อวิ๋นเจียวไม่รู้เื่รู้ราวอันใด นางมิรู้เลยว่า่เวลาเพียงไม่กี่วัน กลับมีเื่ราวมากมายเกิดขึ้น และก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะนาง ทำให้ฉู่อี้ได้พบกับบุคคลที่จะช่วยเสริมแสนยานุภาพให้กับกองกำลังบางอย่างที่ยังไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ นั่นคือ เหยียนเซิ่ง หรือฉูจิ่วในตอนนี้
ณ เวลานี้ นางกำลังจดจ่ออยู่กับคะแนนเถาเป่าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้นางช่วยชีวิตผู้คนไปเพียงสี่สิบกว่าคน แต่เถาเป่ากลับให้รางวัลนางถึงเก้าร้อยเก้าสิบกว่าคะแนน บวกกับที่นางมีอยู่เดิม ก็กลายเป็หนึ่งพันคะแนนพอดี
เถาเป่าตั้งใจปัดเศษคะแนนให้กับนางด้วย น่าดีใจยิ่งนัก!
ถ้าตามที่นางเคยคำนวณไว้ ช่วยชีวิตหนึ่งคนจะได้สิบคะแนน ครั้งนี้นางควรได้คะแนนสูงสุดเพียงสี่ร้อยกว่าคะแนนเท่านั้น หรือว่าการรักษาโรคระบาดจะให้คะแนนมากกว่า?
เพราะการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคระบาด ย่อมช่วยชีวิตผู้คนจากภัยร้ายได้มากมาย หากคิดเช่นนี้ คะแนนที่เพิ่มขึ้นมาก็สมเหตุสมผลแล้ว มีคะแนนหนึ่งพันคะแนน สิ่งแรกที่อวิ๋นเจียวทำคือ ต่ออายุสิทธิ์ในการใช้งานออกไปอีกสี่ปี ทันใดนั้นคะแนนเถาเป่าของนางก็หายไปสามร้อยคะแนน
ทุกครั้งที่ต่ออายุสิทธิ์ในการใช้งานเถาเป่าเพิ่มขึ้นหนึ่งปี คะแนนที่หักออกไปก็จะเพิ่มเป็สองเท่า ก่อนหน้านี้ อวิ๋นเจียวต่ออายุหนึ่งปี ใช้คะแนนไปสิบคะแนน ต่ออีกหนึ่งปีก็ใช้ยี่สิบคะแนน ต่ออีกหนึ่งปีก็ใช้สี่สิบคะแนน
คราวนี้อวิ๋นเจียวใจใหญ่ ต่ออายุไปสี่ปี ใช้คะแนนไปถึงสามร้อยคะแนน คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ ในใจ ส่วนพื้นที่เก็บของ อวิ๋นเจียวก็เปิดเพิ่มอีกสองช่อง ใช้คะแนนไปหกสิบคะแนน ตอนนี้อวิ๋นเจียวเหลือคะแนนอยู่ทั้งหมดหกร้อยสี่สิบคะแนน
“เปิดใช้งานฟังก์ชันใหม่ สามารถใช้ห้าร้อยคะแนนแลกเปลี่ยนสิทธิพิเศษได้หนึ่งอย่างจากตัวเลือกดังต่อไปนี้ สิทธิ์ในการซื้อยาตามใบสั่งแพทย์ สิทธิ์ในการซื้อสิ่งมีชีวิต สิทธิ์ในการซื้ออาวุธอันตราย เช่น ธนู หน้าไม้ ปืนลม”
หลังจากซื้อช่องเก็บของเพิ่มเสร็จ กล่องข้อความแจ้งเตือนของเถาเป่าก็ปรากฏขึ้นในหัวของอวิ๋นเจียว มุมปากของนางกระตุกโดยไม่รู้ตัว ห้าร้อยคะแนน แพงเกินไปแล้ว
สิ่งมีชีวิตหรือ? ช่างเถอะ หากซื้ออะไรไปแล้วทำลายสมดุลของสิ่งมีชีวิตในแคว้นต้าเยี่ยก็แย่กันพอดี อาวุธสังหารหรือ? ช่างเถอะ นางไม่ใช่ฮวามู่หลาน [1] ที่ต้องไปออกรบแทนบิดาเสียหน่อย
ยาตามใบสั่งแพทย์ อันนี้น่าจะมีประโยชน์ สามารถช่วยชีวิตคนได้ อวิ๋นเจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันเปิดใช้สิทธิ์นี้ เมื่อเป็เช่นนี้ คะแนนของนางก็เหลือเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบคะแนน
ทันใดนั้น อวิ๋นเจียวก็รู้สึกราวกับว่าตนเองจากเศรษฐีกลับกลายเป็ยาจกในพริบตา ด้วยความหดหู่ใจ นางจึงหลับตาลงและผล็อยหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เดินทางมาถึงเมืองจิ่วเจียงแล้ว
ฉู่อี้เชิญคนตระกูลอวิ๋นให้ไปพักที่โรงเตี๊ยมที่เขาจองไว้ด้วยกัน เนื่องจากอวิ๋นเจียวยังหลับอยู่ อวิ๋นโส่วจงจึงไม่อยากปลุก นางจึงถูกอุ้มลงมาจากรถม้า
ทันทีที่ลงจากรถม้า อวิ๋นเจียวก็ตื่นขึ้น นางขยี้ตาปรือปรอย มองไปรอบๆ ถนนกว้างขวาง ผู้คนพลุกพล่าน บ้านเรือนและอาคารสูงต่างเรียงรายกันเป็แถว แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองอย่างชัดเจน
“เจียวเอ๋อร์” ฉู่อี้ลงมาจากรถม้า เห็นอวิ๋นเจียวในอ้อมแขนของอวิ๋นโส่วจงตื่นขึ้นแล้ว จึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ท่านโหว” เสียงหวานใสของอวิ๋นเจียว ฟังดูนุ่มนวลน่าฟัง ราวกับขนนกััใจคนฟัง ทำให้รู้สึกจั๊กจี้อยู่ในอก
“อย่าเรียกท่านโหวเลย ข้าอายุมากกว่าเ้า เรียกว่าพี่อี้เถิด”
อวิ๋นเจียวกลอกตา อายุจริงของข้ามากกว่าท่านตั้งเยอะ เด็กน้อยเอ๊ย “ไม่เอาเ้าค่ะ ข้ามีพี่ชายแล้ว”
ฉู่อี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย เขาอยากจะสลับตัวกับอวิ๋นฉี่เยว่เสียจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นเ้าก็เรียกข้าว่า เซ่าชิง [2] เหมือนท่านลุงกับท่านป้าเถิด” ต่างจากแคว้นต้าเยี่ย ในยุคจีนโบราณ เด็กผู้ชายจะได้รับฉายาจากอาจารย์เมื่อเข้าศึกษาเล่าเรียน ไม่จำเป็ต้องรอให้บรรลุนิติภาวะ
“เซ่าชิง” อวิ๋นเจียวยอมตามน้ำไปเพราะนางหิวมาก ไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกับฉู่อี้เื่นี้
“ท่านโหว อาหารเตรียมพร้อมแล้วขอรับ” คนของฉู่อี้มาถึงก่อนหน้านี้แล้วและจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาจองโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองจิ่วเจียงไว้ และเชิญแขกคนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว เนื่องจากทางร้านได้รับค่าชดเชยเป็เงินสองเท่า จึงไม่มีใครโวยวายอะไร
“เจียวเอ๋อร์ไปกันเถิด พวกเรารีบไปกินข้าวกัน”
อวิ๋นเจียวลงจากอ้อมแขนของอวิ๋นโส่วจง ฉู่อี้ก็เดินเข้ามาจูงมือนางอย่างเป็ธรรมชาติ ทั้งสองคนเป็เด็กด้วยกันทั้งคู่ ยังไม่ถึงวัยที่ต้องรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิง อวิ๋นโส่วจงกับฟางซื่อจึงไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม
อวิ๋นเจียวได้แต่ต่อว่าในใจ ชิ เ้าเด็กน้อย นี่เราสนิทกันมากหรือไง? ถึงได้มาจูงมือข้า นางพยายามสะบัดมือออกหลายครั้ง แต่มือคู่น้อยถูกฉู่อี้จับไว้แน่น อวิ๋นเจียวจึงได้แต่ยอมแพ้
ไม่มีใครรู้เื่ที่ฉู่อี้มาที่เมืองจิ่วเจียง ดูไปแล้วก็เหมือนกับคุณชายน้อยตระกูลใหญ่ที่ออกมาเที่ยวเล่นอย่างเอิกเกริกตามประสา
เซี่ยโหวได้กำชับนายอำเภอประจำอำเภอไคอันเอาไว้แล้วว่า ท่านโหวออกมาโดยส่วนตัว ให้เขารักษาความลับไว้ แน่นอนว่านายอำเภอต้องช่วยปิดบังเื่นี้เป็อย่างดี เพราะมันเกี่ยวข้องกับความดีความชอบของเขา
ส่วนกองทหารรักษาการณ์จะปิดเป็ความลับได้หรือไม่ นั่นไม่ใช่เื่ที่เขาต้องกังวล สิ่งที่เขาทำได้คือปิดปากของตัวเองให้เงียบเอาไว้ก็พอแล้ว
ทางด้านกองทหารรักษาการณ์กำลังวุ่นวายกับการหายตัวไปของอู๋อวี่ แต่เื่นี้เป็เื่ภายหลัง และไม่มีทางที่ใครจะสาวเื่มาถึงฉู่อี้ได้
ฉู่อี้รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งที่จัดการเื่สำคัญและช่วยอวิ๋นโส่วจงไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลอวิ๋นก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เขาจูงมืออวิ๋นเจียวขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุดบนชั้นสอง บ่าวไพร่ต่างพากันกินอาหารที่ห้องโถงใหญ่ในชั้นหนึ่ง
มีองครักษ์ของฉู่อี้คอยดูแลอยู่ที่ห้องครัว อาหารทุกจานพ่อครัวจะต้องชิมก่อน จากนั้นนำผงทดสอบพิษที่อวิ๋นเหนียงปรุงขึ้นเป็พิเศษมาโรยลงไปเล็กน้อยเพื่อทดสอบพิษก่อนนำไปขึ้นโต๊ะให้ฉู่อี้
ผู้คนในโรงเตี๊ยมต่างพากันคาดเดาว่าแขกผู้สูงศักดิ์ที่จองโรงเตี๊ยมทั้งหลังคือผู้ใด แต่ด้วยการควบคุมของหลงจู๊และองครักษ์จำนวนมากของฉู่อี้ ทุกคนจึงได้แต่เดากันในใจ ไม่กล้าซุบซิบนินทา
อาหารมื้อนี้หรูหรามาก รสชาติก็พอใช้ได้ แต่ขาดผงชูรสปรุงแต่งรสชาติ อาหารจึงไม่มีความกลมกล่อม
ในยุคปัจจุบัน หลายคนมองว่าผงชูรสไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อสุขภาพ แต่อวิ๋นเจียวเป็นักชิมตัวยง นางคิดว่าเมืุ่์แก้ปัญหาเื่การดำรงชีวิตได้แล้ว ความสุขที่สุดในชีวิตก็คือการได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ
หากให้นางยอมทรมานความอยากอาหารเพื่อสุขภาพ นั่นเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน หากมนุษย์เราต้องสูญเสียความสุขไป ตลอดชีวิตจะมีความหมายอันใด?
ที่สำคัญในความคิดของนาง ผงชูรสก็สกัดมาจากกรดกลูตามิกในธัญพืช ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายน่ากลัวอะไร และไม่เห็นว่าคนที่ไม่กินผงชูรสจะอายุยืนกว่าคนที่กินผงชูรสสักหน่อย
“เจียวเอ๋อร์ อาหารไม่ถูกปากหรือ? งั้นแม่ไปทำให้เ้ากินที่ห้องครัวก็ได้ ไหนๆ พวกเรานำเครื่องปรุงมาด้วยอยู่แล้ว” ฟางซื่อกับอวิ๋นโส่วจงก็ชินกับรสชาติอาหารที่ปรุงเองมากกว่า อาหารที่ดูประณีตบรรจงบนโต๊ะนี้ เทียบไม่ได้เลยกับอาหารทำเองที่บ้าน
อวิ๋นเจียวรีบเอ่ย “ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะท่านแม่ ทุกคนเดินทางมาเหนื่อยๆ กินข้าวเสร็จแล้วก็พักผ่อนกันเถิด บ่ายนี้พวกเราค่อยไปที่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงกัน”
ยังมีธุระต้องไปทำอีก
ฉู่อี้วางตะเกียบลงแล้วเอ่ยถาม “เจียวเอ๋อร์ พวกเ้าจะไปที่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงหรือ?”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “เ้าค่ะ พวกเราจะไปที่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิง ครอบครัวของข้าฝากโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงผลิตของบางอย่าง ครั้งนี้มาเพื่อดูด้วยตัวเอง ว่ามีจุดใดที่จะต้องแก้ไขหรือไม่ พี่รองของข้ายังมีความคิดอีกมากมายที่อยากจะพูดคุยกับช่างฝีมือที่นั่น”
ฉู่อี้ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “เ้าของโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงที่แท้จริงก็คือข้า คนนอกไม่มีใครรู้เื่นี้”
อวิ๋นเจียว: …
ฟางซื่อ: …
อวิ๋นโส่วจง: …
ทั้งสามคนต่างนิ่งอึ้งไปพร้อมๆ กัน เหตุใดเื่กิจการค้าขายถึงมาเกี่ยวข้องกับฉู่อี้ได้อีกแล้ว?
ฉู่อี้รีบเอ่ยอธิบาย “ข้าเป็เพียงแค่ผู้อยู่เื้ั ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ของพวกเขา แค่จะมีคนมาตรวจสอบบัญชีทุกปี จากนั้นก็นำเงินมาให้ข้า”
อวิ๋นเจียว: … เหอะๆ ช่างเป็พรหมลิขิตที่แปลกประหลาดเสียจริง
เชิงอรรถ
[1] ฮวามู่หลาน (花木兰) เป็วีรสตรีในตำนานจีนในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ นางปลอมตัวเป็ชายเพื่อออกรบแทนบิดาที่แก่ชรา