เฉินจิ้งโหรวพูดไปพลางมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท
จ้าวอี๋เหนียงบอกว่า ขอเพียงนางพูดเช่นนี้หน้าประตู ป๋อชางโหวต้องมีปฏิกิริยาแน่
แม่นมซุนเหลือบมองไปทางประตูเช่นกัน ทั้งสองสบตากัน นี่...ไม่สะทกสะท้านบ้างเลยหรือ?
ขณะทั้งสองกำลังคิดว่าควรพูดต่ออีกหรือไม่ ทันใดนั้นเสียงประตูก็ดังขึ้น ในที่สุดเฉินจิ้งโหรวก็คลายใจลงได้เสียที
เมื่อเห็นป๋อชางโหวเปิดประตูเดินออกมา เฉินจิ้งโหรวก็เร่งรุดเข้าดึงแขนเสื้อเขาทันที “ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่าน โปรดละเว้นโทษให้ท่านแม่เถิดเ้าค่ะ โถงเล็กตรงนั้นมิอาจพำนักอยู่ได้นะเ้าคะ!”
นางพูดพร่ำพร้อมสะอึกสะอื้นร่ำไห้ นางจำได้ว่าหากเฉินจิ้งเจียเป็เช่นนี้ ป๋อชางโหวต้องโอ๋ง้อนางอย่างใจเสียแน่นอน
เฉินจิ้งโหรวเงยหน้ามองป๋อชางโหว ทว่ายามเห็นใบหน้าแสนเยือกเย็นของป๋อชางโหวแล้ว ความหวังในใจนางพลันสูญสลายไปในบัดดล
ในแววตาป๋อชางโหว นางไม่เห็นเศษเสี้ยวของความอ่อนโยนเอ็นดู มีเพียงความใจร้อนและหงุดหงิดเต็มทนเท่านั้น
มือที่รั้งชายแขนเสื้อป๋อชางโหวไว้เป็อันคลายลงโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ข้ออ้างอื่นๆ ที่เตรียมไว้เมื่อครู่ยังต้องสะอึกจุกอยู่ในลำคอ ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาแม้แต่น้อย
แม้หงุดหงิดเต็มทน แต่ป๋อชางโหวกลับมิได้บันดาลโทสะใส่เฉินจิ้งโหรว แค่มองนางครู่หนึ่ง ก็ถามแม่นมซุนที่อยู่ด้านข้างแทน “โถงเล็กอยู่ที่ใด?”
เขาจะไปรับท่านอี๋เหนียงกลับมาแล้วหรือ? แม่นมซุนดีอกดีใจ รีบชี้ทางไปโถงเล็กให้ป๋อชางโหว
ป๋อชางโหวพยักหน้าเสร็จก็ออกเรือนไปทันที เฉินจิ้งโหรวยืนอึ้งตะลึงงันแน่นิ่งอยู่ที่เดิม พยายามคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เป็บุตรสาวเฉกเช่นเดียวกัน ทว่าเหตุใด เขาถึงอ่อนโยนกับเฉินจิ้งเจียเพียงนั้น แต่กลับเ็าใส่ตนถึงเพียงนี้?
เห็นอยู่ชัดๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพวกนางก็เหมือนกันนี่!
ภายในโถงเล็ก จ้าวอี๋เหนียงกำลังรอคอยป๋อชางโหวอยู่ หากจะบอกว่านางแสร้งว่าหนาวเหน็บตอนเฉินจิ้งโหรวมาหาละก็ เช่นนั้นยามนี้นางก็หนาวเหน็บเข้าแล้วจริงๆ
แม้แต่พู่กัน มือที่ยกขึ้นยังแทบจับไม่ไหวแล้ว ความเร็วในการเขียนชะลอช้าลงตามเช่นกัน
นางเงยหน้ามองไปยังประตูอยู่ตลอดเวลา หวังว่ายามเงยหน้าขึ้นคราถัดไป จะเห็นคนที่นางอยากเจอเสียที
ชั่ววินาทีนั้น ร่างป๋อชางโหวปรากฏขึ้นหน้าประตูในที่สุด
นางหยัดยิ้มมุมปาก ดูเอาเถิด ถึงอย่างไรสุดท้ายผู้ชนะก็คือนาง เฉินจิ้งเจียเอ๋ย คิดจะให้ข้าคัดพระคัมภีร์ให้ิญญาผีเดนตายของมารดาเ้าหรือ ให้มันน้อยๆ หน่อย!
“ท่านโหว? ท่านมาได้อย่างไรเ้าคะ?”
นางแสร้งทำท่าประหลาดใจยิ่ง รีบวางพู่กันในมือลงมาดหมายหยัดกายทำความเคารพ ทว่าเนื่องจากนั่งตรงนี้นานเกินไป จึงตัวแข็งไปบ้าง ยังไม่ทันตั้งหลักยืนได้ก็เกือบทรุดตัวลงอีกครั้ง
“ระวัง!”
ป๋อชางโหวเร่งฝีเท้าเข้ามา ยื่นแขนรับตัวจ้าวอี๋เหนียงไว้
“ท่านโหว ท่าน ท่านกลับไปเถิด ข้ายังต้องคัดพระคัมภีร์ คัดเสร็จแล้วข้าค่อยกลับไปเ้าค่ะ” นางเอ่ย พลางยกมือผลักไสป๋อชางโหว มือขาวนวลละเอียดพลั้งเผลอััมือป๋อชางโหว
การััครั้งนี้ทำเอาป๋อชางโหวชะงักงันทันใด เป็อย่างที่เฉินจิ้งโหรวบอกจริงๆ มือของนางเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง
“เย็นขนาดนี้ยังจะคัดพระคัมภีร์อันใดอยู่อีก หากคิดจะคัด คัดที่ไหนไม่คัด จะมาคัดตรงนี้หรือ?” ป๋อชางโหวเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น
จ้าวอี๋เหนียงแยกไม่ออกว่าเขาฉุนเฉียวที่ตนไม่สงสารร่างกาย หรือโกรธที่นางไม่คัดให้เสร็จดีกันแน่
นางก้มหน้าด้วยความน้อยใจ “ข้าได้ยินมาว่า การคัดพระคัมภีร์จำต้องคัดในโถงอาราม ต้องนั่งคัดต่อหน้าพระโพธิสัตว์เท่านั้นจึงจะถือว่าซื่อสัตย์ใจจริง”
ครั้นเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา นางเชื่อว่าป๋อชางโหวจะมิกล่าวโทษนางอีก
เป็ดั่งที่คิด...
“ช่างเถอะ กลับไปก่อนเถิด หากอยู่แบบนี้ต่อไปร่างกายเ้าสู้ไม่ไหวแน่” ในที่สุดน้ำเสียงป๋อชางโหวก็อ่อนลงหลายส่วน
แม่นมซุนตามเข้ามาพอดี พยุงจ้าวอี๋เหนียงออกจากโถงเล็กของอาราม จากนั้นจึงกลับไปยังเรือนพักที่เดิม
เมื่อเห็นจ้าวอี๋เหนียงถูกพยุงกลับมา เฉินจิ้งโหรวก็ดีใจขึ้นทันใด ที่แท้ท่านแม่ก็ยังมีวิธีการ ต่อให้ทำผิด แต่พอบอกจะกลับก็กลับมาจริงมิใช่หรือ?
มีท่านแม่คอยวางแผนหาทางรับมืออยู่เคียงข้างนาง ไหนเลยนังโง่เฉินจิ้งเจียจะเทียบชั้นนางได้?
ฝั่งเฉินจิ้งโหรวดีอกดีใจเต็มประดา ทางฝั่งเรือนเล็กที่ได้ข่าวการกลับเรือนของจ้าวอี๋เหนียงแล้ว หนานจือก็โกรธเกรี้ยวเสียแทบฉีกผ้าเช็ดหน้าออกเป็ชิ้นๆ
“คุณหนู ท่านดูสิเ้าคะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่แค่กี่ชั่วยาม จ้าวอี๋เหนียงก็กลับเรือนแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวอี๋เหนียงมีวิธีจัดการให้อยู่หมัดเสมอมา หากปล่อยให้นางย่ามใจ เช่นนั้นเกรงว่าวันคืนของคุณหนูพวกนางคงมิอาจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
หนานจือคิดเช่นนี้ จากนั้นจึงเงยหน้าเหลือบมองเฉินจิ้งเจียครู่หนึ่ง ทว่าท่าทีของนางกลับปกติยิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อข่าวการกลับเรือนอย่างรวดเร็วของจ้าวอี๋เหนียง
“คุณหนู?” หนานจือส่งเสียงเรียกนาง
เฉินจิ้งเจียได้สติกลับมา มองหนานจือต่อ “ฝีมือจ้าวอี๋เหนียงเป็เช่นไรข้าล้วนทราบดียิ่ง นางไม่มีทางคัดพระคัมภีร์ดีๆ แน่ มิเช่นนั้นคงไม่สร้างเื่ใหญ่โตเช่นนี้ เพื่อขอความสงสารจากท่านพ่อหรอก”
การคาดเดานี้ทำเอาหนานจือตื่นใจนหน้าเสีย “เช่นนั้น เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดีเ้าคะ?”
หากจ้าวอี๋เหนียงได้หน้าจากป๋อชางโหว เช่นนั้นคุณหนูของนางจะทำอย่างไรเล่า?
“ทำอย่างไรหรือ?” เฉินจิ้งเจียยกยิ้มน่ามอง “ไม่ต้องทำอะไร แค่อนุคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะข้าไม่ได้”
ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย สร้างความผิดหวังให้หัวใจท่านพ่อเท่านี้ก็พอแล้ว
เฉินจิ้งเจียคิดในใจ
เป็อย่างที่นางคาดเดาไว้ทุกประการ จ้าวอี๋เหนียงกลับจวนได้ไม่นาน ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งไปเชิญหมอมา บอกว่าจ้าวอี๋เหนียงตากลมเย็นจนป่วย
ไม่ช้า ก็มีเหล่าข้ารับใช้ทยอยส่งน้ำแกงบำรุงเข้าเรือนป๋อชางโหวอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นคนเอนตัวลงเตียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ กระสับกระส่ายไม่ได้สติแล้ว ป๋อชางโหวก็ลืมไปนานแล้วว่าจ้าวอี๋เหนียงถูกลงโทษด้วยเหตุใจ จิตใจเหลือเพียงความเสียใจเต็มทรวง
“ร่างกายเ้าไม่แข็งแรง เื่อย่างการคัดพระคัมภีร์นี้ ขอเพียงซื่อสัตย์จริงใจ ไหนเลยต้องคุกเข่าต่อหน้าพระโพธิสัตว์ด้วย”
แม้คำพูดคำจายังแฝงโทสะอยู่ ทว่าเมื่อดังเข้าหูจ้าวอี๋เหนียง กลับหวานแหววเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า
ชายผู้นี้ ยังมีนางอยู่ในใจใช่หรือไม่?
ชายผู้นี้ ยังเป็ห่วงนางใช่หรือไม่?
จ้าวอี๋เหนียงเงยหน้า ก่อนเผยยิ้มอ่อนโยน “ท่านโหวพูดถูก ประเดี๋ยวกลับไป ข้าก็ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ”
ป๋อชางโหวหน้าตึงทันใด “กลับไป? เ้ายังคิดจะกลับไปอีกหรือ?”
หากเป็เวลาทั่วไป เขาแสดงท่าทางเด็ดขาดเช่นนี้ จ้าวอี๋เหนียงคงใจนมิกล้าส่งเสียง หากแต่ยามนี้นางรู้สึกเพียงสงบสุขเท่านั้น ราวกับว่าความรู้สึกทั้งหมดที่ตนทุ่มเทแลกไปหลายปีนี้กำลังตอบแทนกลับมา
“ข้าพูดผิดไป ข้าไม่กลับไปแล้วเ้าค่ะ” นางยกมือปิดปาก ปิดบังรอยยิ้มของตนไว้ หากแต่ดวงตาที่โค้งยิ้มตามยังคงตกอยู่ในสายตาป๋อชางโหว เพียงเท่านี้อารมณ์เขาก็ดีขึ้นมา
จ้าวอี๋เหนียงยิ้มหวาน ไม่เพียงมอบให้ป๋อชางโหวเชยชม แต่ยังคิดมอบให้ซูเหยาที่ตายไปได้เห็นอีกด้วย
ให้นางได้เห็นตนอย่างเต็มตา มองท่าทางสุขใจของนางในยามนี้ ดูว่าในที่สุดตนก็มีวันที่แย่งตำแหน่งของนางได้ และกลายเป็นายหญิงใหญ่แห่งจวนโหวอย่างไรเล่า!
ซูชื่อ[1] ซูเหยา ไม่ว่าเ้าจะครองใจท่านโหวได้อย่างไร แต่สุดท้ายเ้าก็ตายแล้ว แค่คนตายคนหนึ่ง ไม่มีวันสู้คนเป็ได้อยู่แล้ว
เฉกเช่นเดียวกับตอนนี้ เดิมทีต้องคัดพระคัมภีร์ให้เ้า แต่ตอนนี้ยังต้องทำอีกหรือ?
---------------------------
[1] คำเรียกชื่อคนจากสกุลนั้นๆ ในที่นี้คือนามสกุลของซูเหยา มารดาของเฉินจิ้งเจีย
