ยามนี้พวกเขาเข้ามาสืบหาเบาะแสโรคระบาดเสียที่ไหนกัน? เป็การผจญภัยที่ไหนกัน? นี่มันเสี่ยงตายชัดๆ!
ยามเห็นกลุ่มเมฆดำทะมึนบินเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง มู่จื่อหลิงจึงรีบออกคำสั่ง “ไปเร็ว กุ่ยเม่ย ถอยไปที่มุมถ้ำ อย่าให้พวกมันล้อมเ้ากลางอากาศได้”
ในยามนี้กุ่ยเม่ยตระหนักได้ว่าเสี่ยวไตกูที่ทำให้เขาพูดไม่ออกกำลังเหนื่อยอ่อน อีกทั้งค้างคาวเืแดงที่ถูกขับออกไปก็บินเข้ามารุมล้อมพวกเขาอีกครั้ง
ดังนั้นในยามนี้กุ่ยเม่ยจึงยิ่งเครียดหนัก
แต่เมื่อเป็เช่นนี้เขากลับไม่หย่อนคล้อยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ยิ่งเขาฆ่ามากเพียงใด เขาก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเท่านั้น
กุ่ยเม่ยยังปกป้องพามู่จื่อหลิงถอยไปยังมุมถ้ำที่ปลอดภัยด้วยความเร็วอย่างไม่ลังเล
กระบี่ในมือกุ่ยเม่ยเคลื่อนไหวราวก้อนเมฆและสายน้ำที่ไหลเอื่อย กระบี่คมกริบ เป็ดั่งปีศาจร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง เปล่งแสงส่องประกายราวดอกไม้ไฟ หากแต่เป็การเคลื่อนไหวที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ทุกครั้งที่ฟาดฟันล้วนปลิดชีวิต
ชั่วขณะหนึ่ง เงากระบี่คำราม แสงเย็นส่องประกาย เืสาดกระจายไปทั่ว น่าหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเคลื่อนเข้าไปในมุมถ้ำได้แล้ว มู่จื่อหลิงมองค้างคาวเืแดงที่บินโฉบเข้าหาพวกเขา ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าหนังศีรษะกลับมาชาอีกครั้ง
เืแดงสดท่วมท้นอัดแน่นอยู่ตรงหน้า ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกราวยืนอยู่บนขอบเหวลึก [1] เืที่กระจายกลางอากาศยิ่งทำให้บรรยากาศหดหู่จนยากจะหายใจ
ดูเหมือนเ้าตัวบ้าๆ เหล่านี้จะไม่อาจฆ่าให้หมดไปได้ หากกลุ่มใหญ่ที่รุมล้อมเด็กปรุงยาทั้งสองบินถลาเข้ามาอีก...ไม่อยากจะนึกภาพเลย
มู่จื่อหลิงมองกุ่ยเม่ยซึ่งยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่ตรงหน้า ก่อนลอบกัดฟันอย่างลับๆ
ไม่! หากเป็เช่นนี้ต่อไป แม้ร่างกายจะทำจากเหล็ก แต่กุ่ยเม่ยก็ยังมี่เวลาแห่งความเหน็ดเหนื่อย ในเวลานั้นพวกเขาจะถูกฝังไว้ที่นี่จริงๆ
ต้องหาทางให้ได้! ต้องรีบคิดหาหนทาง!
ใช้พิษ? ไม่ได้ พื้นที่แออัดเช่นนี้ ยามพิษหมุนอยู่ในอากาศ หากไม่ระวังจะกลายเป็พวกเขาเองที่ต้องพิษ
วิธีนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ไม่ควรใช้อย่างแน่นอน
ดวงตามู่จื่อหลิงหรี่ลงด้วยแววอันตราย คิดหากลยุทธ์ในหัวตลอดเวลา เมื่อปราศจากความช่วยเหลือจากเสี่ยวไตกู ในยามนี้จึงยิ่งอันตรายกว่าเดิม ทั้งยังไม่อาจหลบหนีได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือมองหาลักษณะสำคัญที่สุดของเ้าตัวบ้าๆ เหล่านี้ มีเพียงการเข้าใจลักษณะเฉพาะของพวกมันเท่านั้นที่จะทำให้เราเอาชนะศัตรูได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ต้องกำจัดพวกมันให้สิ้น
อย่างไรก็ตาม นางเคยเห็นสิ่งนี้ในหนังสือเพียงเท่านั้น อีกทั้งในนั้นยังไม่มีคำแนะนำใดๆ การัักับมันเพียงสั้นๆ ใน่เวลาอันตรายนี้ นางจะพบลักษณะเฉพาะของพวกมันได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเวลาผ่านไป กุ่ยเม่ยรู้ว่ากำลังของตนในยามนี้ไม่อาจทนต่อไปได้นานนัก สิ่งที่เขาทำได้ยามนี้คืออาศัยยามที่ยังมีกำลังเหลืออยู่ปกป้องหวางเฟยด้วยพลังทั้งหมดที่มี เพื่อพานางออกไป
มือของกุ่ยเม่ยเคลื่อนไหวเฉียบคมไร้ความปรานี แต่ใบหน้าจริงจังกลับมีร่องรอยร้อนใจ “หวางเฟย ข้าน้อยสามารถยืนหยัดได้อีกไม่นาน จะปกป้องพาท่านออกไปก่อน!”
“พูดไร้สาระอะไร!” ใบหน้ามู่จื่อหลิงจริงจัง น้ำเสียงแสดงความไม่เห็นด้วย “ในเมื่อก่อนหน้านี้เป็เปิ่นหวางเฟยที่ยืนหยัดจะเข้ามาพร้อมกับเ้า เช่นนั้นจะออกไปคนเดียวได้อย่างไร? อย่างเลวร้ายที่สุด เราก็จะตายด้วยกัน!”
หลังจากฟังคำพูดของมู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นายท่านสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ในยามนี้ภารกิจเดียวของเขาคือการปกป้องหวางเฟยให้ดีที่สุด หวางเฟยคือดวงใจของนายท่าน จะปล่อยให้หวางเฟยสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร?
อีกทั้งชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งก็ไร้ค่า หากปล่อยให้หวางเฟยสิ้นชีพไปพร้อมกับเขา เกรงว่าถึงจะตกนรกไปแล้ว นายท่านจะยังตามไปสับเขาเป็ชิ้นๆ
“หวางเฟย การตายของข้าน้อยไม่น่าเสียดาย แต่ท่าน...” คำพูดแฝงความกังวลของกุ่ยเม่ยถูกขัดจังหวะกลางคัน
“หุบปาก!” มู่จื่อหลิงะโใส่เขาอย่างดุเดือด น้ำเสียงหนักแน่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “แม้ว่าข้าไม่มีเรี่ยวแรงดั่งบุรุษ แต่ข้าก็ไม่ขี้ขลาดตาขาวด้วยความรักตัวกลัวตายเหมือนหลินเกาฮั่น ตราบเท่าที่ยังมีโอกาส พวกเราห้ามยอมแพ้ มันต้องมีสักทาง ต้องมีทางแน่!”
“แต่ข้าน้อยทนได้อีกไม่นานแล้ว” กุ่ยเม่ยบ่ายเบี่ยงความจริง
ในฐานะผู้คุ้มกัน เป็ไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกท้อแท้ใน่เวลาแห่งชีวิตและความตาย แต่เพื่อปกป้องผู้เป็นาย ในยามนี้ เขาทำได้เพียงรู้สึกเสียใจเท่านั้น
เ้าท่อนไม้ที่ไม่สั่นคลอนของนาง ยามนี้จะร่วงโรยแล้วหรือ? ใครจะไปเชื่อ! ในยามนี้มู่จื่อหลิงไม่อยากดูถูกกุ่ยเม่ย
มู่จื่อหลิงไม่สนใจเขาอีก อย่างไรก็ตาม หากนางไม่จากไป กุ่ยเม่ยก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ยิ่งกุ่ยเม่ยเป็คนของหลงเซี่ยวอวี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขามีความภักดีและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เป็ไปไม่ได้ที่นางจะปล่อยให้เขาตายเพื่อปกป้องนาง นางยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากพอ
อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือการหาทางออกโดยเร็ว มู่จื่อหลิงกำหมัดแน่นอย่างโกรธเกรี้ยว
ทันใดนั้นแรงบันดาลใจก็วาบขึ้นในใจของมู่จื่อหลิง ถ้าหากหลินเกาฮั่นสามารถหลบหนีได้พวกเขาก็ต้องทำได้เช่นกัน
แต่เ้าคนชราผู้นั้นหนีไปได้อย่างไร? จนถึงยามนี้มู่จื่อหลิงยังรู้สึกงงงวยมาก
ต้องรู้ว่ายามค้างคาวเืแดงปรากฏขึ้น หลินเกาฮั่นเป็คนที่กลัวที่สุด เขาจะคิดหาหนทางได้อย่างไร?
หากไม่ใช่เพราะเด็กปรุงยาทั้งสอง เขาคงตายไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้วิธีรับมือกับค้างคาวเืแดงเป็แน่
แต่เหตุใด? เป็ไปได้ไหมว่า...ดวงตาคู่งามของมู่จื่อหลิงเป็ประกาย ในใจมีการคาดเดาบางอย่าง
หลังจากนั้น มู่จื่อหลิงนำพิษที่เคยใช้กับหลินเกาฮั่นออกมาจากระบบซิงเฉิน จากนั้นจึงแกว่งไกวพิษในมือไปในอากาศอย่างแรง
เดิมทีมู่จื่อหลิงคิดว่าเ้าตัวบ้าๆ เหล่านี้อาจกลัวพิษจนทำให้หลินเกาฮั่นสามารถหลบหนีได้เพราะเขาถูกพิษ
แต่ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงแต่ไม่น่าพอใจเท่านั้น ด้วยมันไม่มีผลเลย
เพราะหลังจากรอคอยมาเป็เวลานาน ค้างคาวเืแดงที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย พวกมันยังคงเดินหน้าเข้ามาอย่างกล้าหาญ กระโจนเข้าใส่พวกเขาไม่หยุด
ที่แท้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? มู่จื่อหลิงรู้สึกถึงความตายอันน่าหดหู่
ในยามนี้เองที่สายตาของมู่จื่อหลิง เหลือบไปมองศพเด็กปรุงยาทั้งสองอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ
หากไม่มองก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อมองแล้ว...
“ให้ตายสิ!” มู่จื่อหลิงอุทานออกมาเบาๆ เท้าของนางแทบอ่อนแรง นางเกือบจะฉี่ราดด้วยความใ
ในเวลานี้ นางรู้สึกกลัวกับสิ่งที่กำลังจะมาจริงๆ
ระลอกแรกยังไม่หมดสิ้น ระลอกใหม่กำลังเข้ามาแล้ว!
เห็นได้ว่าค้างคาวเืแดงกลุ่มใหญ่ที่รุมร่างเด็กปรุงยาทั้งสอง ในพริบตาราวกับอยู่ภายใต้คำสั่งบางอย่าง พวกมันกลับกลายเป็คลื่นขนาดใหญ่บินขึ้นไป้า
ดูเหมือนพวกมันกำลังเตรียมความพร้อมที่จะพุ่งเข้าหาพวกเขาด้วยจำนวนมหาศาล
คลื่นลูกแรกยังไม่สามารถจัดการได้ แต่ขณะนี้ คลื่นลูกใหญ่อีกระลอกใหญ่กำลังจะพุ่งเข้ามา
ยามเห็นอันตรายที่พุ่งเข้ามาด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม พวกเขากำลังจะตายโดยไม่เหลือแม้ซากศพ ดวงตามู่จื่อหลิงฉายแววตื่นตระหนก
ยามหันมองเด็กปรุงยาทั้งสองอีกครั้ง ร่างกายของพวกเขาไม่เสียหาย เห็นได้ชัดว่าร่างของพวกเขากำลังจมลงใต้น้ำในทะเลสาบทีละนิด ร่างพวกเขาจะสมบูรณ์ได้อย่างไร?
แต่สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงใก็คือหัวของพวกเขากลายเป็กะโหลกเปื้อนเื น่าหวาดเสียวยิ่งนัก
หัวกะโหลก? นี่ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับศพของเหล่าเ้าหน้าที่และทหารที่ร่างเน่าเฟะ เกิดอะไรขึ้น? มู่จื่อหลิงเกาหัวอย่างกระวนกระวาย หัวของนางแทบจะบิดเป็เกลียว
สายตานางเหม่อลอยตลอดเวลา หันมองไปโดยรอบ...
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้สถานการณ์วิกฤตอย่างยิ่งยวด!
เพราะฝูงค้างคาวที่พร้อมลุยได้พุ่งเข้ามาแล้ว...
ค้างคาวชุดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ได้รับการกำจัด อีกชุดก็พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นหน้าของกุ่ยเม่ยก็ซีดเซียว
ไหนเลยมู่จื่อหลิงจึงไม่กลัวเล่า?
ทันใดนั้น ลูกตาของมู่จื่อหลิงก็เหลือบไปเห็นอีกสิ่งที่ทำให้นางยากจะเชื่อ เมื่อรวมหัวกะโหลกอีกสองหัว
หนทาง ดูเหมือนจะมีทางที่เป็ไปได้!
“หวางเฟย! ทำอย่างไรดี?” ในยามนี้กุ่ยเม่ยวิตกกังวลเป็อย่างยิ่ง แต่มือที่เคลื่อนไหวของเขายังคงไม่หยุดชะงัก
เดิมที เขายังแน่ใจว่าสามารถพาหวางเฟยหนีออกไปได้ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว อย่ากล่าวถึงการหลบหนีเลย พวกเขาจะสามารถก้าวได้สักก้าวหรือไม่ยังเป็คำถาม
เขาตายได้ แต่หวางเฟยห้ามตาย!
เมื่อเห็นว่าฝูงค้างคาวเืแดงกำลังรุมเข้ามา กุ่ยเม่ยก็ยิ่งรู้สึกผิดยิ่งขึ้น ด้วยรู้ว่าหากสูญสิ้นเขาไปหวางเฟยย่อมไม่รอด
ในอดีตยามกุ่ยเม่ยเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ เขาไม่เคยกังวลถึงเพียงนี้
จบแล้ว จบแล้วจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม ในชั่วพริบตา มู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ด้านหลังกุ่ยเม่ยกลับเปล่งเสียงร้องะโเสียงดัง “เร็วเข้า โยนหน้ากากทิ้งเดี๋ยวนี้ โยนไปให้ไกลที่สุด!”
หากทางเลือกสุดท้ายนี้มีประโยชน์จริงๆ ขอแค่สามารถรักษาชีวิตได้เป็พอ หากมันไร้ประโยชน์ นางยอมถูกทิ้งไว้กับซากศพเน่าเหม็นดีกว่าถูกแทะเช่นนั้น
ใน่เวลาที่กุ่ยเม่ยได้ยินคำสั่งเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เพราะในยามนี้ในใจของเขา เสียงของมู่จื่อหลิงดูเหมือนจะเป็ฟางเส้นสุดท้ายใน่แห่งความเป็ความตายของพวกเขา
แม้กระทั่งกุ่ยเม่ยยังกลัวว่ามู่จื่อหลิงจะไม่สามารถขว้างออกไปได้ไกล ดังนั้นเขาหันกลับมาทันที เข้าคว้าหน้ากากที่มู่จื่อหลิงกำลังจะโยนทิ้งไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
ทันใดนั้นกุ่ยเม่ยก็ะโขึ้นสูง ยกมือขึ้นขว้างอย่างรุนแรง...
เพียงครู่เดียวเท่านั้น เห็นได้ว่าหน้ากากนุ่มทั้งสองชิ้น พุ่งออกไปราวก้อนหินที่ถูกเขวี้ยงทิ้ง เคลื่อนผ่านฝูงค้างคาวเืแดงที่รวมตัวหนาแน่น
เข้าไปลึกด้านในสุดของถ้ำใหญ่นี้ เขาเหวี่ยงมันออกไปอีกด้านหนึ่งของถ้ำ
อันที่จริงมู่จื่อหลิงซึ่งถูกถอดหน้ากากออกไม่กล้าดูภาพต่อไปเลย
เห็นได้ว่ามู่จื่อหลิงยกมือขึ้นปิดตาแน่นเพื่อรอความตายที่จะมาถึง
เพราะยามนี้เป็ทางออกสุดท้ายที่นางนึกได้ นางไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย จะอยู่หรือตายตัดสินด้วย่เวลานี้เท่านั้น
โดยไม่คาดคิด ในยามนี้สถานการณ์พลิกกลับรุนแรงราวการสั่นะเืแผ่นดินได้เกิดขึ้นจริง
เมื่อเห็นว่าค้างคาวเืแดงทั้งสองกลุ่มหันกลับไป ทันใดนั้นพวกมันก็บินจากไปพร้อมกับหน้ากากทั้งสองชิ้น...
ยามเห็นภาพดังกล่าว กุ่ยเม่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าท่อนไม้ที่ไร้รอยยิ้มของเขา นี่คือรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขหลังรอดพ้นจากอันตราย
“หวางเฟย สำเร็จ พวกมันบินออกไป ไปแล้วจริงๆ…” น้ำเสียงไร้อารมณ์ของกุ่ยเม่ย ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยความสุข
แม้จะไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด แต่กุ่ยเม่ยก็ไม่อยากรับรู้เช่นกัน
ความรู้สึกกดดันรุนแรงที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น!
ความสยดสยองและความมืดที่คาดไว้ไม่มาถึง!
ยามได้ยินเสียงแฝงแววยินดีของกุ่ยเม่ยอีกครั้ง มู่จื่อหลิงรับรู้แล้วว่าการเดาของนางได้ผลอย่างแท้จริง
เฉียดฉิว! มู่จื่อหลิงลดมือลง ลืมตาขึ้น เหลือบมองค้างคาวเืแดงที่บินจากไปแล้ว นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มู่จื่อหลิงเอ่ยสั่งอีกครั้ง “ไป ไปดูเด็กปรุงยาสองคนนั้นกัน”
ยามพูดเช่นนั้น มู่จื่อหลิงก็เริ่มเดินอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางของเด็กปรุงยาทั้งสอง
ดูพวกเขาเพื่ออะไร?
กุ่ยเม่ยงุนงง แต่เขายังคงเดินตามมู่จื่อหลิงไป
มู่จื่อหลิงเดินเร็วมาก กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างหลังนางรู้สึกสับสน แต่ยังคงเฝ้าระวัง เดินติดตามนางไปอย่างใกล้ชิด......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ยืนอยู่บนขอบเหวลึก (频临深渊) เป็สำนวน มีความหมายว่า อยู่ในจุดที่อันตรายอย่างยิ่ง ต้องทำทุกสิ่งด้วยความระมัดระวัง