“หม่อมฉันไม่ปฏิเสธเพคะ แต่ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าหัวใจของพระองค์ ได้มอบให้กับจือซินกุ้ยเฟยไปหมดแล้ว ตอนนี้หม่อมฉันเข้าใจทุกอย่าง ย่อมรู้สึกไม่เหมือนเดิม” นางกล่าวแก้ตัว ก่อนเขาชะงักนิ่ง รอยยิ้มเมื่อครู่หุบลงเมื่อได้ยินชื่อของหญิงที่เขารักเทียบเท่าชีวิต
“เ้าพูดถูก จือซินคือคนที่ข้ารัก และในเมื่อนาง้าให้ข้าอยู่กับเ้า ข้าก็จะอยู่กับเ้าตามที่นาง้า” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางค่อย ๆ นำผ้าผืนเล็กชุบน้ำวางไว้บนศีรษะของอี้หนิงกุ้ยเหรินช้า ๆ
“น้ำที่นี่อุ่นมาก ควรให้ศีรษะของเ้าอุ่นเท่ากับร่างกาย จะได้ไม่ป่วย” นางพยักหน้าเข้าใจ แล้วจับผ้าผืนที่ว่าขยับให้เข้าที่ แล้วมองเขา พร้อมควันจาง ๆ ลอยขึ้นจากน้ำ
“หม่อมฉันอาจไม่เข้าใจความรักมากนัก แต่เคยมีคนบอกหม่อมฉันว่า รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก ความรักมันง่าย ๆ แค่นั้น สิ่งที่จือซินกุ้ยเฟยทำ ตรงข้ามกับสิ่งที่พระองค์ทำอย่างสิ้นเชิง เหตุใดพระองค์จึง...” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้น
“แผลเ้าที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ มีรอยแต้มยาด้วยงั้นเหรอ?” อี้หนิงกระตุกคิ้ว แล้วมองที่ไหล่ของตัวเอง พบว่ามีคราบยาสีขาวแต้มอยู่
“เพคะ มีคนแต้มยาให้หม่อมฉัน”
“ยาสีขาว เป็ยาเฉพาะ ทุกตำหนักใช้ไม่เหมือนกัน ใครเป็ผู้แต้มยาให้เ้า” อี้หนิงหันมองคราบยาอีกครั้ง แล้วหวนนึกถึงคนใจดี ที่เข้ามาแต้มยาให้
“เขา...” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น
“คนที่แต้มยาให้เ้า เป็ชายงั้นเหรอ? กล้าดียังไงถึงแตะตัวพระสนมของฮ่องเต้ ช่างไม่กลัวโทษปะาเอาเสียเลย”
“ปะา?” หญิงสาวทวนคำ แล้วขยับกายเล็กน้อยด้วยความใ
“เขาเป็ใคร?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้ม ก่อนอี้หนิงส่ายศีรษะเบา ๆ
“หม่อมฉันไม่รู้จักเพคะ แต่ดูจากท่าทางและการวางตัวแล้ว ไม่ใช่ขุนนางทั่วไปอย่างแน่นอน กล้าประจันหน้า กล้าพูด กล้าทำ ไม่ได้รู้สึกว่าตนต่ำต้อยกว่าหม่อมฉัน ทั้งยังให้เรียกเขาว่า คนใจดี” จวิ้นเทียนฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น จึงนิ่งเงียบพร้อมมองใบหน้างดงามของนาง ที่ยังทำท่าใ เมื่อกล่าวถึงโทษปะา
“ช่างเถอะ ข้าพอรู้แล้วล่ะ ว่ายานั้นมาจากตำหนักใด อีกสองสามวันแผลเ้าก็จะหายดี” อยู่ ๆ ท่าทีของเขาก็อ่อนลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนเขาจะเอนกายพิงขอบอ่าง พร้อมหลับตาแล้วยื่นมือให้อีกฝ่าย
“นวดให้ข้าหน่อย ทำอาหารจนเมื่อย รู้สึกไม่สบายมือ” หญิงสาวเลื่อนมองมือชายสูงศักดิ์ที่ส่งให้ แล้วเอื้อมไปนวดเบา ๆ พร้อมความรู้สึกหวั่นไหวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา เป็ความรู้สึกที่นางไม่เคยััมาก่อนในชีวิต หัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็จังหวะเมื่อมองใบหน้าของเขาขณะที่กำลังผ่อนคลาย กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยขึ้นมาจาง ๆ ให้นางตั้งใจนวดฝ่ามือเขาโดยไม่เอ่ยคำใดออกมา
“หายแน่นท้องแล้วหรือไม่?” อยู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตา ทำให้อี้หนิงรู้สึกตัวแล้วจับท้องตัวเองเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกจุกแน่นหายไปตอนไหน
“ดีขึ้นแล้วเพคะ”
“แช่น้ำอุ่น ช่วยบรรเทาอาการแน่นท้องได้ ต่อไปก็ไม่ต้องฝืนกินอาหารจนหมด เพื่อเอาใจข้า” นางได้ยินดังนั้นจึงเผลอบีบมือเขาแรงขึ้น ทำให้ชายหนุ่มรีบดึงมือกลับ
“ข้าเจ็บ เหตุใดจึงนวดแรงนัก”
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะ นวดใหม่ก็ได้”
“ไม่ต้องนวดแล้ว” เสียงของทั้งสองดังงึมงำออกมาจากห้องสรงน้ำ ทำให้นางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วพวกนางแทบไม่เคยได้ยินเสียงของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ นอกจากว่าราชการแล้ว เขามักเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องตำรา เป็ครั้งแรกที่นำพระสนมเข้าห้องสรงน้ำด้วย
“พวกเ้าอย่ามัวแต่นิ่งอึ้ง ไปเตรียมชุดมาให้ฮ่องเต้ กับพระสนมเปลี่ยน” หัวนางหน้ากำนัลเดินเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนนางกำนัลทั้งหมดจะพากันออกไปทำหน้าที่
ตำหนักฉิงกง ตำหนักขนาดกลางตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักของกุ้ยเหรินคนอื่น ๆ ร่างของซูหนิงยืนชะเง้อคอมมองทาง ด้วยความเป็ห่วง อี้หนิงกุ้ยเหรินที่หายไปนานหลายชั่วยาม จะออกตามหาก็กลัวว่าหากข่าวหลุดรอดออกไป จะทำให้เป็ที่เสื่อมเสียเอาได้ จึงทำได้เพียงรอผู้เป็นายอย่างเงียบ ๆ สองเท้าเดินหมุนไปมาพร้อมแสดงสีหน้ากังวลเป็ระยะ หากแต่ไม่นานนักร่างของอี้หนิงกุ้ยเหรินก็เดินกลับมาเข้า
“พระสนม!” ซูหนิงรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็ห่วง
“พระสนมไปไหนมาเพคะ หม่อมฉันรอตั้งนาน เสด็จไปที่ใดเหตุใดไม่บอกกล่าว ให้หม่อมฉันหรือนางกำนัลคนอื่นตามไปรับใช้ก็ยังดี” อี้หนิงเห็นสายตากังวลใจของอีกฝ่าย จึงปล่อยยิ้ม
“ข้าไม่ได้เป็อะไร”
“เช่นนั้นพระสนมหายไปไหนมาเพคะ”
“เข้าไปคุยกันด้านใน” ว่าแล้วร่างของอี้หนิงกุ้ยเหรินก็เดินกลับเข้าตำหนักไป ก่อนซูหนิงจะรีบวิ่งตามเข้าไปในตำหนัก ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดโชยมาเป็ระยะ อีกฟากหนึ่งของตัวตำหนัก ร่างของลี่หว่านกุ้ยเหริน และเหมยจูกุ้ยเหริน ยืนกอดอกมองเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ ก่อนลี่หว่านจะถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้
“เ้าคิดว่านางหายไปไหน?”