มู่หรงฉือเบือนหน้าหนี พลางปาดน้ำตาออก “ท่านตายไปย่อมดีที่สุด”
มู่หรงอวี้กล่าว “เ้ายังไม่ตาย เปิ่นหวางก็จะตายไม่ได้”
นางถลึงตาใส่เขา บุรุษคนนี้จิตใจทะเยอทะยานอย่างที่คิดจริงๆ เขาจะรอให้นางตายไป เขาจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งได้ไม่ใช่หรือ?
แต่ก็ไม่ถูก จากอำนาจและความสามารถของเขา อยากจะเอาตำแหน่งไปเขาย่อมทำได้
“หากเปิ่นหวางตายไปแล้ว เ้าจะเสียใจ เปิ่นหวางจะให้เ้าเสียใจได้อย่างไร?” สีหน้าของเขาย่ำแย่กว่าเมื่อคืนมาก ใบหน้าอ่อนล้าเริ่มกลายเป็สีเขียว ชัดเจนว่าพิษเริ่มซึมลึกแล้ว “เปิ่นหวางจะตายหลังเ้า ยอมเป็คนที่เสียใจอยู่บนโลกนี้คนเดียว”
“สมองของท่านพังไปแล้วหรือ? พูดจาเลอะเทอะ” นางปรายตามองเขา เพิ่งจะเช้าก็ถูกเขาพูดหยอกเย้าจนหน้าแดงด้วยความโกรธจนอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
น้ำเสียงนี้ทั้งเป็ธรรมชาติและยังเจือความแง่งอน การมองปราดนี้ของนางกลับเผยความน่ารักออกมาหลายส่วน
เขาเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะหมายจะขยับตัวลงจากเตียง แต่เพราะร่างกายอ่อนแอจึงยืนไม่มั่นคง โอนเอนไปทางนาง นางรีบเข้ามาพยุงเขาเอาไว้ แล้วถามอย่างเป็กังวล “ทำไมถึงเป็เช่นนี้ เพราะพิษหรือ?”
เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นพลางยิ้มอ่อน “เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยก็ฝืนใจสวมเสื้อให้เปิ่นหวางเถิด”
ครั้นคิดถึงความอ่อนโยน อ่อนหวาน การเกี่ยวกระหวัดกันอย่างแแ่อันน่าใเมื่อคืน หัวใจของมู่หรงฉือก็สั่นสะท้านเล็กน้อย กล้ามเนื้อทั่วทั่งร่างอ่อนยวบ ก้มหน้าที่แดงเถือกลงแล้วหยิบเสื้อผ้ามาช่วยสวมใส่ให้เขา
มู่หรงอวี้มองเรือนผมหนานุ่มของนางขยับไปมาอยู่ใต้ตา ในหัวก็ปรากฏภาพอันอบอุ่นงดงามขึ้น
ต้องมีสักปี สักเดือน สักวัน ที่เขาจะเป็สามีของนาง และนางก็คือภรรยาของเขา พวกเขากอดเกี่ยวกันทั้งคืน ถึงยามเช้าก็ตัวติดกันตลอดเวลา...
ในตอนที่ผูกผ้าคาดเอวให้เขาเสร็จ นางก็เหลือบตาขึ้นเห็นมุมปากของเขากำลังยกยิ้มเล็กน้อยพอดี มั่นใจว่าเขาจะต้องคิดถึงภาพสกปรกแน่นอน จึงรัดผ้าคาดเอวให้แน่นขึ้นอีก
เมื่อเอวรู้สึกแน่นแปลกๆ เขาจึงชะงักไปแล้วก้มหน้าลง มุมปากยกยิ้มร้ายกาจ “เ้าอยากจะรัดตัวให้สามีตายหรืออย่างไร”
ดวงตากลมโตของมู่หรงฉือมีโทสะปะทุขึ้นมา มือขวาจับเข้าที่ลำคอของเขาด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้า กัดฟันพูด “เปิ่นกงคือองค์รัชทายาท!”
เขาไม่ได้หวาดกลัวสักนิด ค่อยๆ ก้มหน้าลง พูดเสียงเบาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เมื่อคืนได้เห็นความงดงามของเตี้ยนเซี่ยเป็ครั้งแรก ทั้งยังได้ชิมรสชาติอันยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็คำพูดได้”
เมื่อได้ยินวาจาเช่นนี้ นางก็โกรธจนหน้าแดง นิ้วมือทั้งห้ากำเข้าหากันแน่น ออกแรงบีบเข้าที่ลำคอของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี หมายบีบเขาให้ตาย
เ้าคนชั่วสารเลวนี่!
การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตี
มู่หรงอวี้เข้าใจเื่นี้เป็อย่างดี จึงยกแขนยาวขึ้นอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วจับเข้าที่บั้นท้ายนุ่มนิ่มของนาง
นางตื่นตระหนก ภายใต้ความหวาดหวั่นวุ่นวายใจก็ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดมากขึ้น นางตวาดเสียงดุ “ปล่อยมือ!”
“ปล่อยพร้อมกันเป็อย่างไร?”
ใบหน้าของเขามีความร้ายกาจแฝงอยู่ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ จนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
ตอนนี้มีอยู่แค่วิธีนี้เท่านั้น ใครใช้ให้นางต่อกรกับบุรุษที่พอลงมือแล้วจะไม่ยอมรามือผู้นี้เล่า
ทว่าในตอนที่นางกำลังจะปล่อยมือ เขาพลันไอออกมา ยิ่งไอยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไอจนหูแดง ไอจนปอดแทบจะหลุดออกมา
จากนั้นก็กระอักเืสีดำออกมา
มู่หรงฉือหน้าเสีย “ท่าน...”
ใบหน้าของมู่หรงอวี้เขียวคล้ำกว่าเดิม พูดเสียงเรียบ “กลับจวนเถิด”
...
เมื่อคนชุดดำที่คุณชายชุดทองส่งมาตามหาพวกเขาไม่พบ ในที่สุดพวกเขาจึงกลับไปที่จวนอวี้หวางได้
ในจวนมีหมอประจำจวนอยู่ หลังจากรักษามู่หรงอวี้แล้วก็ขับพิษออกจากร่างให้เขา
มู่หรงฉือออกมาส่งหมอประจำจวน ก่อนจะถามเขาว่า “ท่านอ๋องไม่เป็อันตรายถึงชีวิตจริงๆ ใช่หรือไม่? พิษโจมตีถึงหัวใจหรือไม่?”
หมอประจำจวนตอบ “เตี้ยนเซี่ยไม่ต้องกังวลใจไป ถึงแม้พิษจะกระจายไปตามร่างกายของท่านอ๋องแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องปิดผนึกเส้นเืหัวใจเอาไว้ พิษจึงไม่อาจโจมตีที่หัวใจ ท่านอ๋องเพียงแค่ต้องขับพิษออกเจ็ดวัน จากนั้นก็จะไม่เป็อะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นได้ยินเช่นนี้นางก็กลับเรือนไปเงียบๆ
มู่หรงอวี้นอนอยู่บนเตียง พ่อบ้านหลินก้มหัวเดินออกมา
“ท่านปิดผนึกเส้นเืหัวใจเอาไว้แล้ว พิษไม่อาจเข้าสู่หัวใจได้ เหตุใดท่านถึงไม่บอกเปิ่นกง” นางโกรธมาก เมื่อคืนกับตอนเช้าตนกังวลไปเสียเปล่าจริงๆ
“เปิ่นหวางคิดว่าเ้ารู้อยู่แล้ว” เขาเลิกคิ้ว “ที่แท้เตี้ยนเซี่ยไม่รู้หรอกหรือ?”
“ท่าน...”
“เปิ่นหวางกระหายน้ำ รบกวนเตี้ยนเซี่ยแล้ว”
ความหมายของเขาก็คือให้นางรินน้ำชาปรนนิบัติเขา!
มู่หรงฉือยิ้มน้อยๆ หมุนตัวไปรินชามาจอกหนึ่ง นางถามเสียงนุ่ม “้าให้เปิ่นกงปรนนิบัติท่านอ๋องดื่มชาหรือไม่?”
มู่หรงอวี้หัวเราะ “หากเตี้ยนเซี่ยยินดีปรนนิบัติเปิ่นหวาง แน่นอนว่าย่อมดียิ่ง”
นางยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง “ท่านอ๋องช่วยชีวิตเปิ่นกงเอาไว้ เปิ่นกงจะต้องตอบแทนอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว”
นางบีบปากของเขา ก่อนจะกรอกน้ำชาทั้งจอกลงไปจนหมดในชั่วอึดใจ
เขาสำลักเล็กน้อย ทั้งยังถูกน้ำชาที่ยังอุ่นร้อนลวกเข้าให้อีก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น ท่าทางดูแปลกประหลาดมาก
“ช่างเป็สตรีใจร้ายอย่างที่คิด”
“เมื่อคืนท่านไม่ยอมกลับจวนหวาง คิดแล้วคงจะมีเจตนาอื่นสินะ” มู่หรงฉือถามอีก รอยยิ้มก็ยิ่งเสแสร้งจอมปลอม
“เื่นี้เมื่อคืนเปิ่นหวางก็อธิบายไปแล้วมิใช่หรือ?” แน่นอนว่ามู่หรงอวี้ััได้ถึงอารมณ์ของนางในตอนนี้ ดูจากรอยยิ้มจอมปลอมก็รู้ว่านางโกรธมากเพียงใด
“เปิ่นกงไม่เชื่อ”
“เตี้ยนเซี่ยไม่เชื่อ แล้วเปิ่นหวางยังจะพูดอะไรได้อีก?” เขาตีหน้าใสซื่อไร้ความผิด “เช่นนั้นเปิ่นหวางให้ท่านตีสองสามทีดีหรือไม่?”
นางชี้หน้าเขาอย่างเดือดดาล กัดฟันแน่นอยากจะพุ่งเข้าไปกัดเขาสักที
ตอนนี้เองที่ด้านนอกมีเสียงใสดังขึ้น “เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ย...”
เป็องค์หญิงตวนโหรว!
สีหน้าของมู่หรงฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หลานสาวของท่านมาแล้ว นางจะต้องมาวุ่นวายกับเปิ่นกงแน่”
แต่ว่าหากออกไปตอนนี้ก็จะต้องเจอกับนางอยู่ดี ถึงนางบอกว่ากำลังจะกลับตำหนัก มู่หรงสือที่ฟังภาษาคนไม่รู้เื่จะต้องตามตอแยนางอีก
นางกลอกตาไปมา ไม่มีที่ให้หลบแล้ว เหลือเพียงใต้เตียงเท่านั้น
นางไม่มีทางไปหลบอยู่ใต้เตียงของเขาหรอก!
มู่หรงอวี้ตบตรงที่ว่างข้างตัว “ที่นี่ปลอดภัย นางไม่มีทางรู้”
นางถลึงตาใส่เขา ที่ที่ทนไม่ได้ยิ่งกว่าใต้เตียงก็คือต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาในผ้าห่มบางๆ นั่นแหละ!
ตอนนี้เอง มู่หรงสือก็บุกเข้ามา ครั้นเห็นเตี้ยนเซี่ยอยู่ที่นี่จริงๆ ก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง หัวเราะคิกคักพลางเอ่ย “ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ยเพคะ”
“อืม” มู่หรงฉือตอบรับเสียงเย็น
“นานๆ เตี้ยนเซี่ยจะมาที่จวนหวางสักที ข้าสั่งให้คนเตรียมสำรับเอาไว้แล้ว ขอเชิญเตี้ยนเซี่ยไปทานอาหารกับข้าที่เรือนเถิดเพคะ”
เมื่อครู่ มู่หรงสือได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าองค์รัชทายาทมาที่จวน ก็ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น รีบให้นางกำนัลข้างกายแต่งกายให้ ทั้งยังสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารเลิศรสมาต้อนรับเตี้ยนเซี่ย ครั้งนี้ นางจะต้องมัดหัวใจของเตี้ยนเซี่ยให้จงได้
มู่หรงฉือลูบจมูก “ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงเลย เปิ่นกงยังไม่หิว”
มู่หรงสือดวงตาเปล่งประกาย ยิ้มเอ่ย “อย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะไปเดินเล่นในจวนกับเตี้ยนเซี่ยก่อน ใช่แล้ว ดอกบัวในบึงกำลังบานพอดี เตี้ยนเซี่ยไปชมดอกบัวด้วยกันเถิดเพคะ”
“เปิ่นกง...” มู่หรงฉือส่งสายตาให้มู่หรงอวี้
“เตี้ยนเซี่ยเป็อะไรไปหรือ? มีทรายเข้าตาหรือเพคะ?” มู่หรงสือเห็นดวงตาของนางแปลกๆ เหมือนกำลังกระตุก
“อ้อ...เมื่อครู่ตอนที่อยู่ด้านนอกถูกลมพัดฝุ่นเข้าตาน่ะ”
“เช่นนั้นหม่อมฉันช่วยเตี้ยนเซี่ยเป่าออกนะคะเพคะ”
“ไม่ต้องๆ เปิ่นกงดีขึ้นมากแล้ว” มู่หรงฉือถอยหลังติดๆ กัน แล้วหันไปส่งสายตาให้เขาอีกครั้ง
มู่หรงอวี้ตีหน้านิ่ง “เปิ่นหวางมีเื่ต้องปรึกษากับเตี้ยนเซี่ย เ้ายังไม่ออกไปอีก?”
ั้แ่ไหนแต่ไรมู่หรงสือก็หวาดกลัวอาสามเป็ที่สุด เห็นเขาตีหน้าเคร่ง จึงทำได้แค่ถอยออกไป ก่อนไปนางยังพูดกับเตี้ยนเซี่ยเสียงเบา “หม่อมฉันจะรอเตี้ยนเซี่ยอยู่ด้านนอกนะเพคะ รีบออกมานะเพคะ”
มู่หรงฉือหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก องค์หญิงตวนโหรวผู้นี้เหตุใดถึงสายตาย่ำแย่เช่นนี้? สมองแย่ไปแล้วหรือว่าแกล้งโง่กันแน่?
“นี่ก็สายมากแล้ว เปิ่นกงควรกลับตำหนักเสียที”
“เชิญเตี้ยนเซี่ยตามสบาย” เขาพิงหมอนใหญ่ พูดด้วยท่าทางสบายๆ
นางรู้สึกว่าท่าทางของเขาแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ไม่ไปแล้วจะรอไปตอนไหน?
เพียงแต่นางเพิ่งจะออกไปก็เห็นมู่หรงสือยืนอยู่ด้านนอก กำลังรอนางอยู่
มู่หรงสือรออยู่ด้านนอกจริงๆ ด้วย!
หากออกไปตอนนี้มู่หรงสือจะต้องเข้ามาวุ่นวายกับนาง เช่นนี้นางก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี
“ท่านหาเหตุผลให้หลานสาวของท่านจากไปได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเปิ่นกงก็ออกไปไม่ได้” มู่หรงฉือย้อนกลับมา ‘ออกคำสั่ง’ กับเขา
“เื่ที่ไม่มีประโยชน์กับเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็คร้านจะยุ่ง” มู่หรงอวี้พูดเนือยๆ พลางหลับตาพักผ่อน
“ท่าน!” ความโกรธสุมอยู่เต็มอก “เมื่อคืนท่านหลอกเปิ่นกง ทั้งยังปกปิดเปิ่นกงมานานถึงเพียงนั้น ตอนนี้ท่านต้องช่วยเปิ่นกง!”
“ขอเพียงเตี้ยนเซี่ยทำเื่หนึ่ง เปิ่นหวางจะฝืนใจช่วยก็ได้”
“เื่อะไร?” นางถามอย่างระแวดระวัง
เขาชี้ไปที่แก้มของตัวเอง พูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “หอมเปิ่นหวางสักที”
มู่หรงฉือโกรธแล้ว “ท่านอย่าได้คืบจะเอาศอก! เมื่อคืนท่าน...ยังไม่พออีกหรือ?”
เขาตอบกลับเสียงหนักแน่น “เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืน วันนี้ก็ส่วนวันนี้ จะเอามารวมกันไม่ได้”
นางใกล้จะโกรธจัดแล้ว “ท่านมันพึ่งพาไม่ได้!”
“ดูเหมือนว่าเตี้ยนเซี่ยจะฝังใจเื่เมื่อคืนมากเลยนะ เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่อยากย้ำเตือนความจำอีกสักครั้งเล่า?”
“เปิ่นกง...”
“หากเตี้ยนเซี่ยอยากจะกลับก็เชิญตามสบาย หากไม่อยากกลับก็ตามสบายเช่นกัน เตี้ยนเซี่ยสามารถอยู่เล่นที่จวนหวางได้ตามใจชอบ”
“ท่าน!”
มู่หรงฉือโกรธจนควันออกหู ยกกำปั้นขึ้นมากำไว้แน่น
ส่วนมู่หรงอวี้เพียงหลับตาลงอีกครั้ง ขนตาดกดำเป็เงาตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา
นางกัดฟันกรอด อดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ก่อนจะปล่อยหมัดไปที่ตาข้างขวาของเขา
หมัดอันแข็งแกร่ง ดุดัน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยลมเย็นสายหนึ่ง
เขาไม่ขยับตัวสักนิด กระทั่งเปลือกตาก็ไม่แม้แต่จะลืมขึ้น ราวกับกำลังหลับสนิท
ในตอนที่หมัดของนางห่างจากดวงตาของเขาเพียงแค่หนึ่งชุ่น แขนของนางก็ถูกจับเอาไว้ไม่อาจขยับ
นิ้วเรียวยาวสองนิ้วหนีบที่ข้อมือของนาง นางอยากจะดึงกลับก็ดึงไม่ได้ ความจริงแล้วนางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะต่อยโดนเขาจริงๆ
มู่หรงอวี้พูดอย่างเกียจคร้าน “หากเตี้ยนเซี่ยเหนื่อยแล้ว เปิ่นหวางยกเตียงอีกครึ่งหนึ่งให้เตี้ยนเซี่ยพักผ่อนได้นะ”
ผีเท่านั้นล่ะถึงจะไปพักผ่อนบนเตียงเขา!
มู่หรงฉือดึงมือกลับอย่างแรง ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องพลางรินชามาดื่ม หมายจะดับโทสะลงไป
นางพบว่าภายในห้องบรรทมของเขามีหน้าต่างเล็กๆ อยู่บานหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีความคิดแล่นแวบเข้ามา ก่อนจะวิ่งไปปีนหน้าต่างเล็กบานนั้นทันที
อืม ขนาดพอดีให้นางออกไปได้คนเดียว
มู่หรงอวี้มองนางปีนหน้าต่างออกไปก็หัวเราะสะใจ “เตี้ยนเซี่ยเองก็รู้จักปีนหน้าต่างแบบเปิ่นหวางแล้วหรือ? หน้าต่างบานเล็กในจวนเปิ่นหวางยินดีต้อนรับเตี้ยนเซี่ยทุกคืน เพียงแต่ว่าอย่าได้ปีนกำแพงเป็อันขาด ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางจะลงโทษจนเตี้ยนเซี่ยทนไม่ไหว”
ความจริงเขาคิดวิธีนี้ไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไป แต่ในที่สุดนางก็คิดได้เอง
มู่หรงฉือยืนอยู่นอกหน้าต่างพลางโบกมือให้เขา ไม่ได้โกรธเพราะคำพูดของเขา กลับกันยังยิ้มแล้วพูด “เปิ่นกงไม่ชอบปีนกำแพง ยิ่งไม่ชอบปีนหน้าต่าง มีเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น ท่านอ๋อง เปิ่นกงไปก่อนแล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้