“ท่านพี่!” นางเริ่มร้อนใจแล้ว ไม่รู้ว่าจางเจิ้นอันหายไปไหน
นางยืนรออยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง คาดว่าจางเจิ้นอันคงเดินลึกเข้าไปในป่าไผ่เพื่อตามหานาง เมื่อนางคิดได้ดังนั้นก็ยิ่งร้อนใจขึ้นมาอีกหลายส่วน ป่าไผ่รกทึบเช่นนี้ จางเจิ้นอันก็ไม่คุ้นเคยเส้นทาง นางกลัวว่าเขาจะพลัดหลง ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่ถึงได้ย้ำให้เขาตัดไผ่อยู่เพียงรอบนอกเท่านั้น
พอคิดว่าเขาอาจจะหลงทางอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้จริงๆ ใจนางก็ยิ่งร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง ก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในป่าไผ่อีกครั้ง
“ท่านพี่! ท่านอยู่ที่ไหนเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์วิ่งพลางะโเรียกหาเขาไปพลาง แต่กลับไร้วี่แวว ไร้ทั้งเงาและเสียงตอบรับ
“จางเจิ้นอัน!” อันซิ่วเอ๋อร์ร้อนใจจนลืมมารยาทไปหมดสิ้นแล้ว เอ่ยเรียกชื่อจริงของเขาออกมาเสียงดัง
“จางเจิ้นอัน!” นางวิ่งวนตามหาเขาทั่วบริเวณนั้น ทั้งเหนือใต้ซ้ายขวา แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา นางร้อนรนจนน้ำตาเริ่มไหลพราก พอหาทางนี้ไม่เจอ นางก็วิ่งไปอีกทาง ด้วยความลนลานไม่ทันระวัง เท้าข้างหนึ่งจึงพลาดเหยียบเข้ากับกับดักสัตว์ที่นายพรานวางซ่อนไว้พอดี
“โอ๊ย!” ความเ็ปรุนแรงแล่นแปลบขึ้นมาจากฝ่าเท้า นางกัดฟันทน ยกขาขึ้นหมายจะแกะกับดักออก ทว่ากับดักกลับรัดแน่นเสียยิ่งกว่าเก่า นางออกแรงแกะกับดักออก ในที่สุดก็หลุดจากกัน บนกับดักกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเื
“ท่านพี่...” นางฝืนทนความเ็ป เดินขากะเผลกโซเซไปข้างหน้า พลางเรียกหาเขาไปพลาง ในที่สุดก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทะมึนยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า
“ท่านพี่!” นางดีใจจนลืมความเ็ป รีบวิ่งเข้าไปหา พอถึงตัวก็โผเข้ากอดเอวเขาไว้แน่น กล่าวอย่างโล่งใจ “ท่านไม่เป็อะไรจริงๆ ด้วย ดีเหลือเกินเ้าค่ะ เมื่อครู่ข้านึกว่าท่านหลงอยู่ในป่านี้เสียแล้ว”
พูดจบนางก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาหวานฉ่ำเอ่อคลอด้วยน้ำใส เต็มไปด้วยความโล่งใจระคนหวาดกลัว “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ท่านตัดไผ่อยู่แค่รอบนอก แล้วท่านยังจะเดินเข้ามาลึกขนาดนี้คนเดียวอีกทำไมกันเ้าคะ?”
จางเจิ้นอันก้มลงมองนาง แต่ภาพใบหน้านวลในม่านสายตากลับพร่าเลือน มองเห็นไม่ชัดเจน เขากระชากผ้าคาดตาสีดำออกอย่างแรง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังคงขาวโพลนเลือนรางอยู่เช่นเดิม
“ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ?” พอเห็นจางเจิ้นอันนิ่งเงียบไม่พูดจา ดวงตาคู่คมก็ดูเหม่อลอย อันซิ่วเอ๋อร์ก็ร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง นางลองยื่นมือไปโบกผ่านหน้าเขา แต่กลับถูกเขากุมข้อมือไว้ด้วยท่าทางเลื่อนลอย นางเงยหน้าสบดวงตาเขาอย่างกังวล ดวงตาคู่นั้นยังคงดำสนิทลึกล้ำเช่นเคย แต่วันนี้...นางกลับมองไม่เห็นเงาสะท้อนของตนเองในนั้นเลย
เพียงเท่านั้น หยาดน้ำตาก็พลันร่วงเผาะลงมาจากขอบตา นางหลับตาแน่น น้ำตารินไหลอาบแก้มเป็ทาง กอดเขาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะกล่าวเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ท่านอย่ากลัวไปเลยนะเ้าคะ ต่อให้ท่านมองไม่เห็นก็ไม่เป็ไร ท่านยังมีข้านะ ข้าจะเป็ดวงตาให้ท่านเอง”
แต่จางเจิ้นอันกลับยังคงนิ่งเงียบ เขาใช้มือแกะแขนที่โอบรัดเอวเขาออก แต่นางก็ยังพยายามเหนี่ยวรั้งไว้แน่น หลังจากยื้อยุดกันอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็คล้ายจะหมดความอดทน ออกแรงผลักนางออกไปอย่างแรงจนล้มลง แล้วหันหลังเดินจากไปทันทีโดยไม่เหลียวกลับมามอง
“ท่านพี่!” อันซิ่วเอ๋อร์ล้มลงนั่งกองกับพื้น กัดริมฝีปากล่างจนห้อเื นางมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่ค่อยๆ เดินจากไปทีละก้าว...ทีละก้าว...จนลับหายไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงความอ้างว้างว่างเปล่า
ทำไมกัน? อุตส่าห์เปลี่ยนความฝันไปแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดจึงยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ต้องถูกทอดทิ้งได้อีก?
อันซิ่วเอ๋อร์นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น นางหลับตาแน่น ซบหน้าผากลงกับหัวเข่า ซ่อนใบหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษไว้ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ความเ็ปรุนแรงที่ฝ่าเท้า ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวธุลีกับความเ็ปที่กัดกินหัวใจนางในยามนี้
ข้างหูยังคงมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวกระทบกอไผ่ดังซ่าๆ ราวกับเสียงร่ำไห้ สายลมพัดโหม ม้วนเอาใบไผ่แห้งบนพื้นให้หมุนคว้าง ปลิวว่อนราวกับเริงระบำ เป็ดุจระบำมรณะของผีเสื้อใบไม้แห้งที่แสนงดงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ้างว้าง ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างไร้ค่าในที่สุด
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หลังจากร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเหือดแห้ง นางก็ฝืนพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปได้เพียงสองก้าว ก็กลับไม่รู้ว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางไหนต่อ ทำได้เพียงเอนกายพิงต้นไผ่อย่างสิ้นหวังไร้เรี่ยวแรง มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ป่านนี้ ท่านพี่กลับถึงบ้านแล้วหรือยังนะ? มาถึงขั้นนี้แล้ว แต่สิ่งที่นางเป็กังวลที่สุด กลับยังคงเป็เขา
นางกัดริมฝีปากแน่น ยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง ตัดสินใจว่าจะกลับไปดูที่บ้านก่อน หากเขาไม่ได้กลับไป นางค่อยย้อนกลับมาตามหาเขาอีกครั้ง แต่เพิ่งจะออกเดินได้เพียงสองสามก้าว นางก็พลันเห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังเดินมุ่งตรงมา
“ท่านพี่...” นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา มองเขาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว...ทีละก้าว...จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แล้วยื่นมือส่งมา พร้อมกับเอ่ยคำสั้นๆ คำหนึ่ง “ข้าขอโทษ”
“คนโง่ ข้าไม่ได้โกรธท่านสักหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขากลับมาก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยื่นมือไปหยิกแก้มสากๆ ของเขาเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองสำรวจ แล้วกล่าวถาม “ท่านพี่ ตอนนี้...ท่านมองเห็นข้าชัดแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ภาพดวงตาคู่สวยที่แดงก่ำเหมือนตากระต่ายน้อยของนาง สะท้อนอยู่ในั์ตาดำขลับของเขาอย่างชัดเจน พอเห็นเงาของตนเองในนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา สองมือรีบคว้ามือใหญ่ของเขามากุมไว้ แล้วกล่าวอย่างดีใจ “ท่านพี่ ท่านมองเห็นข้าแล้ว...ดีจริงๆ เ้าค่ะ ดีจริงๆ!”
“เมื่อครู่นี้ข้าผลักเ้า...เ้าไม่โกรธข้าจริงๆ รึ?” จางเจิ้นอันใช้มือใหญ่ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ตอนแรกก็โกรธสิเ้าคะ แต่พอเห็นท่านกลับมา ข้าก็โกรธไม่ลงแล้ว” นางกะพริบตาถี่ๆ ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี สุดท้ายหยาดน้ำตาก็พากันรินไหลลงมาอีกครั้ง
จางเจิ้นอันใช้นิ้วหัวแม่มือหยาบกร้านเกลี่ยหยาดน้ำตาที่หางตาให้นางอย่างแ่เบา อันซิ่วเอ๋อร์โผเข้ากอดเอวเขาไว้แน่นอีกครั้ง เอ่ยขอร้อง “ท่านพี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกได้หรือไม่เ้าคะ?”
“แต่ข้าเป็แค่คนที่...อาจจะตาบอดเมื่อไหร่ก็ได้นะ”
จางเจิ้นอันกล่าว ดวงตาฉายแววเ็ปออกมาวูบหนึ่ง ในอดีตเขาเคยพลาดท่าถูกศัตรูวางยา แม้จะพยายามหาทางรักษามานาน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจมาเก็บตัวเงียบๆ อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ดูภายนอกเหมือนใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ อาการทางดวงตาของเขาก็เป็ๆ หายๆ มาตลอด ที่ชาวบ้านพากันเรียกเขาว่าเ้าจางตาบอด ก็ไม่ใช่เื่ที่แต่งขึ้นมาลอยๆ
“ท่านพี่ ท่านอย่ากลัวไปเลยนะ ข้าจะเป็ดวงตาให้ท่านเอง ต่อให้วันหนึ่งท่านมองไม่เห็นขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ต้องใไปนะเ้าคะ ขอเพียงท่านไม่รำคาญที่ข้าพูดมาก ข้าจะคอยเล่าทุกสิ่งที่ข้าเห็นให้ท่านฟังเอง” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจัง “เรากลับไปหาหมอกันอีกครั้งนะเ้าคะ จากนี้ไปค่อยๆ รักษาดูแลไป ท่านจะไม่ตาบอดแน่นอน”
“หรือว่าเป็เพราะสองวันนี้ข้าใช้ให้ท่านทำงานหนักเกินไป ดวงตาท่านถึงได้กำเริบขึ้นมา?” อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางโทษตัวเองอีกครั้ง
“อย่าพูดเหลวไหลน่า” จางเจิ้นอันส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงจัง “นี่เป็โรคเก่าของข้า ไม่เกี่ยวกับการทำงานเสียหน่อย เมื่อกี้ข้าผิดเอง...มันเป็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ไม่อาจยอมรับสภาพของตัวเองในตอนนั้นได้...ข้าขอโทษ”
คำขอโทษอย่างจริงใจของเขาทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นในใจยิ่งนัก นางส่ายหน้าเล็กๆ พร้อมคลี่ยิ้มบาง “ข้าไม่โกรธท่านแล้ว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะเ้าค่ะ”
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ
อันซิ่วเอ๋อร์ให้เขาเดินนำหน้า ส่วนตัวนางก็กัดฟันทนความเ็ปที่เท้า พยายามฝืนยิ้ม เดินกะเผลกตามหลังเขาไปติดๆ
ในที่สุดจางเจิ้นอันก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาหันขวับกลับมา เห็นสีหน้าที่พยายามอดกลั้นความเ็ปของนางได้ทันที พอไล่สายตาลงต่ำ ก็พบว่าเท้าขวาของนางโชกไปด้วยเืสีแดงสด
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นสายตาเขาจับจ้อง ก็รีบหดเท้าหลบทันที แต่กระโปรงที่นางใส่วันนี้ค่อนข้างสั้น ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรก็ไม่มิด นางจึงทำได้เพียงเบี่ยงเท้าขวาไปซ่อนไว้หลังเท้าซ้าย ส่งยิ้มเจื่อนให้เขา “ท่านพี่ หยุดเดินทำไมหรือเ้าคะ?”
“เท้าเ้าเจ็บ ทำไมถึงไม่บอกข้า?” จางเจิ้นอันเงยหน้าขึ้นถาม ในแววตาฉายแววสงสารเจือความไม่พอใจ นางกำลังจะอ้าปากอธิบาย เขาก็เดินเข้ามาประชิดตัว เสี้ยววินาทีนั้น ท่าทางเขากลับมาเปี่ยมด้วยอำนาจกดดันบางอย่างที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธ
เขาย่อตัวลง คว้าข้อเท้าของนางเอาไว้มั่น ค่อยๆ ถอดรองเท้าข้างนั้นออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแผลเหวอะหวะที่ส้นเท้าซึ่งเืเนื้อปนเปกันไปหมด เขาขมวดคิ้วมุ่น “ไปโดนอะไรมา?”
“โดนกับดักหนีบเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบตามจริง แล้วกลับเป็ฝ่ายปลอบเขาเสียเอง “แต่ข้าไม่เจ็บแล้วนะเ้าคะ ไม่เจ็บเลยจริงๆ”
“เจ็บขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เจ็บอีก” น้ำเสียงเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขากวักมือเรียกนาง แล้วย่อตัวลงหันหลังให้ อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง นางลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังกว้างนั้นแต่โดยดี
“ท่านพ่อ...ท่านใจดีที่สุดเลย” อันซิ่วเอ๋อร์โอบรอบลำคอเขาไว้ กระซิบเบาๆ ข้างหู
พอได้ยินนางเรียกตนเองเช่นนั้นอีกแล้ว จางเจิ้นอันก็อดถามไม่ได้ “ซิ่วเอ๋อร์ นี่เ้ามีปมผูกพันกับบิดาเป็พิเศษรึอย่างไรกัน?”
“ก็ใช่น่ะสิเ้าคะ ข้าติดท่านพ่อจะตายไป” อันซิ่วเอ๋อร์ซบหน้ากับแผ่นหลังกว้าง กล่าวเสียงอู้อี้ “ตอนเด็กๆ ท่านพ่อก็เคยแบกข้าแบบนี้ หลังของท่านก็กว้างเหมือนหลังท่านตอนนี้ อกของท่านก็อบอุ่นพึ่งพิงได้เหมือนกัน แต่พอข้าโตขึ้นๆ ท่านพ่อก็ค่อยๆ แก่ลง หลังของท่านเริ่มโค้งงอเพราะภาระชีวิต ร่างกายก็ทรุดโทรมลง จนแบกข้าไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว...”
อันซิ่วเอ๋อร์ซบหน้าอยู่บนแผ่นหลังเขา พร่ำเล่าเื่ราวของบิดาให้ฟัง จางเจิ้นอันตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าเสื้อบริเวณแผ่นหลังเปียกชื้นเป็วงกว้าง ได้ยินเสียงนางสะอื้นไห้แ่เบา น้ำตาคงจะซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามา
“ท่านพ่อตาตอนนี้ก็ยังแข็งแรงดีอยู่ เ้าอย่าเสียใจไปเลยน่า” เขาปลอบใจด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ข้าไม่ได้เสียใจเ้าค่ะ” เสียงอันซิ่วเอ๋อร์ดังมาจากด้านหลัง แฝงความรู้สึกะเืใจเอาไว้ “ท่านพ่อเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ท่านเดินเคียงข้างข้ามาบนเส้นทางชีวิต่หนึ่งแล้ว ตอนนี้เขามอบข้าให้กับท่าน เส้นทางชีวิตของข้าหลังจากนี้ยังอีกยาวไกลนัก...ท่านจะยอมเดินเคียงข้างข้าไปแบบนี้ตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่? หรือท่านจะทำเหมือนเมื่อครู่อีก...นิ่งเงียบไป แล้วก็หันหลังทอดทิ้งข้าไปเฉยๆ?”
จางเจิ้นอันเงียบไป เขาไม่รู้ว่าอาการตาพร่ามัวครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด และไม่รู้ว่าหากเกิดขึ้นอีกครั้ง มันจะหายกลับมามองเห็นได้อีก...หรือจะมืดบอดไปตลอดกาล
เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความจริงนั้นได้หรือไม่ ความรู้สึกของการมองไม่เห็น...มันช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปจริงๆ
“ท่านพี่...ทำไมท่านเงียบไปล่ะเ้าคะ?” เสียงอันซิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง เจือความหวาดหวั่น “หรือว่า...ท่านกำลังคิดจะทิ้งข้าไปอีกจริงๆ?”
“ไม่ทำแล้ว” ในที่สุดจางเจิ้นอันก็เอ่ยปาก “ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ครั้งหน้า หากตามองไม่เห็นขึ้นมาอีกจริงๆ ข้า...ข้าจะพยายามเผชิญหน้ากับมันอย่างเข้มแข็ง”
“มันต้องแบบนี้สิเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนนี้ท่านไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ท่านไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป ท่านยังมีข้าอยู่ทั้งคน ต่อให้ท่านมองไม่เห็นจริงๆ ก็ไม่เป็ไร ข้าจะดูแลท่านเอง”
“แต่ว่า...ถ้าพ่อเ้ามารู้เื่นี้เข้า เขาจะไม่เสียใจแย่หรือ?” จางเจิ้นอันฝืนยิ้มขมขื่น “ลูกสาวสุดที่รักที่อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม กลับต้องมาแต่งให้กับคนตาบอดอย่างข้า”
