“มึงจะกินแฟนกูรึไงไอ้อัส ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิวะ!”
ไอ้อัส...ที่ว่าชายตามองน้องชายเพียงแค่แวบเดียวจากนั้นก็กลับมาจ้องมองที่ม่านหยี่อีกครั้งและเลิกคิ้วขึ้นเป็เชิงถาม
“นี่ม่านหยี่แฟนกูเอง ม่านนี่ไอ้อัส...อัสนี พี่ชายเรา”
“สวัสดีครับ” ฟากคนโดนจ้องก็แขนขาแข็ง เขาต้องฝืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้วิ่งไปหลบหลังรามสูร คงจะรู้แล้วสินะม่านหยี่ว่ารามสูรเวอร์ชันน่ากลัวน่ะเป็อย่างไร
“เอาแฟนเข้าบ้าน คุณนายรุ่งฤดีเม้งแตกแน่”
“จะเม้งแตกกว่านี้ถ้ารู้ว่ากูสองคนกำลังจะแต่งงานกัน”
ม่านหยี่ไม่ทันปรามคนรักไม่ให้พูดเื่แต่งงานออกไป ตอนนี้ก็ได้แต่เพียงยืนตัวสั่นเป็ลูกนกมองหน้าพี่อัสที่ไร้ความรู้สึกหากแต่ว่าเขาคิดว่ามันกำลังเริ่มเขียวคล้ำคล้ายกับกำลังถูกบังคับให้กลืนยาขม
“มึงตายแน่ไอ้ราม!”
“เออ มึงอะต้องช่วยกู”
“ธุระไม่ใช่”
“ถ้ากูตายก็ใช่ธุระมึงอะ”
“ปากดี เื่เรียนห่วยแตก พอเรียนจบก็เอาแฟนเข้าบ้านจะแต่งงานกัน มึงคิดว่าคุณนายคุยง่ายมากเหรอ”
“ทีมึงยังทำได้เลย”
“กูไม่ได้กากแบบมึงไง”
“ไม่รู้ล่ะ กูจะแต่ง หน้าไหนก็ห้ามกูไม่ได้”
“เดี๋ยวมึงคอยดูหน้าอย่างคุณนายรุ่งจะห้ามมึงเอง”
ม่านไม่เคยมีพี่น้องเขาเลยไม่รู้ว่าบทสนทนาแสนดุเดือดนี้คือสิ่งที่พี่น้องคุยกันเป็ปกติใช่ไหม หรือเขาคิดไปเอง ที่จริงมันควรจะนุ่มนวลกว่านี้หรือเปล่านะ
“มึงกาก เรียนก็กาก นี่ยังทำอะไรแบบไม่คิด”
“ใครจะไปเก่งแบบมึง”
ม่านอยากเถียงแทนรามว่ารามสูรนั้นไม่ได้กากอย่างที่พี่ชายว่าเลยสักนิด เกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่ได้มาคือเครื่องยืนยันอย่างเป็รูปธรรม
“กูจะบอกให้นะราม เื่ที่มึงทำอยู่ตอนนี้คือมึงกำลังเดินหมากผิด เดินเกมผิด ที่มึงต้องทำคือบอกแม่ก่อน บอกแม่เนิ่น ๆ มึงทำเหมือนไม่รู้ว่าแม่นิสัยยังไง มึงทำเหมือนไม่เคยเห็นบทเรียนมาก่อน กูเป็บทเรียนให้มึงนักต่อนักแล้วแต่มึงก็ยังไม่จำ!”
“เหอะน่า กูรู้ว่ากูใจร้อน แต่กูใจเย็นไม่ได้แล้วมึงเข้าใจมั้ย”
“ท้องรึไง!”
คำว่าท้องทำเอาม่านหยี่สะดุ้งโหยง ร่างบางส่ายหัวจนหน้าสั่น
“ไม่ได้ท้อง แต่มันสี่ปีแล้วนะ”
“แล้วแม่รับรู้กับพวกมึงมั้ยว่ามันสี่ปี แม่ไม่สนใจหรอกว่ามันจะสี่ปีหรือสิบปี ถ้าไม่ก็คือไม่ มึงรู้เื่นี้ดีรามสูร อย่าโง่...มึงไม่ใช่คนโง่ กับเื่ความรักก็อย่าโง่เหมือนกัน”
“เออ ไว้ถึงเวลานั้นถ้ากูจะตายก็ช่วยกูด้วยละกัน” กลายเป็ว่าผู้พ่ายแพ้ในศึกน้ำลายครั้งนี้คือรามสูร
“แม่จะกลับมาอีกสามวัน มึงเตรียมตัวให้ดี คิดให้ดีจะพูดจะทำอะไร อย่าให้อารมณ์กับคำพูดเป็นายมึง สมองมีหัดใช้ซะบ้าง!”
“ราม...ปกติคุยกับพี่อัสแบบนั้นเหรอ”
“ฮะ?...อ๋อ ใช่”
นี่ขนาดคุยกันแบบปกตินะ ถ้าหากว่าไม่ปกติล่ะ
“ถ้าไม่ปกติคือตีกัน”
“ฮะ?” ราวกับรู้ได้ว่าม่านหยี่กำลังตั้งคำถามในใจ รามสูรเลยเฉลยข้อสงสัยให้
“อืม ปกติตีกันจนเืกบปากกว่าจะคุยกันดี ๆ ได้ แล้วก็โดนแม่ตีซ้ำอีกรอบ แต่เห็นแบบนี้มันก็รักรามนะ แม่ยกไม้เรียวขึ้นทีไรมันก็ขอรับคนเดียวตลอด”
“โห...”
“แต่สุดท้ายก็โดนด้วยกันทั้งคู่”
ก้อนน้ำลายเหนียวหนืดมันจ่อตันอยู่ที่ลำคอ ต่อให้ม่านหยี่พยายามจะกลืนก้อนความกลัวนี้ลงไปสักเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหายไปสักที
เขากลัว...
ยอมรับตรงนี้เลยว่าเพิ่งรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของแม่รามก็ตอนที่เห็นพี่อัสนียืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนั้นทำให้นึกถึงรามสูรในเวอร์ชันดุ เงียบขรึม และจริงจังกับชีวิตมากเสียจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้ยิ้ม และม่านหยี่ก็แน่ใจมาก ๆ ว่ามารดาของคนทั้งคู่ก็คงจะมีบุคลิกอย่างนั้นไม่ต่างกัน
“กลัวเหรอ”
“อืม แม่ดุมากเลยเหรอ”
“ก็...ประมาณนึงเลย” คุณนายรุ่งฤดีเป็คนดุนั่นคือเื่จริง ลูก ๆ อย่างเขาอย่างไอ้อัสมองแม่เป็ผู้หญิงดุ แข็งแกร่ง เก่งกาจ และไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ หรือแม้กระทั่งการไกล่เกลี่ยยอมความ แม่เป็คนที่พร้อมจะถือมีดแล้วเดินฝ่าเข้าไปในดงหนามสูงถ้าหากมันช่วยย่นระยะทางและทำให้เหนื่อยน้อยลง แม่พร้อมจะดาหน้าเข้าหาอุปสรรคอย่างไม่ย่อท้อ แม่ไม่เคยยอมแพ้หากมันจะไม่สำเร็จในครั้งแรก มันจะยังมีโอกาสครั้งที่สอง สาม สี่ หรือโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปสำหรับคุณนายรุ่งฤดีเสมอ แต่ถ้าหากตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ไม่มีประโยชน์หรือได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่า ทุกอย่างต้องหยุดลงโดยทันทีด้วยเหตุผลว่าไม่อยากสิ้นเปลืองทรัพยากรเพื่อลงทุนกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกแล้ว แม่เป็ผู้หญิงเด็ดขาดอย่างที่ไอ้อัสพี่ชายของเขาบอก ถ้าหากว่าไม่ก็คือไม่ ถ้าหากว่าใช่หัวเด็ดตีนขาดก็จะเอาให้ได้ ข้อดีของมารดามีเยอะเพิ่มพูนเป็ูเาเลากา แต่ข้อเสียก็ไม่น้อยหน้ากันเลย มารดาเข้มงวดกวดขันกับเขาและพี่ชายเสมอ ไม่ว่าเื่การเรียน การงาน หรือความรัก
“เห็นพี่อัสเราก็กลัวแล้ว”
“จริง ๆ มันใจดี แต่นั่นแหละมันก็เป็ของมันแบบนั้น”
“โดนด่าว่ากากด้วย” ม่านหยี่อมยิ้มเชิงล้อเลียนคนรัก
“ม่านว่ารามกากมั้ย”
“ไม่เลย กากอะไร เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเอาอะไรมากาก”
“ไอ้อัสมันก็ได้นะ ตอนเรียนมันได้เอล้วนั้แ่ปีหนึ่งยันปีห้าเลย”
“หา?!”
“ใช่ เก็บเอทุกตัว คนทั้งรุ่นเรียกมันเทพ มันเลยด่าเราว่ากากไง เพราะเราเรียนได้บีบวกมาตัวนึง” รามสูรจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าหากันทำให้ดูราวกับว่าบีบวกในผลการเรียนมันเป็เื่น่าผิดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต
“เราได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเพราะทำได้แค่นั้น แต่ไอ้อัสได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเพราะมันมีให้ถึงแค่นั้น ถ้ามีอะไรที่สูงกว่านั้นเราก็เชื่อว่ามันจะทำได้”
“แล้วรามไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับพี่อัสใช่มั้ย”
“รู้สึกไม่ดีแบบอิจฉาน่ะเหรอ”
“ประมาณนั้น”
“ไม่อะ เราชื่นชมมันเพราะมันเก่ง มันเป็พี่ชายในอุดมคติที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันเลยล่ะ เวลาเราทำผิดมันจะบอกให้เรารู้ แต่ถ้าโดนลงโทษมันก็จะขอโดนด้วย งานบริหารทั้งบนเกาะกับบนฝั่งก็ได้มันนี่แหละเข้ามาช่วยแม่ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้ทำตัวเสเพลเรียน ๆ เล่น ๆ ไปวัน ๆ หรอก อัสมันทำอย่างนี้มาั้แ่ตอนเรียนแล้ว จันทร์ถึงศุกร์ไปเรียน เสาร์อาทิตย์ถ้าหากว่างก็จะบินกลับบ้านมาช่วยแม่ทำงานน่าทึ่งมั้ย...อือ รามก็ทึ่งมันเหมือนกัน”
ประโยคยืดยาวนั่นล้วนแล้วแต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงชื่นชมยินดีในตัวพี่ชายเสียจนล้นปรี่ ม่านหยี่จ้องมองไปในดวงตาของคนรักพบว่ามันทอประกายเต็มไปด้วยความรักและศรัทธามากเท่าที่น้องชายคนหนึ่งจะมีให้กับพี่ชายได้
“ชมมันก็ดีแหละแต่เวลาตีกันอยากซัดหน้ามันให้ฟันร่วงเหมือนกัน”
“เอ้า! เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย”
“เคยตีกันเพราะแย่งแฟนกันด้วย”
“ฮะ?!” อะไรหนอรามสูรมากเื่หลายราวจริง ๆ เลยชีวิตนี้น่ะ
“ก็เราชอบรุ่นพี่ผู้หญิงที่เป็เพื่อนมัน แต่ไม่รู้ว่ามันกับพี่คนนั้นกำลังคบกัน เราก็แอบส่งน้ำส่งขนมเอาดอกไม้ไปให้ แล้วทีนี้ไอ้อัสมันรู้มันเลยขอเคลียร์หลังเลิกเรียน ตรงหน้าหาดนู่น” รามสูรโบ้ยหน้าไปยังหน้าหาดทรายที่เรือหลายสิบลำจอดเรียงรายกันเอาไว้
“อ่า...”
“เรือจอดยังไม่ทันดีเลยมันก็ชกเราเข้าตรงมุมปากแล้ว ตอนนั้นวุ่นวายกันไปหมดตกน้ำตกท่า พี่พลกับคนอื่นก็พยายามห้ามไม่ใช่เพราะกลัวเราตีกันตายหรอกนะ เพราะกลัวว่าถ้าแม่รู้แล้วแม่จะตีพวกเราสองคนจนตาย” รามพูดด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มสบาย ๆ ราวกับว่าเื่การลงไม้ลงมือหรือการถูกลงโทษนี้มันเป็เื่ตลกขบขันไปแล้ว
“แล้วแม่รู้มั้ย”
“รู้สิ แม่ยืนดูแล้วบอกให้เราต่อยกันจนกว่าจะพอใจ เรายังจำคำพูดแม่ได้อยู่เลย ว่าถ้าไม่พอใจแม่จะซ้ำให้หมอบกันทั้งคู่ แล้วหวายในมือแม่นี่นะยาวเป็เมตรเลย”
“ราม เธอไม่ได้กำลังจะพูดให้เราเสียขวัญใช่มั้ย” โอเค...ม่านหยี่รู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังฟังเื่ราวสยองขวัญที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาต้องเผชิญมันด้วยตัวเองแล้ว
“ไม่เลยม่าน แม่พูดอย่างนั้นจริง ๆ บางทีแรงกว่านั้นด้วย แต่รามไม่อยากทำให้ม่านกลัวไปมากกว่านี้”
“ไม่ทันแล้วรามสูร...แต่รู้อะไรมั้ย ต่อให้แม่เธอดุเราก็ไม่ทิ้งเธอหรอกนะ เพราะเธอรวยยังไงล่ะ”
“โห...ยอมรับกันโต้ง ๆ แบบนี้เลยเหรอม่านหยี่ ได้เดี๋ยวเจอเลย ๆ” นิ้วแกร่งชี้หน้าคนรักหมายจะเอาเื่ รู้ทั้งรู้ว่าม่านหยี่พูดเล่นแต่คนอย่างรามสูรซะอย่างถ้าหากมีช่องว่างให้กินเต้าหู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เอาหมด ร่างสูงวิ่งไล่จับคนรักไปทั่วทั้งห้องรับแขกของบ้าน
“จะไปไหน ปล่อยก่อน ปล่อยเราลงก่อน”
“ไม่ปล่อย”
“รามคนอยู่เยอะแยะ” ร่างบางถูกแบกขึ้นบ่าคนรักแล้ววิ่งออกไปยังด้านนอกของตัวบ้าน สวนกันกับพี่แม่บ้านและคนสวนที่กำลังตัดแต่งพุ่มไม้อยู่ด้านนอก ทุกคนหันมามองเราเป็ตาเดียวจากนั้นก็หันกลับไปทำงานตามเดิมของตนราวกับว่าเื่ที่ผู้ชายตัวโตสองคนแบกกันขึ้นบ่าแบบนี้เป็เื่ปกติที่เห็นได้จนชินตา
“ไม่เห็นเป็ไรเลย คนรู้จักกันทั้งนั้น”
ม่านอยากบอกเหลือเกินว่าเขายังไม่ได้รู้จักใครในที่นี้นอกจากพี่พลและพี่อัสพี่ชายของราม ฉะนั้นม่านรู้จักคนแค่เพียงจำนวนที่ใช้นิ้วมือข้างเดียวนับก็เหลือเฟือ ไม่เหมือนรามที่อยู่มาก่อน
“จะไปไหน”
“ไปโรงจอดรถ”
“บนนี้ใช้รถยนต์ด้วยเหรอ”
“ก็มีใช้โฟร์วีล แต่วันนี้ไม่น่าจะอยู่ เห็นพี่พลมาเอาออกไปเมื่อกี้ น่าจะเอาไปรับแขก”
“วางเราลง ๆ ไม่หนักรึไง”
“ไม่ครับ”
ม่านหยี่เหนื่อยหน่ายใจกับคนดื้อตาใส เขาเลยไม่ขอพูดอะไรอีก ยอมให้รามสูรแบกตนเองใส่บ่าไปทั้งอย่างนั้น ถ้าเกิดหนักจนบ่าชาหรือแบกจนพอใจก็คงจะยอมปล่อยเขาลงเอง แต่จนแล้วจนรอดรามก็แบกเขามาจนถึงโรงรถที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังตัวบ้านใหญ่จนได้ เหลือจะเชื่อเลย ๆ จริง ๆ ผู้ชายคนนี้
“ ATV เหรอ”
“ใช่แล้วครับ ปกติใช้ ATV กันเพราะสะดวกกว่า”
“ดีเลย เราอยากลองขับ” ม่านหยี่แทบจะวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหารถคันใหญ่ที่จอดเรียงรายกันอยู่ตรงหน้า
“อ๊ะ ๆ ไม่ได้ครับ เซฟตี้เฟิร์ส ม่านยังไม่เคยขับ ไม่ชินทาง ให้เราขับก่อนแล้วเดี๋ยวมีเวลาจะพามาหัดนะ”
รามสูรมองหน้าคนรักที่งอง้ำลง หากแต่สุดท้ายม่านหยี่ก็พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ สองคนขับรถคันสีแดงสดซึ่งเป็คันที่ใหญ่ที่สุดออกไป ลัดเลาะตามถนนหนทางซึ่งปูด้วยคอนกรีตอ้อมสันเขา ทางบาง่ก็เรียบแต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นขรุขระและน่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นขนาบสองข้างทาง เงาดำทะมึนทอดเข้าสู่พื้นถนนช่วยบดบังความร้อนของแสงอาทิตย์หากแต่ก็ให้ความรู้สึกทะมึนทึบวังเวงและน่ากลัวอยู่ไม่น้อย บรรยากาศรอบข้างค่อย ๆ เย็นลงอย่างเห็นได้ชัดจนคนที่นั่งซ้อนต้องยกแขนเรียวทั้งสองข้างมากอดอกป้องกันตัวเองจากความหนาวเย็น
รถคันใหญ่วิ่งฝ่าถนนหนทางที่ลาดชันและคดเคี้ยวมาทะลุอีกฟากฝั่งหนึ่ง เบื้องหน้าของพวกเขานั้นเป็ต้นก้ามปูขนาดใหญ่ยืนต้นตระหง่านต้านลมต้านฟ้าราวกับว่ามันอยู่ตรงนี้มานานก่อนที่เขาทั้งสองคนจะเกิดเสียอีก รามสูรขับรถลงผืนทรายสีขาวหักเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ทำให้เห็นถึงสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณริมหาดห่างจากพวกเขาไปพอสมควร ทั้งในทะเลยังมีเหมือนกระชังขังปลานับร้อย ๆ บ่อเรียงรายกันออกไปเกือบจะเต็มทั่วทั้งน่านน้ำ
“นั่นอะไรอะ”
“ฟาร์มไข่มุก”
“ของรามเหรอ”
“ใช่ครับ”
เขาเกือบลืมไปแล้วว่ารามไม่ได้มีเพียงธุรกิจโรงแรมหรืออู่ต่อเรือ รามยังมีฟาร์มไข่มุกและธุรกิจอื่น ๆ ในเครือชัยพิพัฒน์กรุ๊ปอีกด้วย ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนกระชังเลี้ยงมุกที่สร้างขึ้นด้วยไม้แผ่นวางต่อกัน ความเปียกชื้นและแรงอ่อนยวบของแผ่นไม้ให้ความรู้สึกไม่มั่นคงและน่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย
“พวกนั้นบ่ออนุบาล ส่วนพวกนี้ก็บ่อใหญ่ ปลายเดือนหน้าก็น่าจะเก็บได้แล้ว” รามชี้ไปยังกระชังที่เรียงกันอยู่บริเวณฝั่งขวามือก่อนที่จะชี้นิ้วกลับมายังส่วนที่เรียงรายกันอยู่ตรงหน้า น้ำทะเลในบริเวณนี้มีสีเขียวเข้มแตกต่างจากฝั่งตะวันออกซึ่งเป็สีเขียวใส นี่คงเป็อีกสาเหตุหนึ่งที่ฟาร์มไข่มุกตั้งอยู่ฟากตะวันตกของเกาะ
“กระชังสามสิบแถวนี้เลี้ยงมุกซีก ถัดไปตรงนั้นเป็มุกแกลบ แล้วก็ตรงนู้นเห็นมั้ย ไกล ๆ นู่นเป็มุกเซาท์ซี” รามสูรยืนซ้อนด้านหลังของม่านหยี่แล้วชี้มือออกไปให้ม่านมองตามปลายนิ้ว ให้เห็นถึงกระชังเลี้ยงมุกตั้งเรียงรายกันอยู่เต็มผืนน้ำสีเขียวเข้ม
“ตรงโน้นก็มีนะ เห็นมั้ย” เขาคิดว่าความอุดมสมบูรณ์ของมันจะหมดแค่เพียงบนฝั่งแต่แล้วเขาก็คิดผิดเมื่อรามสูรชี้ให้เห็นถึงแพสิ่งก่อสร้างที่ลอยตัวอยู่กลางทะเล มันเป็บ้านหลังเล็ก ๆ สี่ห้าหลังหรืออาจเป็โรงเรือนม่านหยี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน รู้แต่เพียงว่าพวกมันลอยตัวอยู่กลางทะเล คงมีไว้เพื่อจุดประสงค์การเลี้ยงมุกเช่นเดียวกับบริเวณนี้
“อันนั้นก็ใช่เหรอ”
“ครับ ฟาร์มมุกเหมือนกัน แต่ตั้งให้ห่างกันไปหน่อย เป็ของชาวบ้านน่ะแต่ของเราก็มีปน ๆ อยู่กับเขาเหมือนกัน”
ม่านพยักหน้ารับ ั้แ่สองเท้าเหยียบผืนดินจังหวัดภูเก็ตเขาก็พบเจอเื่ราวไม่คาดฝันมากมาย คนรักที่คบหากันมาสี่ปีร่ำรวยและมีธุรกิจมากมาย ครอบครัวของรามอาจเรียกได้ว่าเป็ผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ในจังหวัดเลยด้วยซ้ำ และม่านก็ไม่รู้ว่าถ้าหากเปรียบเทียบกับบิดาของตนเองแล้ว นายหัวศิลาพ่อของเขาจะอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ บางทีเขาก็แค่คิด มันอาจเป็เพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากรามสูร ให้ช่วยฉุดตนเองออกจากเื่ราวชีวิตแสนลำบากยากเข็ญนี้ บางทีรามอาจช่วยเขาได้...หรือเปล่านะ
“ราม...นั่นเกาะ” ม่านกำลังจะถามเพื่อความแน่ใจ เพราะไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ไม่อยากเชื่อว่าตลอดชีวิตของเขานี้มีแต่เื่ตลกร้ายให้ต้องพบเจออยู่เรื่อยไป
“ไม่ใช่ของเรา”
“เหรอ” ม่านหยี่ตอบรับด้วยความรู้สึกล่องลอย ราวกับว่าสติสัมปชัญญะที่มีได้ถูกพรากออกไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“ของนายหัวศิลา”
ไม่จำเป็ต้องมีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากเมื่อคำว่านายหัวศิลาได้ไขทุกอย่างให้กระจ่างชัดได้ดีที่สุดแล้ว ม่านอยากหัวเราะให้กับชีวิตน่าอดสูนี้ยิ่งนัก อยากหัวเราะให้กับความเขลาเบาปัญญาที่พาตนเองมาจนตรอกนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ได้เติบโตบนเกาะแห่งนั้น เขาถูกส่งให้ไปไกลจากเกาะั้แ่เด็กจนโต เวลาที่ถูกเรียกตัวกลับมาก็ถูกขังเอาไว้อีกฟากฝั่งหนึ่ง เดินเหินก็ไม่สะดวก ยิ่งมีคนของบิดาที่คอยจับตามองราวกับเป็ผู้คุมในคุกด้วยแล้วนั้นทำให้เขาไม่อยากจะซุกซนใฝ่หาปัญหามาใส่หัว ม่านหยี่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าบ้านของเขากับรามสูรห่างกันแค่ผืนทะเลกั้นเอาไว้เพียงเท่านั้น
“มันทำโรงงานแปรรูปอาหาร แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าผลิตอาวุธผิดกฎหมายส่งให้โจร”
ใช่ ใคร ๆ ก็รู้ ม่านหยี่ก็รู้ รู้เื่นี้ดี สภาพภูมิประเทศบนนั้นไม่ต่างจากเกาะของรามสักเท่าไหร่ หากแต่บรรยากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่นั่นเป็เสมือนนรกบนดิน มีเรือลำใหญ่วิ่งเข้าออกทั้งกลางวันและกลางคืน ส่งต่อและรับลังไม้ซึ่งบรรจุอุปกรณ์แปลกตาเอาไว้ ทว่าเมื่อยามเช้าตรู่มาถึงอุปกรณ์เ่าั้ก็จะถูกประกอบกันขึ้นเป็รูปเป็ร่างและกลายเป็อาวุธปืนหลากหลายชนิด และใน่ดึกดื่นของวันนั้นเองลังไม้พวกนั้นก็จะถูกขนถ่ายลงเรือประมงขนาดใหญ่และแล่นกลับเข้าฝั่งไปในที่สุด
เขารู้ดีว่าพ่อทำอาชีพอะไร แปรรูปอาหารทะเลเป็แค่ธุรกิจบังหน้าเพียงเท่านั้น พ่ออาจมีวิธีดีลงานกับข้าราชการหรือคนใหญ่คนโตไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายในเกาะ ผู้ชายคนนั้นอาจมีวิธีจัดการกับความสงสัยของคนอื่นว่าทำไมถึงตั้งโรงงานอยู่กลางทะเลและไม่ได้เปิดให้แขกเข้ามาเที่ยวชมหรือทำธุรกิจโรงแรมอย่างเช่นที่คนอื่นเขาทำกัน
“แล้ว...ไม่มีใครรู้เหรอ” ม่านแกล้งถามทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
“ไม่รู้สิ ไม่รู้ใครพวกมันบ้าง แต่ที่รู้แน่ ๆ คือถ้าใครเตะตัดขาชัยพิพัฒน์กรุ๊ปนั่นล่ะพวกมัน” และคนพวกนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงคิดว่าเป็อย่างนั้น”
“จริง ๆ เราเริ่มเห็นปัญหาั้แ่ตอนที่พ่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราอยู่ประถมต้น นายหัวศิลากับพ่อเคยเป็เพื่อนรัก เพื่อนทำธุรกิจกันมาก่อน จนสองคนตัดสินใจซื้อเกาะอยู่ใกล้กันอย่างที่ม่านเห็น”
“...อือ”
“แต่ใจคนอะมันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็อาจไม่ เราไม่รู้ว่ามันเริ่มที่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีสองคนก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนนายหัวศิลาถูกห้ามไม่ให้ขึ้นเกาะเราอีก”
“ถูกแบนอย่างนั้นเหรอ” เื่ที่นายหัวศิลาเป็เพื่อนรักกับพ่อของรามนั้น เขาไม่เคยรู้มาก่อน ความจริงแล้วนายหัวศิลาผู้เป็พ่อไม่เคยเอ่ยถึงเื่ส่วนตัวให้ลูกชายได้รับรู้เลย
“ใช่ พ่อกับแม่โกรธมาก รามได้ยินแค่เื่ที่ดินบนเกาะ เื่อาวุธ เดาว่าก็น่าจะเป็ที่ขอซื้อที่บนเกาะนี้เพื่อตั้งโรงงานผลิตอาวุธแหละมั้ง”
“แต่ที่ดินนี้เป็ของพ่อกับแม่รามนี่”
“ไม่ทั้งหมดหรอก ความจริงแล้วเกาะนี้มีชาวบ้านอยู่มาก่อนอย่างที่ม่านเห็น พวกเขาอยู่มาก่อนพวกเราจะเข้ามาซื้อ เ้าของเก่าเป็ผู้ดีอังกฤษ เขาเสียชีวิตลูก ๆ เขาเลยตัดสินใจขายเกาะให้พ่อกับแม่ราม ก็รับทราบกันดีทั้งสองฝ่ายว่าเกาะนี้ไม่ใช่เกาะส่วนตัวซักทีเดียว แต่พ่อกับแม่รามก็ซื้อไว้นะ พวกเขาคงรู้แหละว่ามันจะทำประโยชน์ให้เขาได้”
“เขาจะซื้อที่ของชาวบ้านเหรอ”
“ครับ น่าจะอย่างนั้น แต่รามไม่ได้รู้สึกว่าเขาอยากซื้อมันเพื่อสร้างโรงงานหรือเอาไปทำประโยชน์แล้ว คิดว่าตอนนี้ที่เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายขอซื้อที่ดินคงเพราะอยากได้ความสะใจมากกว่า สะใจที่ตัวเองซื้อได้”
“แล้วมีใครขายให้เขามั้ย”
“ตอนนี้ยัง แต่มันไม่เลิกหรอก มันเหมือนคนโรคจิตที่อยากได้อยากมีและต้องเอาให้ได้ มันคงจะหาทำทุกวิถีทางแหละ”
ม่านหยี่ไม่เถียงเลย ที่รามสูรพูดมาเป็ความจริงทั้งหมด ที่ว่านายหัวศิลาเป็คนโรคจิตวิกลจริตคิดแค้นไม่เลิกรา นั่นล่ะพ่อของเขาเป็แบบนั้น น้ำเสียง แววตา และท่าทางน่ากลัวของบิดายังฝังอยู่ในหัวของม่านั้แ่เด็กจนโต ััเย็นเยียบของปลายกระบอกปืนที่หันเข้าหาขมับสองข้างของเขายังคงจำฝังอยู่ในใจ ฝ่ามือกร้านที่ฟาดตบลงมายังใบหน้าของเขาทุกครั้งที่ทำผิดพลาดหรือเป็กาฝากเคืองลูกตาของบิดา ความเจ็บแสบเ่าั้ม่านหยี่ยังจำได้จนฝังใจ แค่เพียงแต่คิดความกลัวก็แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย
“อ้าว! นายน้อยสวัสดีครับ มาั้แ่เมื่อไหร่”
เสียงร้องทักทายดังขึ้นเรียกสติให้เขาหวนคืนสู่ความเป็จริงในปัจจุบัน
“พี่ชัยสวัสดีครับ มาได้สักพักแล้ว มาดูมุกน่ะ”
“อ้อครับ ผมไปเอาปลามา ได้ตั้งเยอะแยะ นายน้อยเอาไปกินมั้ย”
“เอาสิ” ม่านตีแขนคนรักปรามไว้ไม่ให้รับเอาของจากชาวบ้าน รามสูรน่ะรวยเพราะขี้เหนียวรึไงนะ ใครเอาของฟรีให้ก็รับไปหมด เขาเชื่อว่าในตู้เย็นที่บ้านของรามน่าจะเต็มไปด้วยอาหารทะเลสดใหม่ที่แช่เอาไว้จนล้นตู้แน่ ๆ ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็รับเอากุ้งหอยปูปลามาจากพี่ชัยอีกอยู่ดี
“ร้อนมั้ย หน้าบูดเชียว”
“ไม่เข้าใจ รวยขนาดนี้ยังไปแย่งกุ้งจากพี่ชัยมาอีก”
“เอ้า ฮ่าๆๆๆ” รามสูรโพล่งหัวเราะออกมา
“แถวนี้ของกินเยอะจะตายม่าน เขาเอาให้เรารับไว้ก็แค่นั้น ชาวบ้านเขาใจดี ทะเลแถวนี้อุดมสมบูรณ์จะตายไป”
“แต่ตัวเองก็รับของเขามาตลอดอะ ใครเอาของฟรีให้ก็รับ”
“ก็เพราะถ้าไม่รับก็จะโดนตื๊ออยู่ดี รับไปเราก็ไม่ได้เอาไปทิ้ง เขารักเขาเอ็นดูนะเขาถึงให้”
บางทีอาจเป็เพราะม่านหยี่ไม่ได้อยู่กับความรู้สึกรักหรือเอ็นดูอย่างที่รามได้รับมาั้แ่เด็กอย่างนั้นเขาเลยไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
“อยากกลับรึยัง”
“ยังเลย ขอเดินเล่นต่ออีกหน่อยได้มั้ย”
“เอาสิ” สองคนเดินบนชายหาดเลียบเงาต้นไม้ใหญ่ไปเรื่อย ๆ ลมทะเลพัดหอบเอาความชื้นกับไอร้อนขึ้นมาจนม่านหยี่เบ้หน้า
“ไหม้หมดแล้ว” มือแกร่งยกแขนคนรักขึ้นมาถือเอาไว้พลางลูบแขนเรียวนั่นเบา ๆ ขนาดที่ว่าเขาเดินบังลมทะเลให้ม่านแล้วร่างบางก็ยังไม่พ้นโดนอากาศเผาอยู่ดี
“เดี๋ยวก็จะไหม้กว่านี้ ไหม้จนชิน” มันเป็เพียงคำพูดธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หากแต่สองคนก็รู้กันดีถึงความหมายของมัน
“รามว่าพี่อัสจะชอบเรามั้ย”
“ไม่หรอกเธอไม่ใช่สเปกมัน”
“ไม่ได้หมายถึงชอบแบบนั้น เอ๊ะ!” เกือบจะดีแล้วหากนายหัวรามสูรจริงจังกับคำพูดของเขาขึ้นอีกสักหน่อย
“มันไม่ได้ชอบใครง่าย ๆ ั้แ่เกิดมาจนถึงตอนนี้รามเห็นมันมีแฟนแค่สองคน คือพี่แพรแฟนเก่าที่ทำให้รามกับมันต่อยกัน กับคนนี้คือพี่อิง”
“เหรอ พี่อัสมีแฟนแล้วเหรอ”
“ทำไมสนใจมันเหรอ”
“รามสูร...”
“ครับ ไม่เล่นแล้วครับคุณม่านหยี่ กระผมขอโทษครับ” ร่างสูงทำท่าค้อมหัวสำนึกผิด
“มันไม่ได้รักใครง่าย ๆ อะ ยิ่งคนแบบมันนะ รักแม่มาก มากจนแบบถ้าแม่บอกให้มันตัดมันก็คงจะตัดทุกคนออกจากชีวิตได้อย่างไม่ลังเลอะ”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ครับ อัสมันเป็คนจริงจัง เด็ดขาดกับชีวิตมากนะ ได้นิสัยแม่มาเต็ม ๆ ทั้งโหดทั้งดุได้แม่เลย ส่วนรามน่ารักเหมือนพ่อ” วงแขนแกร่งทั้งสองข้างวาดขึ้นทำท่าเป็รูปหัวใจบนหัว ม่านหยี่ก็ได้แต่มองการกระทำของคนรักอย่างปลง ๆ บางทีรามสูรอาจไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้วก็เป็ได้
“มันไม่ได้ไม่ชอบม่านหรอกนะ ถ้ายังมองหน้ากันได้แบบนี้คุยกันได้แบบนี้ก็คืออาการปกติของมัน”
“นี่รามต้องช่วยงานพี่อัสบ้างนะ อย่าให้เขาทำงานหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นมีหวังเครียดจนเส้นเืในสมองแตกแน่”
“ฮ่าๆๆๆ”