“จริงนะเพคะ ข้ารักท่านพ่อที่สุด” ซูเจียวโผลเข้ากอดพระราชบิดาด้วยความดีใจ
“ท่านพ่อ ข้าเก่งกว่าซูเจินแค่ไหน” ซูเจียวอดหวนนึกสิ่งที่เป็หนามทิ่มใจไม่ได้
“เ้าเก่งกว่าซูเจินทุกอย่าง งามกว่า เล่นดนตรีเก่งกว่า เชื่อฟังมากกว่า ข้าจึงทุ่มเทให้ความใกล้ชิดกับเ้ามากกว่าซูเจินในทุกอย่าง” ซูเจียวได้ฟังเช่นนั้นจึงกระชับกอดแน่น ไม่ว่าด้านไหนๆ นางก็ชนะซูเจินในทุกด้าน และภายภาคหน้าหากได้ขึ้นเป็พระชายาขององค์รัชทายาทแห่งนครใหญ่ ซูเจินจะไม่มีวันทัดเทียมนางได้อีกต่อไป
หลังจากข่าวการประทานตำหนักขาวให้กับซือซิง ได้ล่วงรู้ถึงพระราชชายา นางรีบเร่งเข้าเฝ้าองค์พระาาในทันที ด้วยหัวใจรีบร้อน เหล่าทหารรับใช้รีบทำความเคารพ หลังจากพระราชชายาเดินผ่านหน้าไป จนถึงตำแหน่งที่พระาาประทับอยู่
“ทุกคนออกไปให้หมด ข้ามีเื่จะคุยกับพระาา” สิ้นคำสั่งของพระราชชายา ทหารและเหล่าบ่าวไพร่ นางกำนัลต่างทยอยเดินออกจนหมด สองเท้าเดินเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามสวามีด้วยความเสียพระทัยอย่างถึงที่สุด
“เหตุใดจึงยกตำหนักขาวให้กับนางกำนัล”
“ซูลี่เ้าอย่าคิดมาก ในเมื่อตำหนักขาวว่างอยู่ ข้าไม่เห็นว่าจักเป็ไร หากทำให้ซูเจียวสบายใจ”
“แต่นั่นมันตำหนักลูกของเรา เหตุใดจึงยกให้นางกำนัล”
“ตำหนักขาวเคยเป็ของขุนนางเก่ามาก่อน ข้อนี้เ้ารู้ดีแลไม่เคยคิดมาก เหตุใดวันนี้จึงเอาแต่เฝ้าคิดถึงซูเจิน”
“เพราะข้ารู้สึกผิดต่อลูก ข้าไม่เคยใส่ใจนาง” พระาายาทรุดลงนั่งด้านข้างพลางก้มหน้าร้องไห้ ด้วยความรู้สึกผิด พระาาเห็นดังนั้นจึงเข้ามาปลอบใจ
“หากนางกลับมา ตำหนักขาวก็ยังเป็ของนางอยู่ดี อยู่ที่นางจักกลับมาฤาไม่เท่านั้นเอง” พระาาพูดพร้อมกับมั่นใจว่าคนดื้อดึงไม่เอาไหนแบบซูเจินไม่นานจะกลับมา
“ข้าขอให้เ้าทุ่มเทเวลาที่เหลืออยู่เพื่อซูเจียวเพียงคนเดียว หาไม่แล้วความมุ่งมั่นตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาของข้า คงหมดความหมาย ลืมซูเจินไปเสีย แม้นางจะเป็ลูกของเราก็จริง แต่นางเป็คนไม่เอาไหน ดื้อรั้น แลเอาแต่ใจเป็ที่สุด ข้ามองไม่เห็นอนาคตที่พอจะฝากความหวังอะไรไว้ได้ นอกจากซูเจียวคนเดียวเท่านั้น”
ร่างขององค์รัชทายาทเดินนำหญิงสาวไปตามลำธารใส วันเวลาก้าวล่วงผ่านไปอย่างช้าๆ เรี่ยวแรงของซูเจินเริ่มอ่อนล้าและไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้
“ท่านยอดฝีมือ พักเสียหน่อยได้ฤาไม่ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” แม้นางจะกล่าวขอร้องด้วยความเกรงใจ และเขายอมหยุดพักให้ หากแต่ในห้วงความรู้สึกส่วนลึกนั้น หากเปลี่ยนเขาเป็ลี่เซียนนางคงได้ขี่หลังอย่างสบาย ไม่ต้องเดินให้ปวดเมื่อยเช่นนี้ ชายหนุ่มรูปงามหยุดก้าวเท้าเดิน สังเกตมองที่เท้าของหญิงสาว ปรากฏเป็รอยช้ำแดงระเรื่อขึ้นมา ก่อนใช้พลังเวทเสกกระท่อมหลังน้อยขึ้นมาเพื่อพักอาศัยในคืนนี้
“เ้าหิวแล้วฤาไม่” คำพูดแลกิริยาเรียบเฉย ทว่ายังคงความสง่างามไว้ กำลังเตรียมใช้พลังเวท
“ท่านอย่าพึ่งใช้เวท ข้าอยากทำอาหาร” ซูเจินรีบยกมือห้าม ชายหนุ่มหยุดชะงัก สายตาคมหันมองท่าทางของสาวงามด้วยความแปลกใจ พลางขมวดคิ้ว
“ข้าอยากทำอาหารให้ท่านทาน ข้าทำอาหารเก่งมากนะ พี่ลี่เซียนชมข้าบ่อยๆ”
“เ้ากำลังหมายความว่า อาหารที่ข้าใช้พลังเวทเสกมา มันไม่อร่อยเช่นนั้นฤา”
“ไม่ใช่ๆ” ซูเจินรีบยกมือปฏิเสธ เพราะกลัวเขารู้สึกไม่ดี อันที่จริงแล้วรสชาติจากอาหารที่เสกมานั้นก็พอกินได้ แต่ไม่ถึงกับอร่อยอะไรมากนัก ไม่รู้เขาเอาต้นแบบมาจากที่ใด หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าคาง ดวงตากลมหวานมองตรงไปยังชายรูปงามพร้อมทำตาปริบๆ
“ท่านช่วยใช้พลังเวทเสกข้าวสาร และปลาขนาดกำลังพอดี ให้ข้าหน่อยได้ฤาไม่” สิ้นเสียงก็ปรากฏเป็วัตถุดิบที่นางอยากได้มากองตรงหน้าในฉับพลัน เมื่อเห็นดังนั้นดวงตาลุกวาวพลางปรบมือดีใจ นิสัยอันร่าเริงพร้อมด้วยความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆ ปรากฏชัดทีละน้อย ให้องค์รัชทายาทได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของนางในตอนเผลอ
“ท่านยอดฝีมือ ข้าขอหม้อด้วย” สิ้นเสียงก็ปรากฏเป็หม้อดินขนาดพอดี ซูเจินหันมายิ้มกว้าง ก่อนรวบรวมทุกอย่าง แล้วเดินออกไปยังธารน้ำด้วยกิริยาสดใส สายตาคมมองตามร่างบางไปไม่ละเช่นเดียวกัน
“เ้ายังเด็กนัก” องค์รัชทายาทพูดออกมาพลางปล่อยยิ้ม ก่อนหวนนึกถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของเขาในเวลานี้การตามหาท่านผู้เฒ่าหานตง แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบกับท่านผู้เฒ่าหานตงแม้สักนิด แผ่นดินกว้างใหญ่ ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทร มิอาจรู้ได้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด
“ท่านยอดฝีมือมีพลังเวทที่เหนือกว่าใครที่ข้าเคยเห็น หากข้าทำดีกับเขามากๆ แล้วขอร้องให้เขาช่วยสอนพลังเวท ข้าก็จะเก่งขึ้น พี่ลี่เซียนมองกลับมาจะได้ภูมิใจในตัวข้า” ซูเจินบรรจงล้างผักและปลา พลางคิดแผนการเล็กๆ ตามนิสัยที่ติดตัวมา
นางตั้งเตาและลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเองตามสูตรที่เคยได้รับคำชมจากพี่เลี้ยง ในขณะที่ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละนิด บ่งบอกว่าแสงสว่างกำลังหมดลง เสียงนกและสัตว์น้อยใหญ่ที่ออกหาอาหารพากันส่งเสียงร้อง ท่ามกลางความเงียบของธรรมชาติ ซูเจินยังคงปรุงอาหารด้วยความตั้งใจ ใบหน้าสวยงามบรรจงกะปริมาณเกลือที่ใส่ลงหม้อพลางปิดฝาเป็อันเสร็จสิ้น ก่อนจะเผลอหันมองมายังองค์รัชทายาทที่กำลังเอนกายหลับ นางละจากเตาแล้วค่อยๆ ขยับกายมาใกล้ คราวนี้หญิงสาวจับจ้องพินิจไปทั่วทั้งร่างกาย สองมือยกขึ้นมาเท้าคางพลางทำตาหวาน
“เหตุใดจึงได้งดงามเยี่ยงนี้” ก่อนรู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรง พลางขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นจับที่หน้าอกด้านซ้าย ดวงตากลมเบิกกว้างแล้วรีบถอยออก เมื่อนึกถึงคำพูดของลี่เซียนที่เคยสอนบางอย่างไว้
“ความรักเป็เช่นไรเหรอพี่ลี่เซียน ท่านพ่อกับท่านแม่ชอบพูดถึงอยู่บ่อยๆ”
“ตอนนี้ราชธิดาอาจยังไม่เข้าใจ ด้วยเพราะเยาว์นัก แต่สืบจากนี้ไปไม่นานราชธิดาก็จะทราบเองเพคะ”
“ทราบได้อย่างไร”
“ราชธิดาจะทราบ จากการเต้นของหัวใจเพคะ” ซูเจินหันมองพี่เลี้ยง การเต้นของหัวใจเกี่ยวอันใดกับความรัก นางยังคงเอียงศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนรอยยิ้มของลี่เซียนจะคลี่ออกช้าๆ แล้วค่อยๆ อธิบาย
“หากหัวใจเต้นแรงและเร็ว เวลาอยู่กับชายใด ให้ราชธิดาจำไว้ว่าชายผู้นั้นทำให้ท่านมีความรักเพคะ” ในตอนนั้นซูเจินไม่เข้าใจนัก ทว่าในยามนี้นางยังคงจับหัวใจตัวเอง แล้วเพ่งมองไปยังองค์รัชทายาทพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนเขาจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ข้าวเสร็จพอดี ท่านตื่นมากินเสียหน่อยนะ” ซูเจินพูดตะกุกตะกัก แล้วรีบหันไปเปิดฝาหม้อด้วยท่าทางพิรุธ พลันมือไม้อ่อนจนทำให้ฝาหม้อหลุดจากมือ
“เ้าเป็อะไร” เขาถามในขณะที่กำลังก้าวเดินมาหา หัวใจคนตัวเล็กกลับยิ่งเต้นแรงขึ้น ซูเจินหลับตาแล้วตอบกลับในทันที
“ไม่เป็อะไร ท่านออกจากตรงนี้ไปก่อน” องค์รัชทายาทแปลกใจ ก่อนจะหยุดเดิน มองดูท่าทางลนลานผิดแปลกของนางด้วยกิริยานิ่งเฉย ครู่หนึ่งเมื่อซูเจินตั้งสติได้จึงค่อยๆ ยกอาหารมาวางแล้วสูดหายใจเข้าสุด เพื่อควบคุมร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ
รสชาติอาหารหลังจากองค์รัชทายาทตักชิมครั้งแรก ปรากฏว่าดีกว่าที่คิดไว้มาก นางมีความสามารถด้านการทำอาหารและดนตรีอย่างที่ใครก็เทียบไม่ได้ ทั้งหมดเขาเพียงแค่คิดในใจโดยมีใบหน้านิ่งเฉยเคลือบไว้ ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้
“จริงสิท่านยอดฝีมือมีนามว่าอะไร ส่วนข้ามีนามว่าซูเจิน” หญิงสาวคีบอาหารเข้าปากแล้วเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“เ้าเรียกข้าว่ายอดฝีมือเช่นเดิม ชื่อนามของข้ายังไม่ถึงเวลาที่เ้าต้องรู้” หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อย ทว่าไม่ก้าวล่วง ในเมื่อเขาเต็มใจให้เรียกว่ายอดฝีมือก็เป็ไปตามนั้น
บริเวณสระน้ำสีเขียวมรกต องค์ชายรองมานั่งรอองค์รัชทายาทเกือบทุกวัน หากแลกได้เขาจะเป็ฝ่ายออกไปตามหาท่านผู้เฒ่าหานตงด้วยตัวเอง เพราะหลังจากโจวอี้เฟยได้รับาานุญาตให้ออกไปทำตามความมุ่งหวังแล้ว พระมหาจักรพรรดิดูเหมือนจะเริ่มอ่อนแอลง ด้วยพระวรกายที่ไม่แข็งแรงหากแต่ไม่สามารถขัดพระทัยองค์รัชทายาทได้
“เจิ้งหลี่ องค์รัชทายาทยังไม่กลับมาอีกเหรอ” องค์ชายรองหันกลับไปพบว่าเป็สุรเสียงขององค์พระมหาจักรพรรดิ จึงรีบทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นนั่งเถิด” องค์ชายรองทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย สายตาคมจับจ้องสังเกตอาการพระมหาจักรพรรดิด้วยความเป็ห่วง
“ท่านพ่อเสวยยาหลวง ตรงเวลาฤาไม่” เขาหันไปถามทหารใกล้ชิด
“ตรงเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อ อย่าได้เป็ห่วงองค์รัชทายาทไปเลย ฝีมือพลังเวทขององค์รัชทายาทยากหาใครเทียบ ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายองค์รัชทายาทได้”
“เื่นั้นข้ารู้ แต่ข้ากลัวว่าหากโจวอี้เฟยหาท่านผู้เฒ่าไม่พบ แลไม่สามารถฝึกพลังเวทขั้นแปดสำเร็จ เขาจะไม่ยอมรับตำแหน่งพระมหาจักรพรรดิต่อจากข้า เช่นนั้นแล้วก็มีเพียงเ้าที่ต้องสืบต่อจากข้า เ้าไหวฤาไม่” องค์พระมหาจักรพรรดิมององค์ชายรองด้วยความเป็ห่วง
“ทุกอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ... เ้าสองคนเหมือนกันไม่มีผิด ต่างฝ่ายต่างยัดเยียดให้กันและกัน ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าการเป็จักรพรรดินั้นน่ารังเกียจนักฤา”
“หาได้เป็เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ตำแหน่งนี้ข้าไม่คู่ควรเท่านั้นเอง”
“จะคู่ควรฤาไม่ ข้าเป็คนตัดสินใจ” ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งมีสระน้ำมรกตคอยส่องประกายความสวยงาม พระสนมเจียวจินยิ้มย่องออกมาอย่างมีความหวัง หากไม่มีองค์รัชทายาท เจิ้งหลี่องค์ชายรองก็จะเป็ผู้สืบตำแหน่งพระมหาจักรพรรดิสืบไป ความยิ่งใหญ่แลอำนาจมากมายล้นมือรออยู่ ไม่อาจปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป