สิ่งที่คนแก่ชอบมากที่สุดก็คือให้ลูกหลานดูแล เป็ความสุขในครอบครัว แต่ว่าปกติแล้วคนในยุคโบราณมักจะค่อนข้างรักษากิริยามารยาท การกระทำสนิทสนมเหมือนอย่างที่สวี่ไป่ทำนั้นถือว่ามีน้อยมาก
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกสวี่ไป่หอมไปหลายที หัวใจก็อ่อนยวบ รีบกอดร่างเล็กๆ ของสวี่ไป่เข้ามาในอ้อมอกด้วยความเอ็นดู พอดีกับที่โหวเย่พาสวี่ตี้เข้ามาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า พอเห็นสวี่ไป่อยู่ในอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่า ดวงตาแหลมคมของสวี่ตี้ก็มองไป ทำเอาสวี่ไป่รีบปีนออกมาจากอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่าในทันที แล้วคลานมาอยู่ข้างกายของจางจ้าวฉือดังเดิม พร้อมดึงแขนนางมาก่อนจะนั่งเจี๋ยมเจี๊ยม
ทุกคนเห็นแล้วก็ถึงกับหัวเราะออกมา จางจ้าวฉือเอ่ย “ลูกชายของข้าคนนี้น่ะ ฟ้าไม่กลัว ดินไม่กลัว แม้แต่บิดาของเขาก็ยังไม่กลัว แต่กลับกลัวพี่ชายตัวเอง หากเขาทำตัวไม่เชื่อฟังขึ้นมา ขอแค่พี่ชายของเขากระแอมออกมาครั้งเดียวก็เปลี่ยนมาเชื่อฟังทันทีเลยเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นโหวเย่เข้ามาทุกคนก็ลุกขึ้น จางจ้าวฉือรีบยกที่นั่งให้กับโหวเย่ แล้วคิดจะอุ้มสวี่ไป่ขึ้นมา แต่สวี่ไป่ไม่ยอม รอจนกระทั่งโหวเย่นั่งลงแล้วก็เริ่มทำตัวน่ารักใส่โหวเย่
สวี่ตี้คำนับให้ฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนที่นางจะยิ้มแล้วพูดด้วยท่าทางอ่อนโยน “ตี้เกอของพวกเราตัวสูงขึ้นแล้ว แล้วก็โตแล้วด้วย พอมองแล้วกลับเหมือนเห็นเงาของโหวเย่คนก่อนเลยนะ”
โหวเย่ได้ยินแล้วก็ละความสนใจจากสวี่ไป่มามองหลานชายคนโตที่มีรูปลักษณ์เป็คุณชายรูปงาม พลางลูบหนวดตัวเองมองยิ้มๆ ทว่าจู่ๆ กลับรู้สึกว่าข้างกายมีคนมาดึงหยกประดับที่ห้อยอยู่บนตัว พอก้มลงไปมองก็เป็สวี่ไป่ หลานกำลังใช้กำลังดึงเชือก้าหยก จึงดึงหยกมาไว้ในมือของตนเอง พอเห็นว่าตนเองสนใจเขาแล้ว เด็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นมาแย้มยิ้มให้ รอยยิ้มนี้เพราะว่าฟันขาวๆ ซี่เล็กหลายซี่เพิ่งจะงอกออกมา ดูแล้วทำให้หัวใจของคนสามารถอ่อนยวบเป็น้ำได้
ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามโหวเย่ไปเห็นสวี่ไป่ จึงยิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “เขาชอบของของเ้าแล้ว เห็นหรือยัง หยกประดับรูปเหลียนฮวาของข้าได้เข้าไปอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว”
สวี่ตี้เห็นน้องชายของตนเองทำเช่นนี้ไม่ดี จึงกระแอมออกมาเบาๆ สวี่ไป่ได้ยินแล้วก็รีบปล่อยหยกประดับลง ก้มหน้าอยู่ข้างกายโหวเย่ ตัวเล็กๆ นั้น จะมองอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกสงสาร
ทุกคนเห็นท่าทางของสวี่ไป่ที่ไม่ได้สนใจของของโหวเย่อีกต่อไปก็ต่างหัวเราะออกมา แม้แต่โหวเย่เองก็หัวเราะแล้วอุ้มสวี่ไป่เข้ามาในอ้อมแขน สวี่ไป่ถูกโหวเย่อุ้มขึ้นมาก็เงยหน้ามาดูคนที่ดูแล้วอายุห้าสิบ เป็คนที่มีใบหน้างดงาม นี่คือคนที่มีอำนาจมากที่สุดในจวน จึงอดที่จะมองอย่างละเอียดไม่ได้
ดวงตาของเด็กนั้นมองไปที่จุดจุดเดียว ดวงตากลมโตสีขาวดำแยกกันอย่างชัดเจนจ้องมาที่เขาอย่างตั้งใจ จนสามารถเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา โหวเย่เห็นตนเองอยู่ในดวงตาของหลานคนเล็ก ก่อนจะมองไปยังหลานคนเล็กอีกครั้ง ในแววตามีความสงสัย เขาควรจะเรียกคนที่มองหน้าตนเองอยู่นั้นว่าท่านปู่ที่เคารพ
ในใจของโหวเย่รู้สึกสบาย นี่คือสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด พลางยิ้มแล้วลูบใบหน้าเล็กๆ ของสวี่ไป่ก่อนจะเอ่ย “เ้าชอบของของข้าหรือ? เ้านี่ไม่ดี รอปู่กลับไปหาของดีกลับมาให้เ้าดีหรือไม่?”
คนที่มีฐานะมักจะพกของติดตัวเอาไว้ เมื่อเจอกับสถานการณ์พิเศษเข้า ก็จะเอาของที่ตนเองพกออกมา แล้วมอบให้เป็ของขวัญที่ได้พบหน้า หยกบนตัวของโหวเย่ชิ้นนี้ ความจริงแล้วคุณภาพก็ถือว่าไม่เลว แต่ว่าโหวเย่รู้สึกว่าหลานชายที่ได้ใจตนเองผู้นี้ มีค่าคู่ควรที่ตนจะให้ของที่ดีกว่านี้
แน่นอนว่าสวี่ไป่สามารถฟังคำพูดของโหวเย่ออก เขาพูดเช่นนี้ นั่นหมายความว่าตนเองได้รับความรักจากเขาแล้ว คิดได้ว่าในจวนนี้เขายังมีหลานชายหลานสาวอยู่มากมาย อีกทั้งตนเองเป็หลานที่เด็กที่สุด ทำให้อีกฝ่ายพูดว่าจะให้ของที่ดีกว่านี้มาให้ตนเอง ในใจของสวี่ไป่ก็ดีใจมาก แย่งความรักหรือ ไม่ใช่คนไหนถูกชอบคนนั้นสามารถได้ของเยอะหรือ?
ก่อนหน้านี้สวี่ไป่ยังจ้องโหวเย่ด้วยความสงสัย จากนั้นก็มองไปยังสวี่ตี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง สวี่ตี้จึงรีบเข้ามา “ท่านปู่ เขาตัวหนักอยู่นิดหน่อย ให้ข้าอุ้มดีกว่าขอรับ”
โหวเย่โบกมือ “ไป่เกอของพวกเราเกิดมาแปดเดือนแล้ว ข้าเพิ่งจะเจอเขาครั้งแรก ไป่เกอของพวกเราเป็เด็กดีนะ ให้ปู่อุ้มอีกหน่อยเถิด”
สวี่ไป่ฟังแล้วก็ดึงเสื้อของโหวเย่แล้วยืนขึ้นในอ้อมกอดของโหวเย่ เหยียบขาโหวเย่ กอดคอเขาเอาไว้ก่อนจะหอมแก้มโหวเย่ไปสองที ทำเอาโหวเย่ที่ถูกหอมไปทำอะไรไม่ถูก
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเข้าก็หัวเราะพร้อมเอ่ย “ไป่เกอของพวกเราชอบโหวเย่นะ เมื่อครู่ข้าให้ของประดับชิ้นเล็กกับเขา เขาก็มาหอมข้าหนึ่งที”
จางจ้าวฉือหมดคำจะพูดไปแล้ว มองใบหน้าของอู่ซื่อแม่สามีในนามของตนที่ยิ่งทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้แล้วว่านางไม่ชอบที่ลูกชายคนเล็กของนางทำเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้จางจ้าวฉือก็ไม่อยากจะมีเื่กับนางมากเกินไป รู้สึกว่านางไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยมาก
คนในห้องนี้ ถึงแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้ม อีกทั้งรอยยิ้มยังดีใจมาก แต่ในใจคิดอย่างไรนั้นมีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้
นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว จางจ้าวฉือไม่เคยสนิทกับคนในจวนเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางใครถึงจะดี เพราะว่าจางจ้าวฉือรู้สึกว่าครอบครัวใหญ่อยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์จะใกล้ชิดกัน แต่ว่าตนเองมีลูกชายลูกสาว นอกจากตนเองแล้วก็ต้องวางแผนให้ลูกด้วย แน่นอนว่าจะต้องมีความเห็นแก่ตัวด้วย
หลังจากจางจ้าวฉือแต่งงานเข้ามาแล้วก็รู้ว่าจวนโหวเป็ครอบครัวใหญ่ สมาชิกในจวนยุ่งเหยิง ความ้าอย่างอื่นมีไม่มาก ปิดประตูใช้ชีวิตของตนเองไปวันๆ ก็พอ ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกคนมาตัดอาหารของตนเอง จางจ้าวฉือก็ไม่ใช่คนที่จะสามารถทนได้ คนอื่นมารังแกตนเองแล้ว ไม่ตีกลับไปยังจะให้คนอื่นรังแกต่อหรือ? และเพราะความแข็งกร้าวของจางจ้าวฉือ คนอื่นในจวนจึงไม่ค่อยจะกล้ามีเื่กับจางจ้าวฉือ อย่าเห็นว่าจางจ้าวฉืออยู่แต่ในจวนมาสิบกว่าปี เพราะว่าเป็ภรรยาของลูกอนุ บวกกับอู่ซื่อแม่สามีในนามของตนเองก็ไม่ใช่คนที่จะสนใจเื่ราวในเรือน เป็คนที่เก็บตัวนานๆ จะออกมาที ให้เหล่าหลานๆ ไปเยี่ยมแค่วันถือศีลก็พอแล้ว
ความจริงแล้วหลายสิบปีมานี้จางจ้าวฉือก็ถือว่ามีชีวิตที่ไม่เลว มีเงินในมือทั้งยังได้รับความรักจากฮูหยินผู้เฒ่า แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าต่อไปว่าจะมีเื่ขัดแย้งไม่น้อยเลย
ถึงแม้โหวเย่จะมีหลานชายหลานสาวหลายคน แต่ว่าอย่างสวี่ไป่ที่สามารถกอดเขา ทั้งยังหอมเขาได้ถือว่าเป็คนแรก บวกกับสวี่ไป่หน้าตาดี ตัวอวบอ้วน มักจะแย้มยิ้มหัวเราะเหอะๆ โหวเย่ชอบเขาจากใจจริงๆ
โหวเย่อุ้มสวี่ไป่ขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ย “ดีๆ ปู่กลับไปแล้วจะไปหาของขวัญมาให้เ้า ชดเชยกับพิธีสีซาน [1] ฉลองครบเดือน [2] แล้วก็ของขวัญครบสามเดือนดีหรือไม่”
สวี่ไป่ฟังแล้วดวงตาก็ยิ่งลุกวาว จวนโหวอายุร้อยปี อีกทั้งบรรพบุรุษยังสร้างครอบครัวมาจากการเป็ทหารด้วย สมบัติจะต้องไม่ธรรมดา แบ่งมาให้ตนเองสักหน่อยจะต้องเป็ของดีมากๆ อยู่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสวี่ไป่ใช้ดวงตาโตๆ จ้องไปยังโหวเย่ก็หัวเราะออกมา “เ้าอย่าแค่พูดเฉยๆ นะ เ้าดู เขาฟังเข้าใจนะ รู้ว่าเ้าจะให้ของเขา หากเ้าไม่ให้เขา ต่อไปเขาจะไม่ใกล้ชิดกับเ้าเหมือนกับวันนี้อีกเป็แน่”
โหวเย่หัวเราะแล้วเอ่ย “บุรุษเมื่อกล่าวออกมาแล้ว ข้าจะไม่ทำตามที่พูดได้หรือขอรับ?”
เมื่อเห็นเวลาว่าเย็นมากแล้ว หนิงซื่อก็กดความงุ่นง่านในใจลงไปแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่า โหวเย่เ้าคะ เวลาก็เย็นมากแล้ว พวกเรารับสำรับเย็นกันเลยดีหรือไม่เ้าคะ?”
วันนี้ทุกคนต่างทานข้าวร่วมกันที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า โถงหน้าเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งซ้ายขวาล้วนมีโต๊ะกลมสำหรับรับประทานอาหารวางอยู่ สถานที่ถูกจัดมานานแล้ว หลังจากทุกคนนั่งลง เหล่าสาวใช้ก็ยกอาหารที่เตรียมเอาไว้เหมือนกันมาวางให้อย่างเงียบเชียบ
โหวเย่พาสวี่ตี้ โดยมีสวี่เวยซื่อจื่อ สวี่เฉวียน บวกกับนายท่านรองสวี่ฉีแล้วก็ลูกชายทั้งสองของเขานามว่าสวี่ผูกับสวี่ฉวี ยังมีสวี่ฮวาบุตรชายของสวี่เวยที่อายุได้เจ็ดปี สวี่จงบุตรชายของสวี่ผูตามมานั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะ อีกด้านฮูหยินผู้เฒ่ามีลูกสะใภ้ทั้งสองของตนเอง แล้วก็หลานสะใภ้หลายคนนั่งด้วยกัน พวกสวี่จือและเหล่าพี่สาวน้องสาวที่เหลือ บวกกับพี่ชายน้องชายที่เป็ญาติอายุเจ็ดปีอีกหลายคนนั่งอยู่อีกโต๊ะ แต่สวี่ไป่นั่งอยู่กับจางจ้าวฉือ นั่งอยู่ในเก้าอี้เด็กที่เอามาจากเหอซี
พอเห็นเก้าอี้เด็ก เหยาซื่อก็เอ่ยถาม “เก้าอี้นี้ให้เด็กนั่งได้ก็สะดวกดีนะ สามารถทานอาหารได้ด้วยตนเอง”
จางจ้าวฉือตอบ “เพราะแบบนี้พวกเราถึงได้ทำเก้าอี้เช่นนี้ ไป่เกอทานอาหารเก่ง ตอนที่พวกเราทานอาหารเขาก็อยากจะมานั่งทานบนโต๊ะด้วย เอาอะไรขึ้นโต๊ะก็อยากจะคว้า จานพวกนี้เขาทำตกแตกมาไม่รู้เท่าไหร่ ต่อมาพวกเราก็เลยจ้างช่างไม้คนหนึ่งช่วยทำเก้าอี้เช่นนี้ อย่าพูดถึงใช้แล้วสะดวกเลย ตอนทานข้าวกับพวกเราเขาก็ใช้ถ้วยไม้ช้อนไม้ เขาสามารถทานอาหารได้ด้วยตนเอง”
หลังจากกับข้าวตั้งหมดแล้ว จางจ้าวฉือเห็นบนโต๊ะมีไข่ตุ๋นเนื้อสับอยู่ จึงตักข้าวมาเล็กน้อย สวี่ไป่เล่นมาตลอดบ่ายคงจะหิวแล้ว พอเห็นอาหาร รอจนจางจ้าวฉือตักอาหารใส่ถ้วยเล็กให้ตนเองแล้วก็รีบหยิบช้อนไม้ที่ใช้จนชินขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตักเข้าปาก
ทุกคนต่างรู้สึกทึ่งที่เด็กอายุไม่ถึงแปดเดือนนั้นกินข้าวได้แล้ว ต้องบอกก่อนว่าการที่เด็กวัยนี้จะทานข้าวนั้นหาได้ยากมาก เด็กที่อายุประมาณนี้ในจวน บางคนถึงขั้นยังไม่มีอาหารเสริมเลย สรุปเติบโตมายังสู้สวี่ไป่ไม่ได้ ตัวอ้วนจ้ำม่ำ แค่ดูก็รู้ว่าแข็งแรง ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าวของเขาจะไม่ได้กินมาเสียเปล่า ถึงแม้บางครั้งจะตักไม่เข้าปาก แต่ว่าจะอย่างไรก็สามารถยัดเข้าปากไปได้จนทำให้ตัวเองอิ่ม
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วในใจก็รู้สึกดีใจทั้งรู้สึกปวดใจ ดีใจที่เด็กตัวแค่นี้ก็สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว มองว่าเด็กในตอนนี้สามารถกินข้าวได้ก็เพราะว่าจางจ้าวฉือกับสวี่เหราค่อยๆ สอนมา ที่ปวดใจก็คือ เด็กคนอื่นๆ ในจวนกลับมีสถานการณ์ย่ำแย่กว่า เด็กหลายคนอายุเท่านี้ยังไม่สามารถกินข้าวด้วยตัวเองได้ คาดว่าเพราะว่าเด็กอายุเท่านี้ที่เหอซีก็เรียนรู้การกินข้าวด้วยตนเองั้แ่เล็ก สวี่เหราสองสามีภรรยาถึงได้ให้สวี่ไป่เรียนกินข้าวตาม
จางจ้าวฉือมองท่าทางฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้ว่าหญิงชราคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ท่านอย่าคิดว่าไป่เกออายุเท่านี้เรียนกินข้าวด้วยตนเองไม่ใช่เื่ไม่ดีนะเ้าคะ เด็กที่เลี้ยงออกมาเช่นนี้ถึงจะดี ั้แ่เด็กก็รู้จักกินอาหาร รอโตมากกว่านี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าเด็กจะกินไม่ดี เลือกกินอาหาร หรือกินยากเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “เด็กๆ ในจวนของพวกเรามีหรือจะต้องกังวลเื่กินไม่ดี ไม่กินข้าวนั่นก็เพราะว่าคนดูแลไม่ใส่ใจ มีหรือจะต้องให้เด็กเล็กขนาดนี้มากังวลเื่อาหาร”
จางจ้าวฉือรู้ว่าญาติที่อายุห่างหนึ่งรุ่น ความจริงแล้วไม่มีเหตุผลอะไร แต่คนแก่ก็สามารถเอ็นดูลูกของตนเองได้ จางจ้าวฉือยังรู้สึกดีใจมาก จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ใช่เ้าค่ะ ท่านพูดถูก เป็พวกเราคิดมากไปแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่แยกแยะเหตุและผล เด็กที่เก่งั้แ่เด็ก ข้าที่เป็ทวดในใจก็ต้องดีใจมากอยู่แล้ว คนอื่นต่างพูดว่าอายุสามขวบดูจิตใจ นิสัยใจคอ อายุเจ็ดขวบดูพัฒนาการั้แ่เกิดมา พวกเราเป็บิดามารดา แน่นอนว่าหวังว่าต่อไปลูกของตัวเองจะมีอนาคตที่ดี แต่ว่าคิดมันก็เื่หนึ่ง ดูมันก็อีกเื่หนึ่ง ข้าน่ะ ั้แ่เด็กก็ติดตามท่านพ่อและพวกพี่ชายมาเติบโตที่ชานเมือง สภาพการเป็อยู่ที่ชานเมืองไม่ดี พวกเด็กๆ ก็ลำบากตามไปด้วย แต่ว่าลำบากก็มีประโยชน์ของความลำบาก ต่อไปเจอกับเื่ยากๆ ก็มักจะสามารถทนได้”
หาได้ยากมากที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดมากขนาดนี้ ทุกคนต่างวางตะเกียบฟัง แม้แต่สวี่ไป่หลังจากยัดไข่ตุ๋นเข้าปากแล้วกลืนลงไปก็เงี่ยหูฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “ต่างพูดกันว่าเด็กจวนโหวนั้นเป็เด็กที่มีค่า เลี้ยงออกมาจากกองผ้าไหมงดงาม แต่ว่ากองผ้าไหมนั้นเป็มาอย่างไร พวกเราจะต้องสอนให้เด็กเข้าใจ แล้วต้องสอนเด็กเลียนแบบตามเหล่าบรรพบุรุษของพวกเรา สืบทอดกิจการครอบครัว แต่ไม่ใช่เพื่อเสพสุข แต่เพื่อสามารถทำให้ครอบครัวใหญ่นี้ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้จวนโหวนี้ไปอยู่ในมือของคนรุ่นหลังแล้วเปลี่ยนมาดีขึ้นกว่าเดิม หากเด็กๆ ในจวนของพวกเราต่างเชื่อฟังแล้วก็ไม่มีอะไรให้คนมาดูถูก ข้ารู้สึกว่านี่เป็เื่ที่ทำให้ข้าดีใจมากที่สุด เหล่าเด็กๆ จะต้องจำเอาไว้ กิจการครอบครัวตอนนี้ล้วนเป็เหล่าคนรุ่นก่อนในจวนพวกเราสร้างขึ้นมา ต่อไปพวกเ้าจะต้องเรียนรู้ความสามารถให้ดี แล้วสร้างกิจการของตนเองออกมา นี่ถึงจะทำให้เ้าทำเพื่อคนรุ่นก่อนของพวกเ้าได้ ไม่ใช่นอนอยู่บนความเหนื่อยยากของคนรุ่นก่อน เสพสุขกับเกียรติยศที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ให้พวกเ้า แต่ตัวเองกลับไม่คิดจะพัฒนาตนเอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเื่พวกนี้ต่อหน้าคนในจวน ค่อนข้างร้ายแรงไปเสียหน่อย โหวเย่พาคนลุกขึ้นกันหมด แม้แต่สวี่ไป่เองก็ไม่กล้าขยับ ใช้ตากลมโตมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “ทุกคนนั่งลงให้หมด วันนี้ข้าพูดแรงไปสักหน่อย แต่ว่าข้ายังคิดว่าต่อไปจะให้พวกเ้ามาพูดหยอกล้อกินข้าวกับข้าเหมือนในวันนี้ ข้าแก่แล้ว หลายเื่ก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ว่าจวนนี้เป็สิ่งที่ข้ามองมันมาั้แ่มีเกียรติยศอย่างไร้ขีดจำกัดจนถึงวันนี้ โหวเย่คิดเพื่อจวนนี้เพียงคนเดียวไม่ไหว พวกเ้าล้วนเป็ลูกของข้า ทั้งยังเป็เด็กดี ข้าที่ดินใกล้จะกลบหัวแล้ว จะอย่างไรก็หวังว่าต่อไปพวกเ้าจะอยู่กันอย่างราบรื่น”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยคำพวกนี้ไม่ได้เจาะจงผู้ใดเป็พิเศษ ถึงแม้ฤดูหนาวปีที่แล้ว จะรู้ว่าองค์ชายหลายคนแย่งชิงความดีความชอบกัน ให้คนเป่ยตี้มีโอกาสเข้ามาทำลายเมืองเหอซี โชคดีที่แค่ทำลายเมืองเท่านั้นคนไม่เป็อะไร แต่ว่าเื่นี้ได้ผ่านไปครึ่งปีกว่าแล้ว เื่บางเื่ในเมืองหลวงก็เริ่มปะทุใหม่อีกครั้ง ขนาดจวนหย่งหนิงโหว เพราะว่าตอนนี้สวี่เหราเป็ผู้ปกครองท้องถิ่นอยู่ที่เหอซี คนในจวนก็ต่างพากันเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าองค์ชายแล้ว
ถึงแม้ปกติฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ได้ดูแลเื่ในเรือน แต่ว่าเื่ที่นางควรจะรู้ก็รู้หมดทุกอย่าง จวนหย่งหนิงโหวนี้ ความจริงแล้วหลายปีก่อนตอนที่โหวเย่คนก่อนเสียชีวิต ก็มีฮูหยินผู้เฒ่าเป็แม่งาน แบ่งพื้นที่ของเรือนหลังขนาดใหญ่ ด้านในนั้นมีเรือนอยู่หลายเรือนออกมา แบ่งให้กับพี่น้องสองคนของโหวเย่คนก่อน เพื่อจัดการคนในจวนโหวให้ง่ายขึ้นมาสักหน่อยในตอนนี้ถึงได้รับปัญหาที่จะตามมาน้อยลง
แน่นอนว่าโหวเย่รู้ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า จึงโค้งตัวแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ทำให้ท่านลำบากแล้ว เป็เพราะลูกดูแลเรือนไม่ดี ท่านวางใจเถิด ลูกจะต้องดูแลลูกหลานให้ดีขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ทุกคนนั่งลงเถิด รีบกินตอนร้อนๆ กินข้าวแล้วจ้าวฉือก็พาลูกกลับไปอาบน้ำอาบท่า ตี้เกอถูกจัดให้อยู่เรือนหน้าใช่หรือไม่ โหวเย่จัดอาจารย์มาให้สองคน พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการสอบปีหน้า”
เชิงอรรถ
[1] เป็พิธีที่สำคัญมากในยุคโบราณ หลังจากเด็กเกิดออกมาได้สามวันจะจัดพิธีอาบน้ำชำระสิ่งไม่ดี แล้วรวมญาติทุกคนมาอวยพรเพื่อให้เด็กโชคดี
[2] เด็กเกิดมาครบเดือนก็จะมีของขวัญมาให้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้