หลิวหย่งไม่รู้แม้แต่น้อยว่าการประมูลคืออะไร
อันที่จริงพออธิบายแล้วเข้าใจง่ายมาก เริ่มจากหน่วยงาน A ้าริเริ่มโครงการหนึ่ง เช่นการสร้างอาคารหนึ่งหลัง หน่วยงานนี้ไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ จำต้องจ่ายเงินจ้างผู้อื่นมาทำ แต่ต่างวงการก็ต่างความชำนาญ ในขณะเดียวกันหน่วยงาน A ก็ไม่รู้ว่าควรหาใครถึงจะเหมาะสมกว่า เวลานี้จึงจำเป็ต้องมอบหมายหน้าที่ให้บริษัทเชิญชวนการเข้าประมูล B เข้ามาจัดการ หน่วยงาน A ต้องเสนอความ้าของตนที่มีต่อโครงการ โดยให้บริษัทเชิญชวนเข้าประมูล B เป็ตัวแทนจัดกิจกรรมการประมูล จากนั้นฝ่าย B ก็จะทำตามความ้าของฝ่าย A ด้วยการเขียนข้อกำหนดต่างๆ ของโครงการลงใน ‘หนังสือเชิญชวนเข้าร่วมการประมูล’ และประกาศเป็สาธารณะให้ทราบโดยทั่วกันในเวลาอันเหมาะสม ยกการสร้างอาคารเป็ตัวอย่าง หลังจากบริษัทกลุ่ม C จำนวนมากที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้เห็นประกาศเชิญชวนเข้าร่วมการประมูลแล้ว ก็รับเอกสารการประกวดราคาจากฝ่าย B จากนั้นนำกลับไปประชุมหารือว่าตนเองสามารถประมูลได้หรือไม่ หรือก็คือการพิจารณาว่าบริษัทของตนจะสามารถสร้างผลกำไรด้วยการลงทุนในการประมูลนี้ได้หรือเปล่านั่นเอง
จะประมูลได้ก็ต่อเมื่อเขียน ‘หนังสือขอประมูล’ ทว่าไม่ได้มีหนังสือขอประมูลจากบริษัทกลุ่ม C เพียงหนึ่งแห่งเท่านั้น เพราะมีการแข่งขันถึงเรียกว่า ‘ประมูล’ ไม่ใช่หรือ!
ฝ่าย B จะจัดงานเปิดการประมูล และงานนี้ต้องมีตัวแทนของบริษัทฝ่าย A เข้าร่วม เมื่อมีบริษัทกลุ่ม C หลายแห่งประมูลโครงการเดียวกัน ‘หนังสือขอประมูล’ ของใครสอดคล้องกับกติกา และผลประโยชน์ของฝ่าย A คนนั้นก็เป็ผู้ชนะการประมูล หลังจากนั้นบริษัทกลุ่ม C ผู้ประมูลสำเร็จจะทำสัญญากับ A ถึงจะถือว่ากิจกรรมการประมูลทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อย
ตอนนี้มีสองปัญหาวางอยู่ตรงหน้า
หนึ่ง ประสบการณ์ของบริษัทหลิวหย่งยังน้อยเกินไป จะเป็ไปตามเกณฑ์การประมูลหรือไม่?
สอง กฎเกณฑ์การประมูลในปี 84 ครอบคลุมสมบูรณ์เทียบเท่าในอนาคตหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานสงสัยว่าไม่มีกระทั่งบริษัทเชิญชวนเข้าร่วมการประมูล มีเพียงทังหงเอินที่วานเสี่ยวหวังแจ้งเธอให้เตรียมตัว แต่ไม่ได้บอกว่าเขาอยู่ในตำแหน่งใด ทังหงเอินคือฝ่าย A ที่จะเปิดการประมูล หรือฝ่าย B ที่เป็ตัวแทนจัดการประมูล? ระหว่างสองฝ่ายนี้มีความแตกต่างกันมากอย่างแน่นอน!
ใช่ กฎเกณฑ์ไม่สมบูรณ์ก็มีข้อดีของความไม่สมบูรณ์ หากเข้มงวดเหมือนในอนาคตจริงๆ บริษัทกระเป๋าหนัง [1] ของหลิวหย่งจะไม่มีคุณสมบัติสำหรับเข้าร่วมการประมูลด้วยซ้ำ
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ไปเผิงเฉิง เธอก็เตรียมความพร้อมด้านเอกสารการประมูลแทนหลิวหย่งอย่างเต็มที่อยู่ดี
พอเห็นหลิวหย่งหอบปึกภาพถ่ายสีกลับมา เซี่ยเสี่ยวหลานดีใจที่มี ‘ผลงาน’ สำเร็จถึงสองชิ้นแล้ว ไม่ใช่แค่อุปกรณ์หนักเท่านั้น แม้กระทั่งอุปกรณ์เบาก็รับผิดชอบโดย ‘หย่วนฮุย’ ทั้งหมด ผลลัพธ์ซึ่งนำเสนอในท้ายที่สุดของงานตกแต่งภายในสองชิ้นนี้ไม่ได้ล้ำยุคมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ล้าหลังกว่ามาตรฐานงานตกแต่งภายในร่วมสมัย
การจัดหาวัสดุตกแต่งภายในในแผ่นดินใหญ่อาจไม่ครบถ้วนเท่าในฮ่องกง ทว่าจากผลงานตัวอย่างทั้งสองชิ้น สามารถทำให้บริษัทฝ่าย A มองเห็นฝีมือการออกแบบของหย่วนฮุยแน่นอน
“ไม่เป็ไรหรอก ประมูลสำเร็จหรือเปล่ามันไม่สำคัญ ลองดูสถานการณ์หน้างานจริงก่อน ถือเสียว่าเป็การไปเรียนรู้ และลุงก็ควรสำรวจลู่ทางรอบเผิงเฉิงเอาไว้ด้วย”
ชนะการประมูลย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่สำเร็จ ลุงของเธอก็ไม่ได้ลำบากอะไร
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกหลิวหย่งว่าอย่ารู้สึกกดดันมากจนเกินไป
เทียบกับเมื่อสองเดือนก่อน หลิวหย่งไม่เพียงแต่ศึกษาความรู้เชิงทฤษฎี การปฏิบัติงานจริงก็ผ่านมือมาแล้วเช่นกัน เป็ธรรมดาที่จะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ในความเป็จริง ‘หย่วนฮุย’ มีผลงานตัวอย่างที่สำเร็จถึงสามชิ้น งานตกแต่งบ้านของคังเหว่ยกับเส้ากวงหรง และงานตกแต่งหน้าร้าน ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็ถือเป็หนึ่งในนั้น
หลังจากหลิวหย่งกลับถึงซางตูก็ไม่สนใจการพักผ่อน เขาดำดิ่งเข้าสู่มหาสมุทรแห่งความรู้ เซี่ยเสี่ยวหลานพูดคุยเื่การตกแต่งภายในอาคารสำนักงานกับเขาอีกด้วย
ตกแต่งห้องสำนักงานอย่างไร ตกแต่งโถงใหญ่รับรองอย่างไร ทุกอย่างล้วนแตกต่างกัน!
แม้ลายมือของหลิวหย่งไม่ค่อยสวยนัก ทว่าความเข้าใจจากการเรียนถูกเขียนลงในสมุดจดเล่มหนาหลายเล่มด้วยลายมือกระยึกกระยือ หลี่เฟิ่งเหมยหยอกเขาว่าหากมีความมุ่งมั่นแบบนี้ั้แ่ยังหนุ่ม คงไม่อัตคัดขัดสนจนถึงกับไม่มีปัญญาแต่งภรรยา
หลิวหย่งหัวเราะเ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนก็ต้องคลาดกันไม่ใช่หรือ?”
หลิวหย่งไม่รังเกียจเลยว่าภรรยาของเขาจะเคยสมรสมาก่อน การสมรสใหม่ไม่ใช่ความผิดของหลี่เฟิ่งเหมยเสียหน่อย ถ้าไม่ลาจากสามีคนก่อนนั้น ก็จะไม่ได้พบหลิวหย่งน่ะสิ
ตอนนั้นหลิวหย่งยากจน หากหาภรรยาได้สักคนคงต้องจุดธูปสักการะ์ หลี่เฟิ่งเหมยแต่งงานเข้ามาเพียงหนึ่งปีก็ให้กำเนิดลูกชาย หลิวหย่งใฝ่ฝันหาชีวิตสงบสุขจากครอบครัวที่พร้อมหน้า และใช้เวลาหลายปีกว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตนจนมีความรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่มีใจรักความก้าวหน้า ตอนนี้คงสำมะเลเทเมาอยู่ในชนบทเหมือนเดิมนั่นแหละ ต่อให้หลานสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ไม่อาจลากลุงที่อยู่รอความตายไปวันๆ มาไกลขนาดนี้หรอก
ทุกวันนี้งานยุ่งมากก็จริง แต่ในทุกๆ วันล้วนมีเป้าหมาย หลิวหย่งเต็มเปี่ยมด้วยแรงกายและแรงใจ
ต้นเดือนมิถุนายน หลิวหย่งเดินทางมุ่งหน้าสู่เผิงเฉิงพร้อมกับสมุดจดเล่มหนาของเขา เอกสารประเภทต่างๆ และใบสั่งจ่ายเงินของธนาคาร
เงินเก็บของครอบครัวหลิวหย่งมีอยู่ราวสองหมื่นห้า เซี่ยเสี่ยวหลานรวมเงินเก็บของเธอเข้าไปด้วย ลงขันใบสั่งจ่ายเงินมูลค่า 7 หมื่นหยวนให้แก่หลิวหย่ง ไม่ว่าจะประมูลได้โครงการอะไร ในระยะแรกจำเป็ต้องให้หลิวหย่งสำรองเงินอย่างแน่นอน มีเกียรติของทังหงเอินเป็หลักประกัน ไม่กลัวว่าจะชวดเงินค้างชำระที่เหลือ
----------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานส่งหลี่ต้งเหลียงติดตามหลิวหย่งไปเผิงเฉิง
หลี่ต้งเหลียงเคยไปเผิงเฉิงมาหลายหนแล้ว คุ้นเคยดีว่าจะ ‘ข้ามด่าน’ อย่างไร นอกจากนี้สถานะของหลิวหย่งคือผู้รับผิดชอบจากหย่วนฮุย ไม่มีแม้กระทั่งผู้ติดตามสักคนก็ดูไม่สมควรนัก
เมื่อถึงเผิงเฉิง หลิวหย่งติดต่อไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้ ฝากที่อยู่ที่พักของเขาไว้ สองชั่วโมงถัดมาก็มีชายหนุ่มขับรถมาเยือน และยื่นซองจดหมายขนาดใหญ่ให้แก่หลิวหย่ง
“นี่คือเอกสารของทางฝ่ายเชิญเข้าร่วมการประมูลครับ”
เสี่ยวหวังมองหลิวหย่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน เครื่องหน้าคล้ายกับเซี่ยเสี่ยวหลานมาก เป็ลุงหลานแท้ๆ โดยไร้ข้อกังขา
หลิวหย่งไว้ผมทรงเกรียน ใส่เสื้อมีปกแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขายาวแบบตะวันตก ถือกระเป๋าเอกสารหนึ่งใบ ท่าทางเหมือนนักธุรกิจทั่วไป ไม่เหมือนพวกเถ้าแก่บ้านนอกผู้มีอันจะกิน ที่ชื่นชอบสวมสร้อยทองคล้องคอ สวมแหวนทองสองวงที่นิ้วมือ สำหรับเศรษฐีใหม่ประเภทนั้น เสี่ยวหวังไม่รู้จะพูดอะไรเลย
หลิวหย่งสร้างความประทับใจให้แก่เขา อีกทั้งองค์ประกอบของใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็ทำให้เสี่ยวหวังเกิดความรู้สึกคุ้นเคย ในเมื่อเคยฝ่าฟันความลำบากกับเซี่ยเสี่ยวหลานมา เสี่ยวหวังจึงตักเตือนและให้คำแนะนำเพิ่มเติม “เดิมทีคุณสมบัติของพวกคุณไม่มีสิทธิคิดจะแตะการประมูลนี้ด้วยซ้ำ เป็เพราะหัวหน้าแนะนำว่าควรให้โอกาสบริษัทเอกชนมากขึ้น แบ่งโครงการใหญ่ออกเป็หลายรายการย่อย คุณลองพิจารณาดูว่าตัวเองมีศักยภาพพอจะรับมือกับรายการไหนได้ และทุ่มเทกำลังทั้งหมดกับรายการนั้น!”
อย่าลำพองใจเกินพอดี ที่นึกว่ามีหัวหน้าอยู่ทั้งคน จนอยากได้เสียทุกงาน
และแน่นอนว่าไม่จำเป็ต้องเกรงกลัว มีทังหงเอินอยู่ทั้งคน งานที่หลิวหย่งได้รับไม่มีทางถูกผู้อื่นบ่อนทำลาย!
จะควบคุมความเหมาะสมตรงกลางนี้อย่างไร ต่อให้หลิวหย่งไม่เข้าใจ เสี่ยวหวังเชื่อมั่นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดี เขาไม่เคยพบใครที่รู้จักความเหมาะสมไปกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน อายุยังน้อย แต่ชั้นเชิงเหมือนคนเจนโลก เอาเป็ว่าเสี่ยวหวังเทียบกับเธอไม่ได้เลย ให้เขาลองคาดเดา ต้องเป็เลขาเผิงคนสนิทของหัวหน้าถึงจะพอประชันกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้
แต่เลขาเผิงอายุอานามเท่าไร สามสิบกว่าเข้าไปแล้ว เรียนรู้งานตั้งกี่ปีกว่าจะมีทักษะกัน
หลิวหย่งย่อมเอ่ยขอบคุณไม่ขาดปาก อีกทั้งจะเลี้ยงอาหารเสี่ยวหวัง เสี่ยวหวังจึงแกว่งกุญแจรถไปมา
“ขอโทษครับ ที่หน่วยงานยังมีภาระงานรออยู่ วันหลังค่อยว่ากันเถอะ”
หลิวหย่งกลับเข้าที่พักมาเปิดซองจดหมายซองโต ถึงได้รับรู้ว่าทำไมครั้งนี้ต้องจัดงาน ‘เปิดการประมูล’
เผิงเฉิงจะสร้างโรงแรมห้าดาวรองรับชาวต่างชาติแห่งแรกบริเวณเสอโข่ว [2] มีชื่อว่า ‘โรงแรมหนานไห่’ อันที่จริงโรงแรมเพิ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ยังก่อโครงหลักของอาคารไม่เสร็จด้วยซ้ำ พูดเื่ตกแต่งภายในตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ‘หย่วนฮุย’ ของหลิวหย่งมีเขารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โอ๊ะ ยังมีกงหยางนักออกแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่เพิ่งถูกรับเข้าทำงาน อย่างดีที่สุดก็บวกที่ปรึกษาชั่วคราวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าร่วมอีกคน
ด้วยคุณสมบัติการทำงานของพวกเขา แม้ทังหงเอินจะช่วยสนับสนุนได้ พอส่งมอบโครงการตกแต่งภายในของ ‘โรงแรมหนานไห่’ ให้ ‘หย่วนฮุย’ หลังจากนี้ทังหงเอินก็ควรหลีกทาง ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแล้ว
โครงการที่ทังหงเอินให้เซี่ยเสี่ยวหลานมาประมูล เป็การเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน ‘โรงแรมหนานไห่’ ก็คือการประมูลโครงการตกแต่งภายในบ้านพักรับรองประจำเทศบาลเมืองนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1] 皮包公司 บริษัทกระเป๋าหนัง หมายถึง องค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยไม่มีสินทรัพย์ สถานที่ประกอบการ และจำนวนบุคลากรที่แน่นอน
[2] 蛇口 เสอโข่ว คือ เขตพัฒนาเศรษฐกิจเน้นการส่งออกแห่งแรกของประเทศจีนที่ลงทุนพัฒนาทั้งหมดโดยกลุ่ม ไชน่า เมอร์ชานท์ กรุ๊ป จำกัด