“ในบรรดาวัตถุดิบยาของข้ามีวัตถุดิบหนึ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก นามว่า ‘หญ้าหนวดั’ เกรงว่าจะหาได้ยากมากในอาณาจักรจ้าว ส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ ไม่ต้องห่วง ถ้าเ้าหาหญ้าหนวดัมาได้ อาการาเ็ของคนคนนี้ก็ไม่เป็ปัญหา” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“หญ้าหนวดั!”
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเฉียบคม ต่อให้หญ้าหนวดัจะหายากแต่เขาก็ต้องหามันมาให้จงได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรเขาก็ต้องหามันให้เจอ แม้ไม่เอ่ยถึงเื่ที่เฒ่าจิงต้องาเ็หนักเช่นนี้เพราะปกป้องเขา แต่เฒ่าจิงมีพระคุณต่อเขา เขาเย่เฟิงจะไม่สนใจก็ไม่ได้
“ตาเฒ่า ท่านรู้หรือไม่ว่าจะต้องไปหาหญ้าหนวดัที่ไหน?” เย่เฟิงเอ่ยถามราชันมารชื่อเทียน
“ในชาติที่แล้วตอนข้าอยู่บนแผ่นดินใหญ่ สมุนไพรชนิดนี้ไม่ใช่ของล้ำค่า สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่สำหรับที่นี่ข้าไม่รู้”
ราชันมารชื่อเทียนก็จนปัญญาเช่นกัน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมารอย่างเขาแล้ว หญ้าหนวดันั้นไม่มีค่าแต่อย่างใด ส่วนเย่เฟิงในเวลานี้มีโอกาสสูงที่จะทะลุขั้นยุทธ์เทวะ แต่ยังถือว่าห่างชั้นอยู่มากโข
ดังนั้นก่อนหน้านี้ ราชันมารชื่อเทียนจึงบอกว่าหญ้าหนวดัเป็สมุนไพรอันล้ำค่า เพียงแต่นั่นพูดในมุมระดับตบะอย่างเย่เฟิง
“แบบนี้นี่เอง”
เย่เฟิงรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย จากนั้นเขาเดินออกไปนอกห้อง ฉินเจิ้นถิงและคนอื่น ๆ ปรี่เข้ามาหาในทันที จากนั้นฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามเย่เฟิงอย่างร้อนรนว่า “เป็ยังไง? เ้ามีวิธีอะไรหรือไม่?”
“ผู้าุโฉินล้อเล่นหรือ? ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดอย่างพวกเราห้าคนยังทำอะไรไม่ได้ แล้วเขาจะทำอะไรได้?”
ไม่รอให้เย่เฟิงพูด เสียงที่ไม่เป็มิตรพลันดังขึ้นมา ผู้พูดคือหัวหน้าพรรคเทียนจีที่เพิ่งทะลวงขั้นยุทธ์เทวะล้มเหลวในตอนปิดด่าน
เย่เฟิงได้ยินหัวหน้าพรรคเทียนจีกล่าวเช่นนั้น ดวงตาก็พลันฉายแววแข็งกร้าว จากนั้นหัวหน้าพรรคเทียนเสวียนที่ปกติมักจะนิ่งเงียบก็พูดขึ้นมาว่า “หัวหน้าพรรคเทียนจีพูดเกินไปหน่อยแล้วกระมัง พวกเราห้าคนทำไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเย่เฟิงจะไม่มีวิธี ไยไม่ลองฟังเย่เฟิงพูดก่อนเล่า?”
“เด็กที่เพิ่งบรรลุขั้นยุทธ์แท้คนหนึ่ง มันจะดีไปกว่าพวกเราห้าคนได้อย่างไร? ช่างเถอะ บิดาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำสิ่งใดได้?” หัวหน้าพรรคเทียนจีกล่าวด้วยสีหน้าดูแคลน
“เย่เฟิง เ้ามีวิธีการอันใดก็รีบพูดออกมา” ฉินเจิ้นถิงกล่าว
เย่เฟิงปรายตามองหัวหน้าพรรคเทียนจีแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบพวกฉินเจิ้นถิงว่า “ข้ารู้จักยาชนิดหนึ่ง ถ้ารวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดก็สามารถรักษาอาการาเ็ของเฒ่าจิงได้”
“ฮ่า ๆ ๆ!”
เมื่อหัวหน้าพรรคเทียนจีได้ยินที่เย่เฟิงพูดก็หัวเราะดังลั่น เขามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะเย้ยหยันว่า “เ้านี่มันคุยโวโอ้อวดได้ไร้ยางอายเสียจริง! เ้าบอกว่าเ้ารู้จักยาชนิดหนึ่ง เ้าคิดว่าตัวเองเป็หมออย่างงั้นหรือ? หากการรักษาท่านเ้าสำนักล่าช้า เ้าจะรับผิดชอบไหวไหม?”
ดวงตาเย่เฟิงเริ่มเ็า เขาหันไปพูดกับหัวหน้าพรรคเทียนจีว่า “ข้าเย่เฟิงไร้ความสามารถ ความรู้ของข้าคงเทียบกับหัวพรรคผู้แข็งแกร่งเช่นท่านมิได้หรอก แต่ข้ามีวิธีรักษาอาการาเ็ของเฒ่าจิง ถ้าหัวหน้าพรรคคิดว่าข้ากำลังสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผล เช่นนั้นท่านจงหาวิธีที่ดีกว่าข้าออกมารักษาเฒ่าจิง แต่ถ้าท่านไม่มี ก็ไม่มีสิทธิ์มาพูด!”
เย่เฟิงตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้หัวหน้าพรรคเทียนจีพลันหน้าเขียวขึ้นมา เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่พอตั้งสติได้ จึงกล่าวกับเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “เถียงข้าง ๆ คู ๆ บิดาก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าเ้าจะใช้วิธีการอะไร ถ้าวิธีการของเ้ามันล้มเหลว ดูสิว่าบิดาจะจัดการกับเ้าเช่นไร!”
หัวหน้าพรรคเทียนจีโมโหเย่เฟิงอยู่ไม่น้อย ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเขามีตำแหน่งที่สูงส่ง ไม่มีศิษย์คนไหนที่ไม่เคารพเขา แต่เย่เฟิงผู้นี้กลับไม่สนใจ ทั้งยังกล้ากำเริบเสิบสานอีก
ตอนที่เขาออกจากการปิดด่าน เฉินเซี่ยงเทียนเคยเล่าให้เขาฟังว่าเย่เฟิงผู้นี้หยิ่งผยอง มิหนำซ้ำยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“เย่เฟิง รีบบอกวัตถุดิบออกมาเร็ว ดูซิว่าจะหาในสำนักได้หรือไม่?” ฉินเจิ้นถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลหลายส่วน
“ขอรับ!”
เย่เฟิงพยักหน้า เขาพูดชื่อสมุนไพรหลายสิบชนิดออกมา รวมไปถึงหญ้าหนวดั ตอนที่เย่เฟิงเอ่ยถึงหญ้าหนวดั คิ้วของทุกคนที่อยู่ที่นี่พลันขมวดเป็ปม
ผู้าุโหอสมุนไพริญญาพูดขึ้นมาว่า “หญ้าหนวดั ในตำนานเล่าว่าคือหนวดของั ซึ่งจะเติบโตบนดินแดนล่มสลายของเผ่าั มันเป็สมุนไพรที่ล้ำค่า ข้าเคยอ่านเจอในบันทึก ส่วนรายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับมัน ข้าไม่ทราบอะไรเลย สมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวก็คงหาไม่เจอ”
“ผู้าุโพอจะรู้หรือไม่ว่าหญ้าหนวดัปรากฏขึ้นที่ไหน ข้าจะไปหาหญ้าหนวดัเอง”
เย่เฟิงแสดงสีหน้าหมดหนทาง จากคำพูดของผู้าุโหอสมุนไพริญญา เขาตัดสินใจได้ว่าอาณาจักรจ้าวคงไม่มีหญ้าหนวดัเป็แน่
“เมืองลอยฟ้า ถ้าเ้าไปที่เมืองลอยฟ้าอาจจะโชคดีหามันเจอ” ผู้าุโหอสมุนไพริญญาตอบ ฉับพลันดวงตาของทุกคนก็เป็ประกายขึ้นมา
“เมืองลอยฟ้าอยู่ที่ใด? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อน?” เย่เฟิงถามอย่างมึนงง เขาอยู่อาณาจักรจ้าวมาหลายสิบปี แต่กลับไม่เคยได้ยินเื่เมืองลอยฟ้านี่เลย
“เมืองลอยฟ้าเป็เมืองอิสระในแดนชิงอวิ๋น ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่สำนักชิงอวิ๋น มีพรมแดนติดกับอาณาจักรทั้งเจ็ดของแดนชิงอวิ๋น แต่ไม่ได้เป็เมืองขึ้นของอาณาจักรใด ๆ ที่นั่นมีกฎหมายของตัวเอง คนในเมืองจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่านเ้าเมือง ที่สำคัญเลยคือเมืองลอยฟ้านั้นเป็ศูนย์กลางเศรษฐกิจของสำนักชิงอวิ๋น ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองกว่าที่ทุกคนจะคาดคิด เพราะเป็ตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแดนชิงอวิ๋น พวกสำนักนิกายในแดนชิงอวิ๋น หรือแม้แต่คนของราชวงศ์ทั้งเจ็ดอาณาจักรก็ชอบซื้อขายทรัพยากรฝึกตนกันที่นั่น ด้วยเหตุนี้ตลาดการค้าของเมืองลอยฟ้าจึงเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างมาก ที่นั่นมีเพียงของที่เ้าไม่อยากได้ แต่ไม่มีทางหาของที่เ้าอยากซื้อไม่พบ สมบัติหายากทุกชนิดมักจะไปปรากฏที่เมืองลอยฟ้า แม้ว่าหญ้าหนวดัจะล้ำค่า แต่ที่เมืองลอยฟ้าอาจจะมีก็ได้”
ตอนที่ผู้าุโหอสมุนไพริญญาอธิบายถึงเมืองลอยฟ้า สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความปรารถนา
“ใช่แล้ว ถ้าเป็เมืองลอยฟ้าแล้วละก็ จะต้องหาหญ้าหนวดัเจอแน่ ๆ หากเ้าอยากไป ข้าจะส่งคนคุ้มกันเดินทางไปกับเ้า”
หลังจากฟังผู้าุโหอสมุนไพริญญากล่าวเช่นนั้น ฉินเจิ้นถิงก็กล่าวพลางพยักหน้าให้เย่เฟิง
“หญ้าหนวดัเป็ของที่คนธรรมดาสามารถไขว่คว้าได้หรือ? ต่อให้ไปที่เมืองลอยฟ้า ข้าก็ไม่เชื่อว่าเ้าเด็กนี่จะสามารถนำหญ้าหนวดักลับมาได้” หัวหน้าพรรคเทียนจีกล่าวด้วยสีหน้าดูิ่ เขาไม่เชื่อว่าเย่เฟิงจะสามารถรักษาเฒ่าจิงได้
“เื่นี้หัวหน้าพรรคไม่ต้องกังวล ข้ายังคงยืนยันประโยคเดิม ถ้าท่านมีวิธีรักษาที่ดีกว่า ข้าจะมอบโอกาสในการรักษาเฒ่าจิงให้ท่าน แต่ถ้าไม่มี หัวหน้าพรรคก็เลิกพูดจาบั่นทอนกำลังใจได้แล้ว” เย่เฟิงย่นคิ้วพลางหันไปกล่าวเสียดสีหัวหน้าพรรคเทียนจี
อีกฝ่ายจงใจกล่าวยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเย่เฟิงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็ผู้าุโของสำนัก เกรงว่าคงจะหักหน้าไปนานแล้ว
“นี่เ้ากล้า!”
ดวงตาของหัวหน้าพรรคเทียนจีเผยประกายเย็นเยือก “เช่นนั้นบิดาจะกล่าวแก่เ้าประโยคหนึ่ง หากเ้ารักษาเ้าสำนักไม่ได้ ก็เตรียมรับบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดของสำนักได้เลย!”
สีหน้าหัวหน้าพรรคเทียนจีพลันเย็นะเื ราวกับว่าเขาคือเ้าสำนักที่แท้จริง หากเขา้าจัดการกับเย่เฟิง เย่เฟิงก็ต้องทนให้ได้
“งั้นข้าคงทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว” เย่เฟิงยิ้มเยาะออกมา จากนั้นไม่สนใจหัวหน้าพรรคเทียนจีอีก
“เ้าจะออกเดินทางตอนไหน?” ฉินเจิ้นถิงถามเย่เฟิง
“ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ออกเดินทางตอนนี้เลยก็ได้!” เย่เฟิงตอบ อาการาเ็ของเฒ่าจิงนั้นรอช้ามิได้แล้ว
“ข้าจะส่งคนเดินทางไปกับเ้า จะได้มีคนดูแลระหว่างทาง” ฉินเจิ้นถิงกล่าว เขาอยากส่งคนติดตามเย่เฟิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องขอรับ เดินทางครั้งนี้ข้าจะพากงซุนหลิงเอ๋อร์ไปด้วย” เย่เฟิงปฏิเสธความหวังดีของฉินเจิ้นถิง ให้ผู้แข็งแกร่งติดตามเขาไปเมืองลอยฟ้าเป็จำนวนมาก เกรงว่าคงจะไม่สะดวกสักเท่าไร
จากนั้นเย่เฟิงออกจากที่พักของเฒ่าจิงและกลับไปเตรียมตัว แล้วก็ไปหากงซุนหลิงเอ๋อร์ พร้อมเล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ให้นางฟัง ก่อนที่นางจะตอบตกลงด้วยความยินดี
นางหนูผู้นี้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น เมืองลอยฟ้าเป็เมืองลึกลับ ฉะนั้นนางจึงอยากไปที่นั่น
ด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์จึงมาถึงชายแดนของอาณาจักรจ้าว ที่ใกล้กับเมืองลอยฟ้ามากที่สุด จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสามวัน กว่าจะไปถึงเขตของเมืองลอยฟ้าในตำนาน
“ที่นี่น่าจะเป็ตำแหน่งที่เมืองลอยฟ้าตั้งอยู่ แต่ทำไมถึงไม่เห็นอะไรเลยเล่า?”
กงซุนหลิงเอ๋อร์มองพื้นที่แห้งแล้งอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งมีเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ ดวงตาคู่สวยฉายแววร้อนใจ
เหมือนที่กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวเช่นนั้น บริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่ในตอนนี้เป็เพียงพื้นที่แห้งแล้ง ยากที่ผู้คนจะเข้าถึงได้ พวกเขามองเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นฟ้าแต่ไกล ๆ
ไม่มีร่องรอยว่ามีเมืองอยู่ที่นี่ ซึ่งเย่เฟิงก็งงงวยกับเื่นี้เช่นกัน บนแผนที่ได้ทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจนว่าที่นี่เป็ที่ตั้งของเมืองลอยฟ้า
“พวกเราลองเดินอีกสักหน่อยเถอะ บางทีเมืองลอยฟ้าอาจจะอยู่ข้างหน้าก็ได้” เย่เฟิงไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง เขาจึงกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ก็ได้” กงซุนหลิงเอ๋อร์ทำปากจู๋ ก่อนจะเดินตามหลังเย่เฟิงอย่างอิดออด นางคิดว่าเมืองลอยฟ้าเป็สถานที่ที่น่าสนใจ เดินทางมาสองสามวันแล้ว เหนื่อยแทบตาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นแค่ความว่างเปล่าและพื้นดินอันแห้งแล้ง
“สองคนนั้นน่ะ กำลังจะไปเมืองลอยฟ้ากันใช่ไหม!” ตอนนี้เองมีเสียงร้องทักดังมาจากด้านหลังของพวกเขา ทำให้เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์หยุดเดิน ไม่ไกลออกไปนั้นมีสองเงาร่างมุ่งหน้ามาทางนี้
เป็ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอายุมากกว่าเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์หนึ่งถึงสองปี
ซึ่งผู้พูดเมื่อครู่คือชายหนึ่งในนั้น ชายผู้นี้อายุประมาณ 18-19 ปี และตามมาตรฐานของอัจฉริยะ เขาจะมีกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งเล็กน้อย
ด้านข้างชายหนุ่มเป็หญิงสาวคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวเรียบเนียน จมูกเชิด ดวงตาสวยงดงาม เอวบางเหมือนต้นหลิว ขาเรียวยาว ถือได้ว่าเป็หญิงงามคนหนึ่ง
