ตอนที่ 4 ตบหน้าด้วยเหตุผล
เช้าวันต่อมา บรรยากาศในเรือนท้ายสวนที่เคยเงียบเหงาปานป่าช้า กลับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของบะหมี่เนื้อตุ๋นพริกเผาที่อาหลินตั้งใจทำสุดฝีมือ ฉันนั่งละเมียดละไมคีบเส้นบะหมี่เข้าปากด้วยจังหวะที่สโลว์ไลฟ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์จะพึงทำได้
ความสุขของฉันเรียบง่ายมาก... แค่ไม่มีคนมาะโด่าหน้าห้อง และไม่มีใครพยายามจะฆ่าฉันในระหว่างที่ฉันกำลังเคี้ยวเนื้อตุ๋นนุ่มๆ
แต่ก็นั่นแหละ... กฎของนิยายแนวทะลุมิติคือ เมื่อไหร่ที่นางเอกมีความสุข ตัวร้ายจะโผล่มาทันที
ครืนนน...
เสียงฝีม้านับสิบตัวหยุดลงที่หน้าประตูรั้วผุๆ คราวนี้ไม่มีการถีบประตู ไม่มีเสียงะโโวยวาย แต่บรรยากาศกลับหนักอึ้งและเย็นเฉียบจนน้ำในถ้วยน้ำชาของฉันเกิดพรายฟอง
"คุณหนูคะ..." อาหลินหน้าซีด มือไม้สั่นจนเกือบทำทัพพีร่วง
"ธง... ธงนั่นมัน... สัญลักษณ์ของตำหนักอ๋องเก้าค่ะ!"
ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่
"อ๋องเก้า? คนที่เขาลือกันว่าเป็ปีศาจเืเย็น ที่ชอบเอาหัวคนมาทำเป็โถฉี่นั่นน่ะเหรอ?"
"คุณหนู! เบาๆ ค่ะ เดี๋ยวท่านอ๋องก็ได้ยินหรอก!"
"ได้ยินก็ดีสิ จะได้รู้ว่าข่าวลือบ้านเขาเนี่ย... พล็อตเื่แย่กว่านิยายขายหัวเราะบ้านฉันอีก" ฉันคีบลูกชิ้นเข้าปากพลางเคี้ยวตุ๋ยๆ
ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดฉลองพระองค์สีดำปักลายัทะยานเมฆาเก้าเล็บก็ก้าวเข้ามาในเรือน ท่วงท่าของเขาสง่างามทว่าเปี่ยมไปด้วยรังสีฆ่าฟันที่รุนแรง ใบหน้าคมคายราวกับสลักจากหยกชั้นยอด ดวงตาเรียวยาวสีนิลคู่นั้นเ็าจนสามารถทำให้คนธรรมดาหัวใจหยุดเต้นได้ง่ายๆ
ข้างกายเขาคือองค์รักษ์หน้าตายที่ทำหน้าเหมือนคนเป็ริดสีดวงตลอดเวลา
ฉันไม่ได้ลุกขึ้น ไม่ได้ถวายบังคม และที่สำคัญที่สุด... ฉันไม่ได้หยุดกิน
"หลินชิงเซวียน?" เสียงของเขาต่ำและทรงพลัง ราวกับเสียงฟ้าร้องในยามค่ำคืน
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปซดน้ำซุป
"คุณคือท่านอ๋องเก้า? ขอโทษนะที่ไม่ได้ลุกต้อนรับ พอดีคุณครูตอนประถมสอนมาว่า เวลาทานข้าวห้ามเล่นห้ามคุย และที่สำคัญ... การขยับตัวแรงๆ ตอนท้องตึงมันทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติค่ะ"
"สามหาว!" องครักษ์ข้างกายเขาชักดาบออกมากึ่งหนึ่ง
"เห็นท่านอ๋องแล้วยังไม่คุกเข่า เ้าอยากตายนักใช่ไหม!"
ฉันวางตะเกียบลงช้าๆ เช็ดปากด้วยผ้าเช็ดหน้าที่อาหลินส่งให้ แล้วมองไปที่องครักษ์คนนั้นด้วยสายตาที่เหมือนมองเด็กประถมกำลังงอแง
"คุณคะ..." ฉันเริ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"การที่พวกคุณบุกรุกเข้ามาในบ้านคนอื่นตอนมื้อเช้าเนี่ย นอกจากจะผิดกฎหมายเื่การบุกรุกเคหสถานแล้ว ยังเป็การแสดงออกถึง ความไร้การศึกษาอย่างรุนแรงอีกด้วย คุณคิดว่าการชักดาบใส่ผู้หญิงที่กำลังกินบะหมี่มันทำให้คุณดูเท่เหรอ? เปล่าเลย... มันทำให้คุณดูเหมือนคนเก็บกดที่หาที่ลงไม่ได้มากกว่านะ"
"เ้า!!!" องครักษ์หน้าแดงก่ำ
"พอ" ท่านอ๋องเก้าหรือ เซียวโม่ ยกมือห้าม
เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เริ่มมีความสนใจแปลกๆ
"เ้าคือคนที่หักกระบี่ของเย่เฟิง และทำให้หลินหงกระเด็นไปกระแทกเกวียน?"
"ถ้าคุณหมายถึงการสั่งสอนคนโง่ที่ขยันผิดเวลา... ใช่ค่ะ ฉันเอง" ฉันพิงหลังกับพนักเก้าอี้ไม้เก่าๆ
"แล้วท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่มีธุระอะไรกับปลาเค็มอย่างฉันเหรอคะ? ถ้าจะมาตามหาหยกโลหิต บอกเลยว่าฉันขายไปแล้ว... อ้อ ไม่ได้ขายสิ เรียกว่าแลกเปลี่ยนเพื่อความสงบสุขมากกว่า"
เซียวโม่เดินเข้ามาใกล้ ข้ามผ่านกองขยะและฝุ่นละอองที่พื้นเรือนโดยไม่แสดงความรังเกียจ เขานั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามฉัน สายตาสบเข้ากับดวงตาของฉันอย่างไม่ลดละ
"ข้า้าคนฉลาดมาช่วยทำงาน..."
"งั้นคุณก็มาผิดที่แล้วค่ะ" ฉันแทรกขึ้นทันที
"ฉันไม่ฉลาด ฉันแค่ี้เี และความี้เีทำให้ฉันต้องหาวิธีที่สั้นที่สุด ง่ายที่สุด และเ็ปน้อยที่สุดในการจบปัญหา การทำงานให้คุณ... ฟังดูแล้วมันขัดต่ออุดมการณ์ปลาเค็ม ของฉันอย่างแรง"
เซียวโม่ยกยิ้มที่มุมปาก เป็รอยยิ้มที่ไม่ได้ดูเป็มิตรเลยสักนิด
"เ้าคิดว่าเ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธข้า?"
"ในโลกนี้มีอยู่สองอย่างที่คนเราปฏิเสธไม่ได้ค่ะท่านอ๋อง...
" ฉันชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
"หนึ่งคือความตาย สองคือความหิว ส่วนท่านอ๋องเก้า... ท่านจัดอยู่ในหมวดหมู่ ตัวเลือกเสริม ที่ฉันสามารถปัดตกไปได้ถ้าข้อเสนอไม่น่าสนใจพอ"
"คุณหนู!" อาหลินที่ยืนอยู่ข้างหลังแทบจะลมจับ
"คุณคิดว่ายศถาบรรดาศักดิ์ทำให้คุณดูสูงส่งงั้นเหรอ?" ฉันรุกต่อด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน
"เปล่าเลย... มันแค่ทำให้เวลาคุณล้มลงมา เสียงมันจะดังกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง สำนวนจีนเขาว่ายังไงนะ? ตึกสูงหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ฐานราก ถ้าฐานรากของคุณคืออำนาจที่ได้จากการกดขี่ วันหนึ่งที่คนข้างล่างเขาี้เีจะแบกคุณไว้ คุณก็จะร่วงลงมาคอหักตายเอง"
บรรยากาศรอบตัวเซียวโม่เริ่มกดดันขึ้น พลังปราณที่แผ่ออกมาทำให้ถ้วยบะหมี่บนโต๊ะเริ่มร้าว แต่ฉันยังคงนิ่งเฉย
"เ้าไม่กลัวข้าจริงๆ หรือ?" เขากระซิบถาม
"ความกลัวคืออารมณ์ที่สิ้นเปลืองพลังงานที่สุดอย่างหนึ่งค่ะ" ฉันตอบพลางหาวหวอด "คุณจะฆ่าฉันก็ได้นะ แต่ช่วยรอให้ฉันย่อยบะหมี่มื้อนี้เสร็จก่อนได้ไหม? ฉันไม่อยากตายไปพร้อมกับความรู้สึกแน่นท้อง มันเสียบุคลิกตอนเป็ผี"
เซียวโม่หัวเราะ... เป็ครั้งแรกที่องค์รักษ์ของเขาแสดงท่าทางตกตะลึงยิ่งกว่าเห็นผีกลางวันแสกๆ
"น่าสนใจ... หลินชิงเซวียน เ้าบอกว่าเ้าี้เี แต่ฝีปากเ้ากลับทำงานหนักยิ่งกว่าแม่ทัพในสนามรบเสียอีก" เซียวโม่โน้มตัวเข้ามาใกล้จนฉันได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของไม้กฤษณา
"ข้ามีข้อเสนอ... ข้าจะให้เ้าอยู่อย่าง ปลาเค็ม ที่สุดในจวนอ๋องเก้า มีเตียงที่นุ่มที่สุด มีอาหารที่ดีที่สุด และไม่มีใครกล้าปลุกเ้าแม้แต่คนเดียว ตราบใดที่เ้าช่วยข้า วางแผน จัดการพวกกิ้งก่าในราชสำนักแค่เดือนละครั้ง"
ฉันหรี่ตามองเขา
"เดือนละครั้ง?"
"และเ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ใคร แม้แต่ข้า"
ฉันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง... เตียงนุ่มๆ อาหารดีๆ และไม่มีใครกล้าปลุก? นี่มันคือสวัสดิการระดับพรีเมียมของปลาเค็มชัดๆ
"แล้วถ้าฉันบอกว่า... ฉันขอเพิ่ม หมอนขนเป็ดจากต่างแคว้น และ สิทธิ์ในการด่าใครก็ได้ที่ฉันรำคาญ โดยที่คุณต้องคุ้มครองฉันล่ะ?"
เซียวโม่เลิกคิ้ว
"เ้าจะด่าข้าด้วย?"
"ถ้าคุณน่ารำคาญ... ก็ไม่เว้นค่ะ" ฉันยิ้มอย่างเป็ต่อ
"สำนวนจีนกล่าวไว้ว่า ยาดีมักมีรสขม คำด่าของฉันอาจจะฟังดูเจ็บแสบ แต่มันจะทำให้คุณไม่เดินลงเหวเพราะความหลงระเริงในอำนาจไงคะ"
ในขณะที่เซียวโม่ (ท่านอ๋องเก้า) กำลังรอคำตอบ องครักษ์นามว่า หานเซียว ที่ยืนอยู่ข้างหลังกลับทนไม่ได้ที่เห็นเ้านายผู้สูงส่งถูกสตรีในชุดนอนดูิ่ เขาขยับก้าวออกมาข้างหน้า รังสีฆ่าฟันแผ่ออกมาจนอาหลินต้องถอยไปหลบหลังเสา
"หลินชิงเซวียน! เ้าอย่าให้มันมากนัก ท่านอ๋องอุตส่าห์ให้เกียรติมาถึงเรือนเน่าๆ นี่ เ้ากลับทำตัวไร้หัวนอนปลายเท้า กิริยาทรามยิ่งกว่าหญิงชาวบ้าน!" หานเซียวตวาด "เ้าคิดว่าความฉลาดเล็กน้อยจะคุ้มครองหัวเ้าได้ตลอดไปงั้นหรือ?"
ฉันวางถ้วยน้ำชาที่เหลือเพียงกากลงเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหานเซียวด้วยสายตาเฉื่อยชา
"คุณหานเซียวคะ... คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงเป็ได้แค่องครักษ์ ในขณะที่เ้านายคุณเป็ท่านอ๋อง?"
หานเซียวชะงัก "เ้าหมายความว่าอย่างไร!"
"เพราะคุณใช้อารมณ์นำหน้าสมองไงคะ" ฉันขยับท่านั่งให้สบายขึ้น
"การที่คุณมาตวาดใส่ฉันในบ้านของฉัน มันไม่ได้ทำให้คุณดูจงรักภักดีหรอกนะ แต่มันทำให้คุณดูเหมือน สุนัขที่พยายามโชว์เขี้ยวให้เ้าของดู เพื่อขอขนมรางวัล คุณกำลังทำให้ท่านอ๋องเสียหน้า เพราะเขามาที่นี่เพื่อเจรจา ไม่ใช่มาเพื่อฟังองครักษ์โชว์พลังปอด"
"เ้า...!"
"แล้วที่บอกว่าที่นี่คือเรือนเน่าๆ น่ะ..." ฉันปาดนิ้วไปบนโต๊ะไม้ที่มีฝุ่นเกาะ
"ใช่ค่ะ มันเน่า แต่มันก็เป็พื้นที่ส่วนตัว คุณมาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย แถมยังวิจารณ์เ้าของบ้าน ถ้าคุณมีสมองเท่ากับขนาดกล้ามเนื้อแขน คุณคงเข้าใจคำว่ามารยาทสากล มากกว่านี้ สำนวนจีนเขาว่า แขกไม่ได้รับเชิญ คือแขกที่ไม่มีใครอยากเลี้ยงข้าว เข้าใจไหมคะ?"
เซียวโม่ยกมือขึ้นปิดปาก คล้ายจะซ่อนรอยยิ้มที่หลุดออกมา
"หานเซียว ถอยไป... เ้าสู้ฝีปากนางไม่ได้หรอก"
"ท่านอ๋อง! นางดูิ่ท่านนะพะยะค่ะ!"
"นางไม่ได้ดูิ่ข้า... นางแค่พูดความจริงที่ข้าน่าจะรู้มานานแล้ว" เซียวโม่หันกลับมามองฉัน
"หลินชิงเซวียน เ้ายกเื่ตึกสูงหมื่นลี้ขึ้นมาอ้าง... งั้นข้าขอถาม ถ้าตึกนั้นมันเริ่มเอนเอียงเพราะฐานรากที่เน่าเฟะ เ้าจะทำอย่างไร? รื้อสร้างใหม่ หรือจะปล่อยให้มันถล่มลงมาทับคน?"
ฉันหาวหวอดหนึ่งทีจนน้ำตาเล็ด
"ทำไมต้องทำให้มันยากด้วยคะท่านอ๋อง? ถ้าตึกมันจะถล่ม คุณก็แค่ย้ายไปอยู่ตึกอื่น สิคะ"
คำตอบของฉันทำให้คนทั้งห้องเงียบกริบ แม้แต่หลินเจิ้น พ่อของฉันที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนก็ยังชะงักเท้า
"ย้ายไปอยู่ตึกอื่น?" เซียวโม่ทวนคำ
"เ้าหมายถึงการทิ้งราชสำนัก ทิ้งบ้านเมืองงั้นหรือ?"
"เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงการสร้างตึกใหม่ ในที่ที่ดินแข็งแรงกว่าเดิม" ฉันอธิบายพลางหมุนถ้วยน้ำชาเล่น
"คุณจะไปเสียเวลารื้อของเน่าทิ้งทำไมในเมื่อรื้อไปดินมันก็ยังเน่าอยู่ดี? สู้เอาเวลาไปหาที่ใหม่ วางโครงสร้างใหม่ แล้วปล่อยให้ไอ้ตึกเก่านั่นมันถล่มใส่พวกคนที่ดื้อรั้นจะอยู่ในนั้นเองไม่ดีกว่าเหรอ? สำนวนจีนเขากล่าวว่า นกฉลาดเลือกไม้ทำรัง ถ้าคุณฉลาด คุณไม่ควรซ่อมไม้ที่ผุพัง แต่ควรหาป่าใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า"
เซียวโม่นิ่งอึ้งไป แววตาที่เคยเ็ากลับสั่นไหวด้วยความตกตะลึง ทฤษฎีทิ้งตึกเก่าสร้างตึกใหม่ ของฉันมันคือการปฏิวัติความคิดของคนยุคโบราณที่ยึดติดกับธรรมเนียมเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง
"เ้า... คิดได้แค่นี้จริงๆ หรือ? หรือว่าเ้าเพียงแค่ี้เีซ่อม?" เซียวโม่ถามจี้
"ทั้งสองอย่างค่ะ" ฉันตอบอย่างภูมิใจ
"การซ่อมมันใช้เวลาและพลังงานมหาศาล แถมผลลัพธ์ยังได้แค่ของมือสอง แต่การสร้างใหม่ด้วยตรรกะที่ถูกต้อง มันง่ายกว่าและนอนหลับได้เต็มอิ่มกว่าเยอะ"
หลินเจิ้นก้าวเข้ามาในวงสนทนา เขาประสานมือคารวะเซียวโม่ด้วยท่าทางองอาจที่กลับคืนมา
"ท่านอ๋องเก้า... โปรดอย่าถือสาลูกสาวข้าเลย นางเพียงแค่... มีมุมมองที่แปลกประหลาดไปบ้าง"
เซียวโม่หันไปมองหลินเจิ้น ดวงตาหรี่ลง
"ท่านแม่ทัพหลินเจิ้น... ขาของท่าน?"
"ลูกสาวข้าจัดการให้พะยะค่ะ" หลินเจิ้นตอบสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ
เซียวโม่หันกลับมามองฉันอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความสงสัย แต่มันคือ ความ้า ในฐานะสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เขาเคยเจอ
"หลินชิงเซวียน... ข้าเปลี่ยนใจแล้ว" เซียวโม่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
"ข้าจะไม่ให้เ้าช่วยงานแค่เดือนละครั้ง... แต่เ้าต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา ในฐานะ ที่ปรึกษาพิเศษ ที่ข้าจะอนุญาตให้นอนได้ทั้งวันตราบเท่าที่ข้ายังได้เห็นเ้าอยู่ในสายตา"
"โอ๊ย... นั่นมันงานประจำชัดๆ!" ฉันโวยวาย
"คุณฟังภาษาคนไม่รู้เื่เหรอคะ? ฉัน-ขี้-เกียจ!"
"หนึ่งหมื่นตำลึงทองต่อเดือน" เซียวโม่ยื่นคำขาด
ฉันชะงัก "..."
"หมอนขนเป็ดจากแคว้นซีอวี้สิบใบ เตียงหยกเย็น และพ่อครัวส่วนตัวที่ทำบะหมี่เนื้อได้ทุกเวลาที่เ้าตื่น"
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ
"ท่านอ๋องคะ... คุณรู้ไหมว่าการใช้เงินแก้ปัญหามันเป็วิธีที่..."
"ห่วยแตก?" เซียวโม่เลิกคิ้ว
"เปล่าค่ะ... มันเป็วิธีที่ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ!" ฉันดีดนิ้วดังเป๊าะ
"ตกลงค่ะ จวนอ๋องเก้าใช่ไหม? เตรียมห้องที่มืดที่สุด เงียบที่สุด และเตียงนุ่มที่สุดไว้ให้ฉันด้วยนะ ถ้าพรุ่งนี้ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอหมอนขนเป็ด... ฉันจะด่าคุณจนหูชาไปสามวันเจ็ดวันเลยคอยดู!"
[ติ๊ง! ตรวจพบค่าความพึงพอใจของ ว่าที่นายจ้าง พุ่งสูงขึ้น] [ได้รับแต้มปลาเค็มโบนัส: 1,000 แต้ม จากการ ขายตัว เอ๊ย... ขายความสามารถเพื่อแลกกับการพักผ่อน!] [ระบบ: คุณได้รับฉายา ปลาเค็มทองคำ ยิ่งรวย ยิ่งี้เีได้ใจ!]
ฉันมองดูเซียวโม่ที่เดินออกจากเรือนไปด้วยรอยยิ้มผู้ชนะ พลางคิดในใจว่า... เอาเถอะ เปลี่ยนที่นอนจากรูหนูไปอยู่ในวังอ๋องก็น่าจะดี อย่างน้อยที่นั่นคงไม่มีแมลงวันมาบินกวนใจเวลางีบหรอกนะ... มั้ง?
