีกสองสายที่เหลือก็ถูกหมอกควันดำกลืนกินเข้าไป ถือว่าโชคร้ายยิ่งนัก บัดนี้ยังมีเ้านายที่เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองอีก นับว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ…
‘แต่ยังดีที่เป็เพียงผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สอง หากออกไปได้เมื่อใด ค่อยหาวิธีสลัดอักขระเก้าตัวนั่นก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นจะจัดการกับเ้ามนุษย์ผู้นี้อย่างไรก็ได้ เหอะ ช่างรนหาที่ตายเสียจริง เป็แค่ผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สอง แต่หวังจะใช้อักขระเก้าตัวสะกดหยวนหลิงของศาสตราวุธเอาไว้ ต่อให้ไม่ได้เื่อย่างไร ตนเองก็ยังมีมนต์สะกดเทียนกังหนึ่งสายอยู่ดี หากออกจากที่นี่ได้ละก็ จะต้องเอาคืนให้สาสม…’
“เอาล่ะ ในเมื่อยอมรับข้าเป็นายแล้ว เช่นนั้นข้าขอถามอะไรหน่อย…” หลินเฟยเห็นดังนั้น ก็ดูออกทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแต่เขาไม่คิดเก็บมาใส่ใจเท่านั้น เพราะอักขระเก้าตัวที่เกิดจากเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูนี้ มีหรือที่จะสลัดออกไปได้ง่ายๆ หากไม่ใช่ขั้นเซียนเทียนละก็ อย่าหวังว่าจะหนีรอดออกไปได้เลย
“เ้าได้คัมภีร์นั่นมาจากที่ไหนกัน?”
“หื้อ?” เ้าอสุรกายได้ยินคำถามก็ชะงักลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้าฉงน
“อะไรได้มาจากไหน ข้าเป็หยวนหลิงของคัมภีร์นั่นแต่แรกแล้วเถอะ!”
“หึหึ หากคิดจะหลอกคนอื่น ก็ยังพอได้แหละ…” หลินเฟยคลี่ยิ้มบางๆ นิ้วก็พลางชี้ไปทางเ้าอสุรกาย ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ร่างของเ้าเกิดมาจากเืเนื้อและแรงอาฆาต คนที่สร้างเ้าขึ้นมา หากไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาว่านฮุ่ยก็คงใช้เคล็ดวิชาคร่าิญญา แถมภายในคัมภีร์ยังมีเจดีย์โครงกระดูกสามชั้น มนต์สะกดพวกนั้นก็ล้วนเกิดจากโครงกระดูก ซึ่งหลอมโดยการใช้โครงกระดูกเป็สะพานเชื่อมห้วงมิติหยินหยาง หากเ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็ไร หลังจากออกไปแล้ว ข้าค่อยหลอมเ้ากลับเข้าไปในคัมภีร์ เ้าจะได้ไม่แยกออกจากกายเนื้ออีก…”
“อย่านะ…” เ้าอสุรกายได้ยินดังนั้นก็ขนหัวลุกขึ้นทันที ‘บ้าบอที่สุด เ้ามนุษย์นี่ สายตาช่างหลักแหลมไม่เบา ถึงกับมองทะลุปรุโปร่งว่าตนเองไม่ใช่หยวนหลิงของคัมภีร์ แย่แล้วล่ะคราวนี้ หากถูกหลอมเข้าไปจริงๆละก็ คงต้องเสียเวลาอีกหลายร้อยปีถึงจะหนีออกมาได้…’
ทันใดนั้นความกลัวก็เกาะกินจิตใจเ้าอสุรกายขึ้นมาทันที หลังจากกะพริบตาปริบๆ มันจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงแ่เบา
“จริงๆแล้ว ข้าเข้าสิงคัมภีร์นั่น…”
“หืม?” แต่เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเฟยก็ไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ จึงแค่นหัวเราะน้อยๆออกมา ก่อนเอ่ยตอบ
“ไหนลองเล่ามาสิ ว่าเจอคัมภีร์นั่นที่ไหน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคัมภีร์นั่นมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ข้าดันเจอเคราะห์หนักเข้า เื่ราวทั้งหลายในอดีตล้วนลืมไปหมดสิ้น จำได้เพียงว่าข้าตื่นขึ้นมาในถ้ำแห่งหนึ่ง รอบด้านมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ดังจนข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาทีเดียว ในตอนนั้นเอง ข้าถึงรู้ว่ากายเนื้อได้หายไป และเพื่อไม่ให้หยวนหลิงแตกสลาย ข้าจึงต้อง่ชิงเข้าสิงอาวุธอื่น สุดท้ายก็ได้เจอกับคัมภีร์นี้ที่ส่วนลึกของถ้ำ…”
“ถ้ำอย่างนั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เมื่อพิจารณาชั่วครู่ ก็จำได้ว่าหวังหลงเคยถามเกาชิวว่าได้คัมภีร์มาจากถ้ำใช่หรือไม่
‘สงสัยจะเป็ถ้ำนั้นนั่นแหละ…’
‘โดยปกติแล้วหากหยวนหลิงถูกแยกออกจากอาวุธ มันจะอยู่ได้อีกไม่เกินร้อยปีเท่านั้น แต่เกาะนั่นจมลงใต้ทะเลมาอย่างน้อยหมื่นปีแล้ว เช่นนั้นแล้ว ใครกันล่ะ ที่เป็คนเอากายเนื้อไป?’
น่าเสียดายที่หลังจากถามต่อไปอีกหลายคำถามจึงพบว่า สิ่งที่เ้าอสุรกายรู้ ก็พอๆที่ตนเองรู้นั่นแหละ หลินเฟยจึงส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมา
“ช่างเถอะ พาข้าไปที่ถ้ำนั่นก่อนแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เขาก็ปล่อยเ้าอสุรกายออกจากห้วงมิติดินิถู่ และบงการให้คัมภีร์ปรากฏออกมา จากนั้นก็โคจรสัจจะเก้าอักขระ เพื่อส่งเ้าอสุรกายกลับเข้าคัมภีร์ไป หลังจากเสร็จเื่ทั้งหมด หลินเฟยก็หันไป หมายจะปลุกหวังหลงกับเว่ยฟงเพื่อเดินทางไปยังถ้ำที่ว่าด้วยกัน ทว่าจู่ๆก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากคัมภีร์…
“ฮ่าๆ เ้านี่ช่างรนหาที่ตายแท้ๆ ถึงได้ปล่อยข้ากลับเข้ามาในคัมภีร์…” เมื่อสิ้นเสียงชั่วร้ายนั่น คัมภีร์ก็สั่นไหวขึ้นมา ก่อนจะสลายกลายเป็ร่างอสุรกายดังเดิม ลำตัวของมันเป็สีดำสูงนับสิบจ้างาวกับเสาค้ำฟ้าขนาดั์ เพียงย่างก้าวเดียวเท่านั้น ก็ทำให้พื้นดินรอบบึงโคลนสั่นะเืไปทั่ว
“ช่างกล้าไม่เบาเลยนี่ เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองแท้ๆ แต่หวังจะให้ศาสตราวุธยอมรับเ้าเป็นาย!”
“หืม?” หลินเฟยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ส่วนสายตาที่มองเ้าอสุรกายก็เต็มไปด้วยความขบขัน…
“มองอะไร คิดว่าข้าไม่กล้ากินเ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ๆ…” หลินเฟยส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าสลักอักขระเก้าตัวลงไปในตัวเ้า…”
“ไร้สาระ!” เ้าอสุรกายได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะเ็าออกมา
“แค่อักขระเก้าตัว คิดจะควบคุมข้าได้อย่างนั้นหรือ เ้าคิดว่า…”
ทว่าเ้าอสุรกายยังไม่ทันพูดจบ ตามตัวอันใหญ่โตของมันก็ปรากฏอักขระสีทองเก้าตัวเป็แสงเรืองรองขึ้นมา เพียงครู่เดียว อักขระทั้งเก้าก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็โซ่ตรวนสีทองพันธนาการเ้าอสุรกายเอาไว้ เ้าอสุรกายเห็นดังนั้นก็ใขึ้นมาทันที สายตาของมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นี่มันอะไรกัน!”
“สิ่งนี้เรียกว่าสัจจะเก้าอักขระ…”
เมื่อสิ้นเสียงหลินเฟย โซ่สีทองก็ะเิออกโดยพลัน เมื่อกวาดตามองไปก็พบว่า เปลวไฟสีทองกำลังลุกโชติ่ จากนั้นเ้าอสุรกายก็สติแตก พยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็เอาตาย แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดรอดไปได้ จึงได้แต่จำยอมปล่อยให้เปลวไฟสีทองแผดเผาทั่วทั้งร่างของมัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------