งูเหลือมน้ำแข็งั์อาศัยค่ายกลนำส่งแห่งมิติไปจากโลกมายามรกต ไม่รู้ว่าไปแห่งหนใด
หลังจากประตูโลกลึกลับที่เกิดจากม่านแสงะเิออก จุดแสงก็สาดกระเซ็นไปทั่ว ส่วนเสาหินสิบสองต้นที่มีกระแสไอเย็นและเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมานั้นก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
เนี่ยเทียนยืนอยู่เบื้องใต้เสาหินต้นหนึ่ง เดิมทีคิดจะสำรวจตำหนักหินเพื่อดูความมหัศจรรย์ในตำหนักสักหน่อย
ทว่าไม่นานเขาก็ค้นพบว่ากระดูกสัตว์ที่วางไว้ในแอ่งเว้าบนแท่นบูชาเ่าั้ พอะเิออกแล้ว ในจุดแสงเล็กๆ น้อยๆ ที่กระเด็นออกมานั้น คล้ายว่ายังคงหลงเหลือพลังงานมหาศาลอยู่
ดวงตาเขาเปล่งแสงวาบ ใช้จิตไปรับััทันที แล้วก็ต้องค้นพบโดยพลันว่าในตำหนักหิน มีพลังงานเข้มข้นเกินจะเปรียบล่องลอยอยู่
พลังงานเ่าั้มาจากสัตว์วิเศษระดับสูง กระดูกสัตว์โปร่งใสแต่ละชิ้นคือแหล่งที่มาของพลังงานหลักในการกระตุ้นค่ายกลนำส่งแห่งมิติ
กระดูกสัตว์จำนวนมากอาจจะเกิดจากการที่งูเหลือมน้ำแข็งั์ทุ่มเทกำลังกายมากมายถึงจะเก็บรวบรวมมาได้ เดิมทีก็เป็กุญแจสำคัญในการพามันออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว
ตอนนี้กระดูกสัตว์แตกสลายทั้งหมด ทว่าพลังงานที่ก่อเกิดขึ้นมาในชั่วพริบตานั้นกลับยังคงดำรงอยู่ในตำหนักหิน ซึ่งกำลังหายไปช้าๆ
“ช่างเป็พลังงานที่มากมหาศาลยิ่งนัก!”
เนี่ยเทียนล้มเลิกความคิดที่จะสำรวจตำหนักหินทันที แต่เลือกนั่งลงทำสมาธิ โคจรคาถาหลอมลมปราณ
พอมหาสมุทริญญาเคลื่อนไหว เขาราวกับกลายมาเป็หินแม่เหล็กขนาดั์ก้อนหนึ่ง เริ่มดูดซับเอาพลังงานที่ค่อยๆ หายไปในตำหนักหินมาอย่างบ้าคลั่ง
ไอหมอกสีขาวเงินหลายกลุ่มก้อนคลอเคล้าไปกับประกายแสงจุดเล็กจุดน้อย พุ่งเข้ามาหาเขาจากแปดทิศแปดด้านประหนึ่งแมลงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ
แค่ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ััได้ว่ามหาสมุทริญญาถูกเติมเต็มไปด้วยพลังิญญาที่เปี่ยมล้น!
หลอมลมปราณมีทั้งหมดเก้าขั้น การฝึกบำเพ็ญตบะจากหนึ่งถึงเก้าไม่มีด่านอุปสรรคที่จำเป็ต้องฝ่าทะลุไปให้ได้ จำเป็แค่ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขมหาสมุทริญญาอย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น
พอถึงขั้นที่เก้าและต้องฝ่าทะลุไปยังขอบเขตท้าย์ ถึงจะไม่ได้อาศัยเพียงแค่การสะสมพลังิญญาและการปรับเปลี่ยนมหาสมุทริญญาเท่านั้น
ด่านอุปสรรคจะปรากฏอยู่แค่ในหลอมลมปราณเก้าถึงขั้นท้าย์เท่านั้น
และมหาสมุทริญญาจุดตันเถียนของเนี่ยเทียน เมื่อผ่านการกลืนกินเนื้อกิ้งก่าดินใน่ที่ผ่านมา ผ่านการปรับแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เดิมทีจึงถือว่าอยู่ใน่ปากด่านอันเป็กุญแจสำคัญในการฝ่าทะลุขั้นอยู่แล้ว
หากไม่เจอกับงูเหลือมน้ำแข็งั์ บางทีเขาอาจจะใช้การฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากของคราวที่แล้วมาเหยียบย่างเข้าสู่หลอมลมปราณขั้นแปดไปแล้ว
ครั้งนี้ หลังจากที่พลังงานเข้มข้นซึ่งล้อมวนอยู่ในตำหนักหินไหลทะลักเข้ามายังมหาสมุทริญญาของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า เขาใกล้จะบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว---หลอมลมปราณขั้นแปด!
เขารวบรวมสมาธิตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ร่างของเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันสั่นะเืขึ้นมาเบาๆ
หลังจากลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี ะโเสียงทุ้มต่ำว่า “สำเร็จแล้ว!”
เขาเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นที่แปดของหลอมลมปราณได้สำเร็จ!
ไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน เขาใช้จิตััต่อไป พบว่าพลังงานในตำหนักหิน แม้ว่าจะเบาบางลงไปบางส่วน ทว่ายังคงถือว่าเปี่ยมล้นสมบูรณ์อยู่
เขามีความรู้สึกว่า ทุก่ระยะหนึ่งที่ผ่านไป พลังงานในตำหนักหินก็จะลดน้อยลงไปบางส่วน
“โอกาสนี้หาได้ยาก ต่อไป... ก็ไม่แน่ว่าจะเจอสัตว์วิเศษระดับสองตัวใหม่ เมื่อไม่มีเืเนื้อของสัตว์วิเศษระดับสอง คิดจะฝ่าทะลุขั้นหลอมลมปราณแปดอย่างรวดเร็ว เกรงว่าคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
“พลังงานของที่แห่งนี้มาจากกระดูกสัตว์ระดับสูงมากมายหลายชิ้น อีกทั้งยังดูดซับได้ง่ายมากด้วย”
“ก่อนหน้าที่พลังงานเ่าั้จะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ จะต้องคว้าโอกาสอันหาได้ยากยิ่งครั้งนี้เอาไว้ พยายามขยายมหาสมุทริญญาให้ได้มากที่สุด!”
เมื่อคิดเช่นนี้เขาจึงทำจิตใจให้สงบอีกครั้ง ไม่ได้รู้สึกพอใจกับการฝ่าทะลุขั้นหลอมลมปราณแปดเท่าไหร่นัก
เขาเริ่มร่ายคาถาหลอมลมปราณ ยืมใช้พลังงานเข้มข้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตำหนักหินแห่งนี้ เริ่มฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากรอบใหม่ เริ่มทำการปรับปรุงมหาสมุทริญญาอีกครั้ง
ไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน
เนี่ยเทียนที่นั่งหลังตรงอยู่ในตำหนักหิน ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างลืมกินลืมนอน จมจ่อมอยู่กับการปรับปรุงมหาสมุทริญญา ไม่รู้ถึงวันเวลาที่ผ่านไปเลยแม้แต่นิด
จนกระทั่งไม่อาจดูดซับเอาพลังงานบริสุทธิ์ในตำหนักหินได้อีก เขาถึงได้หยุดลง
จากนั้นเขาก็พบว่าในตำหนักหินที่เงียบสงบไม่มีจุดแสงใดหลงเหลืออยู่อีก ไม่มีพลังงานเข้มข้นที่ทำให้เขาตื่นเต้นตกค้างอยู่อีกแล้ว
เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า พลังงานที่หลงเหลืออยู่ในตำหนักหินเ่าั้ได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์แบบตามกาลเวลาที่ผ่านไป
ส่วนเขา หลังจากที่ฝ่าทะลุขั้นหลอมลมปราณแปดก็ได้ฝึกฝนอย่างยากลำบากอีกครั้ง เขายืมใช้พลังงานในตำหนักหินมาขยายมหาสมุทริญญาเพิ่มได้อีกถึงสามเท่า!
บนพื้นฐานของขั้นที่แปด พละกำลังที่จำเป็สำหรับการใช้ขยายมหาสมุทริญญาอีกสามเท่านั้น อันที่จริงแล้วมากมหาศาลอย่างถึงที่สุด
หากไม่มีพลังงานบริสุทธิ์เ่าั้ หากเขาฝึกบำเพ็ญตบะอยู่ในตระกูลเนี่ย เขาอาจจำเป็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีหรือมากกว่านั้น จึงจะสามารถขยายมหาสมุทริญญาของหลอมลมปราณที่แปดได้ถึงระดับนี้
ตำหนักหินแห่งนี้ทำให้ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญตบะของเขาเพิ่มสูงขึ้นเกินสิบกว่าเท่า!
เนี่ยเทียนที่อารมณ์เบิกบานรู้ว่าพลังงานหายไปหมดแล้ว บำเพ็ญตบะต่อไปก็ไม่มีความหมาย ในที่สุดจึงลุกขึ้นยืน สำรวจตำหนักหินแห่งนี้อย่างละเอียด
เขาเดินวนรอบตำหนักหินอยู่สามรอบ พบว่าแท้จริงแล้วในตำหนักหินมีเพียงค่ายกลนำส่งแห่งมิติค่ายเดียวเท่านั้น
บนผนังของตำหนักสลักรูปสัตว์วิเศษแปลกประหลาดเอาไว้มากมาย ทั้งยังมีตัวอักษรโบราณแปลกตารูปสัตว์อยู่อีกบางส่วน
อักษรรูปสัตว์แต่ละตัวที่พิลึกพิลั่นนั้นคล้ายจะเกิดจากฝีมือสร้างสรรค์ของสัตว์วิเศษระดับสูงที่มีสติปัญญาโดดเด่น
อักษรเ่าั้ที่ถูกสลักลงบนผนังหินราวกับ้าจะอธิบายถึงอะไรบางอย่าง น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ความหมายของอักษรพวกนั้น จึงทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความจนใจ
กระดูกสัตว์มากมายะเิกระจายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย แท่นบูชาในเสาหินทั้งสิบสองต้นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเปิดใช้ได้ จึงหมดประโยชน์ไปชั่วขณะ
เขาสังเกตอย่างละเอียดอยู่รอบหนึ่งก็ไม่ค้นพบอะไรไปมากกว่านั้น เพียงแค่รู้สึกว่าเสาหินหกต้นที่สลักัเพลิงเอาไว้น่าจะมีประโยชน์อย่างมากต่อตัวเขา
ัเพลิงหกตัวที่เลื้อยพันอยู่บนเสาหินทั้งหกต้นไม่ได้มาจากกระดูกของัเพลิง แต่เป็การนำหินมาสลักเป็รูปร่าง
ทว่าเขากลับรู้สึกว่าในร่างของัเพลิงหกตัวที่ทำมาจากหินนั้นเหมือนจะแฝงเร้นพลังงานเปลวเพลิงที่น่าหวาดกลัวเอาไว้
กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นของเขาที่เห็นได้ชัดว่ามาจากัเพลิง ในด้านความ้าพลังงานเปลวเพลิงของมัน เรียกว่าไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง
กระดูกสัตว์ต้องดูดซับเอาหินเมฆอัคคีทั้งหมดในูเาแร่ที่ตระกูลเนี่ยเป็ผู้ขุด ถึงจะรวบรวมเืสดหยดหนึ่งออกมาได้
หลังจากเืสดหยดนั้นก่อตัวได้สำเร็จ กระดูกสัตว์ก็คล้ายจะเกิดการแปรสภาพ ทำให้ตอนที่เขาเดินทางกลับตระกูลเนี่ย สามารถกำจัดผู้แข็งแกร่งสองคนที่หยวนชิวอิ๋งส่งตัวมาให้กลายเป็เถ้าธุลีได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งหลังจากที่เขากลับมายังตระกูลเนี่ยได้ไม่นาน กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นยังฉีกห้วงมิติ พาเขาไปยังดินแดนลึกลับ
ในดินแดนลึกลับแห่งนั้นมีความมหัศจรรย์มากมาย และเขาก็ได้บรรลุหมัดพิโรธรูปแบบที่หนึ่ง
ทว่า การที่กระดูกสัตว์จะพาเขาส่งไปยังดินแดนลึกลับและพากลับมายังตระกูลเนี่ย ล้วนจำเป็ต้องใช้พลังงานเปลวเพลิงมากมหาศาลช่วยประคับประคอง
หากเขาคิดจะใช้กระดูกสัตว์นั้นฉีกห้วงมิติเพื่อไปสำรวจดินแดนลึกลับ ก็จำเป็ต้องให้กระดูกสัตว์ดูดซับเอาพลังงานเปลวเพลิงที่มากกว่าเดิม
ในตำหนักหินแห่งนี้ เสาหินหกต้นที่มีัเพลิงเลื้อยพัน สามารถมอบพลังงานเปลวเพลิงมากมายที่ว่านั้นได้!
“น่าเสียดาย ไม่ได้เอากระดูกสัตว์ัเพลิงชิ้นนั้นเข้ามาด้วย มิฉะนั้น กระดูกสัตว์นั่นก็น่าจะดูดดึงเอาพลังงานเพลิงที่ซ่อนอยู่ในเสาหินหกต้นนี้ไปได้จนเกลี้ยง”
เนี่ยเทียนที่ในใจเต็มไปด้วยความเสียดายเดินเตร่ไปในตำหนักหินพักหนึ่ง ทำการสำรวจอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ
หลังจากไม่ได้ค้นพบอะไรมากกว่าเดิม เขาก็ปีนขึ้นไปบนยอดเสาต้นหนึ่ง ใช้เสาหินที่อยู่ใกล้กับอุโมงค์บนเพดานตำหนักหินโผล่ร่างออกจากอุโมงค์
อุโมงค์นั่นเชื่อมต่อกับถ้ำโคลนกลางทะเลสาบ
อุโมงค์นี้เกิดจากกรวดทรายของทะเลทรายก่อตัวเข้าหากัน เมื่อเขายื่นมือเข้าไปจึงทิ่มสวบลงไปในเม็ดทรายทันที
ใช้สองมือเป็บันได เขาค่อยๆ ปีนขึ้นไป้าทีละนิด ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เข้ามาในถ้ำโคลน กลับมายังจุดศูนย์กลางของทะเลสาบอีกครั้ง
พอออกมาจากถ้ำโคลนได้ และยืนอยู่กลางทะเลสาบ เขาก็พบว่าบนทะเลสาบมีแสงแปลกประหลาดเปล่งวับแวมขึ้น
ถ้ำโคลนที่เกิดขึ้นเพราะถูกหางของงูเหลือมน้ำแข็งั์เจาะทะลุทะลวงเข้าไป มาบัดนี้กลับค่อยๆ ปิดเข้าหากันอย่างน่าพิศวง
เขาเดินออกมาจากทะเลสาบ ยืนอยู่ริมฝั่ง แล้วจึงหันไปมองตรงกลางทะเลสาบอีกครั้ง พบว่าทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพปกติ มองไม่เห็นถึงเส้นสนกลในใดๆ
“ตำหนักหินอยู่ด้านใต้นั่น ต่อไปหากได้เข้ามาในโลกมายามรกตอีกครั้ง จะต้องเอากระดูกสัตว์ชิ้นนั้นมาดูดซับพลังเปลวเพลิงในเสาทั้งหกต้นไปให้หมดให้ได้”
เขาหรี่ตาลง จดจำรายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างของทะเลสาบไม่ว่าจะเป็พื้นที่รอบด้าน หรือสีของทะเลสาบเอาไว้ให้ขึ้นใจ
เขาหวังว่า คราวหน้าหากมีโอกาสได้เข้ามาในโลกมายามรกตอีก จะต้องหาที่แห่งนี้ให้เจอ
“น่าจะผ่านไปนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าพวกอันอิ่งได้ไปรวมตัวกับเจิ้งปินหรือไม่ สำนักภูตผีและสำนักโลหิตอาจจะเจอพวกเขานานแล้ว หวังว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่”
รอบด้านไม่มีเนื้อสัตว์วิเศษเหลืออีก พลังงานของตำหนักหินใต้ดินก็ถูกเขาคว้าโอกาสเอามาหลอมหมดแล้ว
ตอนนี้ เขาไม่เพียงแต่ฝ่าทะลุหลอมลมปราณขั้นแปดได้อย่างราบรื่น ทั้งยังขยายมหาสมุทริญญาเพิ่มขึ้นไปอีกสามส่วน ต่อไปก็ไม่มีเื่อะไรให้ทำอีกแล้ว
“ดูสิว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขา ช่วยพวกเขาสังหารลูกศิษย์ของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตได้หรือไม่”
แยกแยะทิศทางอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ไปจากที่แห่งนี้ มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่งูเหลือมน้ำแข็งั์พาเขามาก่อนหน้านั้น
เขาเดินทางเพียงลำพังอยู่ในทะเลทรายร้าง
ผ่านไปประมาณห้าหกชั่วยาม เขาที่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย จึงหยุดพัก หยิบเอาหินวิเศษก้อนหนึ่งออกมาจาก0ถุงผ้าคาดเอว ฟื้นฟูพลังิญญาที่สูญเสียไป
“เอ๊ะ? มีคนรึ?”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง จึงโยนหินวิเศษที่หมดสิ้นพลังิญญาทิ้งไป ขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน
เขาปลดปล่อยกระแสจิตออกไปัั
“สองคน คลื่นพลังชีวิต หนึ่งแข็งแกร่งหนึ่งอ่อนแอ จะเป็ใครนะ?” ขยับร่างหนึ่งครั้ง เขาพุ่งออกไปยังทิศทางที่ััได้
คนสองคนที่สวมอาภรณ์หุบเขาเทา บนหน้าอกเต็มไปด้วยรอยเื กำลังพูดคุยกันเสียงเบาพลางเร่งรีบเดินทาง พลันปรากฏตัวขึ้นในคลองจักษุของเขา
“หยวนเฟิง! อวิ๋นซง!
-----