เสี่ยวหมี่ปัดฝุ่นในมือ กล่าวว่า “พี่ใหญ่เฝิง จะลงไปพร้อมข้าหรือไม่?”
“ได้” เฝิงเจี่ยนพยักหน้า แขนเสื้อที่พับขึ้นยังไม่ได้เอาลง เสี่ยวหมี่จึงเข้าไปคลี่ลงให้เขา ทำให้เขาอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ กล่าวกำชับนางว่า “ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด”
“ข้ารู้แล้ว เพราะกลัวจะใจอ่อน จึงให้ท่านไปกับข้าด้วยอย่างไรเล่า”
เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างร่าเริง นางเชิญท่านลุงหยางไปด้วยแต่กลับได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ “ข้าไม่ไปดีกว่า ข้าจะอยู่เก็บต้นข้าวที่นี่ ตอนเที่ยงเราจะได้กินข้าวสวยชุดใหม่กัน”
“ได้สิเ้าคะ เช่นนั้นข้าจะแวะไปจัดการหมูน้ำแดงก่อน ข้าวสวยร้อนๆ กับหมูน้ำแดงเข้ากันเป็ที่สุด”
เสี่ยวหมี่จึงแวะไปที่ห้องครัวก่อน นางหั่นเนื้อหมูเป็ชิ้นๆ เคี่ยวน้ำตาลในกระทะ ยุ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม แล้วจึงเรียกเฝิงเจี่ยนที่ดื่มชารออยู่ใต้ต้นไม้ให้ลงเขาไปด้วยกัน
บ้านพักที่ตีนเขานั้นถึงแม้ปกติจะให้พวกชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เฝ้าหน้าทางเข้าูเาพักผ่อนนอนหลับ แต่บางครั้งพวกผู้หญิงที่เพิงทำอาหารก็จะมานั่งพักด้วยเช่นกัน บ้านพักจึงถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดเรียบร้อยเสมอ
ยามนี้ฮูหยินสุยและคุณชายใหญ่สุยกำลังนั่งดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง เพราะพวกเสี่ยวหมี่ไม่อยู่ ท่านป้าหลิวจึงเป็คนเข้ามาต้อนรับดูแลเป็ระยะๆ
เพราะเื่บาดหมางก่อนหน้านี้ ทำให้คนในหมู่บ้านโกรธเคืองอย่างยิ่ง ไม่มีใครอยากจะมีมารยาทกับสองแม่ลูกคู่นี้
แต่ถึงแม้จะโกรธเพียงใด พวกนายพรานก็ยังแยกแยะได้ รู้ว่าควรจะปฏิบัติกับแขกของตนอย่างไร
ฮูหยินสุยนึกถึงบิดาของบุตรที่อยู่ในคุก นึกถึงบุตรสาวที่บ้านที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย นึกถึงท่านเ้าเมืองที่ทอดทิ้งอย่างไร้น้ำใจ นางก็ปวดใจยิ่งนัก
คุณชายใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน
“ท่านแม่ พวกคนสกุลลู่ไร้มารยาทเกินไปแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
ฮูหยินสุยวางถ้วยชาในมือลง สายตาที่มองตรงไปยังบุตรชายนั้นดูเ็าขึ้นสามส่วน
“ฮุยเกอร์ กาลก่อนบิดาเ้าเป็ใหญ่ในเมืองนี้ ถึงแม้เ้าจะถูกแม่ควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ได้ทำเื่ผิดพลาดอะไร แต่จะอย่างไรก็โอหังเกินไป ยามนี้ บิดาเ้าสูญเสียอำนาจ วันหน้าความยากลำบากที่สกุลสุยของเราต้องพบเจอเกรงว่าจะยิ่งกว่าในวันนี้อีกมากนัก ถึงตอนนั้นเ้าจะทำอย่างไร? จะสะบัดชายเสื้อหนีปัญหาหรือ? อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ญาติผู้น้องของเ้าทำตัวโอหังรังแกผู้อื่น เรียกได้ว่าเป็ศัตรูคู่อาฆาตกับสกุลลู่ หากเ้าเป็พวกเขา ยามนี้จะยกน้ำชามารับรองศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่?”
คุณชายสุยถูกมารดาไล่ต้อนจนต้องก้มหน้าลง “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้วขอรับ”
“ลำบากเ้าแล้ว” ฮูหยินสุยเห็นบุตรชายเป็เช่นนี้ก็ปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อคิดถึงความยากลำบากที่ต้องพบเจอในอนาคต ก็ทำใจแข็งขึ้นมา “ต่อให้ครั้งนี้บิดาเ้าจะปลอดภัย วันหน้าก็คงไม่เหมือนเก่าแล้ว เ้าจะกลายเป็เสาหลักของตระกูล ไม่ว่าทำอะไรจะต้องระมัดระวังและรอบคอบให้มาก”
“ขอรับ ท่านแม่”
นอกประตู ลู่เสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนกำลังจะเปิดประตูเข้ามาแต่บังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองเสียก่อน พวกเขาแปลกใจมาก และรู้สึกยอมรับนับถือในตัวฮูหยินท่านนี้ ถึงแม้ตัวท่านที่ปรึกษาสุยจะเป็คนปล่อยปละละเลยไม่สั่งสอนหลานชาย แต่ฮูหยินของเขาคนนี้เป็สตรีที่มีสติปัญญาและมีเหตุมีผล
“แอ๊ด...”
ประตูถูกเปิดออกมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดบาดหูเล็กน้อย
เสี่ยวหมี่กับเฝิงเจี่ยนเดินเคียงคู่กันเข้ามา สองแม่ลูกสกุลสุยเห็นแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย
วันนี้เสี่ยวหมี่สวมชุดสีเขียวอ่อน ไม่ได้ปักลวดลายที่ซับซ้อนอะไร แต่ยิ่งขับให้ผิวแลดูขาวกระจ่าง ผมดำขลับ ตาโตมีชีวิตชีวาแลดูเฉลียวฉลาด เปียทั้งสองข้างมีผีเสื้อสีเงินติดไว้ที่หางเปีย มันสั่นไหวไปตามการเคลื่อนไหวของนางราวกับมีชีวิต
ส่วนเฝิงเจี่ยนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปักลายใบไผ่ ผ้ารัดเอวสีดำ ผมรวบสูงปักด้วยปิ่นไม้ คิ้วตาผ่าเผยแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจแต่คนรอบข้างก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ดี
แสงอาทิตย์ที่ด้านหลังส่องให้เงาของทั้งสองทอดทับกัน แลดูสนิทชิดเชื้อ
ฮูหยินสุยเป็คนแรกที่ดึงสติกลับมาได้ นางรีบยืนขึ้น ลังเลเล็กน้อยสุดท้ายก็คุกเข่าลง
คุณชายสุยใมาก แต่สุดท้ายก็คุกเข่าลงตามหลังมารดา
“พวกเราแม่ลูกมาเพื่อขออภัยแม่นางลู่”
เสี่ยวหมี่เองก็ใไม่น้อย คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าฮูหยินสุยจะทำถึงขั้นนี้ นางรีบค้อมตัวลงไปจะห้ามปราม แต่ถูกเฝิงเจี่ยนหยุดไว้
เสี่ยวหมี่มองไปอย่างประหลาดใจ เฝิงเจี่ยนกลับไม่พูดอะไร เขานำนางไปนั่งลงในตำแหน่งที่นั่งหลัก แล้วจึงนั่งลงข้างๆ
เสี่ยวหมี่พอจะเดาได้แล้วว่าเขา้าจะทำอะไร จึงแสร้งทำเป็เคร่งขรึมบ้าง กล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “ฮูหยินสุย พวกเราสกุลลู่เป็แค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ก็เข้าใจหลักการที่ว่าผู้มาเป็แขก เชิญท่านลุกขึ้นมาเถอะ หากคนนอกเห็นเข้าจะหาว่าพวกเราสกุลลู่ไม่รู้มารยาท”
ฮูหยินสุยแอบถอนใจเบาๆ เดิมทีนางเห็นว่าแม่นางลู่อายุยังน้อย จึงคิดจะใช้วิธีนี้ทำให้นางไขว้เขว ขอแค่เสี่ยวหมี่ใจอ่อนประคองนาง เื่ในวันนี้ก็นับว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
น่าเสียดาย เสี่ยวหมี่ไม่ได้ยื่นมือออกมา วิธีนี้คงไม่ได้ผล
“แม่นางลู่อย่าได้เข้าใจผิด ข้ารู้สึกผิดยิ่งนักกับเื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถึงได้เสียมารยาท”
เสี่ยวหมี่ไม่สนใจ นางกล่าวว่า “เชิญลุกขึ้นเถอะ ชาพื้นๆ เช่นนี้หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจแน่นอนๆ”
คุณชายสุยประคองมารดาลุกขึ้น จะอย่างไรเขาก็ยังอายุน้อย เมื่อรับรู้ได้ว่าถูกละเลย สายตาที่มองไปยังลู่เสี่ยวหมี่จึงไม่ค่อยเป็มิตรนัก สุดท้ายกลับประสานเข้ากับตาคู่นั้นของเฝิงเจี่ยน ช่างเ็าน่ากลัวจนเขาตัวสั่น จึงรีบก้มหน้าลงไปทันที
ฮูหยินสุยรับรู้ได้ นางเกรงว่าลูกชายจะสร้างปัญหา เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“แม่นางลู่ ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้แม่นางลู่ต้องอึดอัดใจเพราะหลานชายไม่ได้เื่คนนั้นของข้ามากเพียงใด เื่นี้เป็เขากระทำแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวข้องกับนายท่านของข้าแม้แต่น้อย เมื่อคืนนี้ท่านเ้าเมืองริบตำแหน่งนายท่านของข้า แล้วยังจับเขาเข้าคุกไปอีก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไรเลย...”
ตอนที่นางยังคิดจะพูดอะไรต่อนั้น ลู่เสี่ยวหมี่ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ความรู้สึกดีๆ ที่มีตอนที่อยู่นอกประตูนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง
คนเรานี่เห็นแก่ตัวกันจริงๆ ปล่อยปละละเลยคนของตนเอง แต่เข้มงวดกับผู้อื่น
“ฮูหยินสุยเอ่ยเช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ หากไม่มีท่านที่ปรึกษาสุยคอยให้ท้ายอยู่เื้ั ตู้โหย่วไฉจะกล้าแย่งที่ดินของบ้านข้าไปได้อย่างไร จะถึงขั้นมารังแกเราถึงหุบเขาหมีนี่ได้อย่างไร ท่านกล้าพูดว่าท่านที่ปรึกษาสุยไม่รู้เื่นี้เลยเช่นนั้นหรือ ยามนี้ท่านเ้าเมืองทำเช่นนี้ก็นับว่ายุติธรรมดี ฮูหยินสุยไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เชิญกลับไปเถิด”
เสี่ยวหมี่พูดจบก็เตรียมจะลุกขึ้น ฮูหยินสุยเห็นเช่นนี้ก็ร้อนใจรีบคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
“ขออภัยแม่นางลู่ด้วย เพราะข้าร้อนใจจึงพูดอะไรไม่ทันคิด จู่ๆ ที่บ้านก็เกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ขึ้น จึงขาดความยั้งคิดไปบ้าง บุตรชายของข้าเพิ่งจะแต่งงาน บุตรสาวคนเล็กยังมิได้หมั้นหมาย ยามนี้นายท่านก็มาเข้าคุกไปแล้ว สกุลสุยนับว่าล่มสลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตัวข้าดูแลแต่เื่ในเรือนหลังจึงไม่รู้ความ หากพูดจาไม่ถูกต้องไปบ้างขอแม่นางลู่โปรดอภัยด้วย”
เสี่ยวหมี่เห็นผมขาวที่แซมออกมาของฮูหยินสุย หากว่าไป๋ซื่อยังอยู่เกรงว่าก็คงอายุประมาณนี้ นางจึงรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ลุกขึ้นเถอะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน”
“ขอบคุณแม่นางลู่มาก”
ตอนที่ฮูหยินสุยยืนขึ้นนั้นก็ซวนเซเล็กน้อย อย่างไรเสียก็อายุมากแล้ว นางไม่ได้หลับดีๆ มาทั้งคืน แล้วยังต้องออกมาแต่เช้า คุณชายใหญ่สุยประคองมารดาลุกขึ้น ขอบตาแดงก่ำน้อยๆ ในความทรงจำของเขา มารดาไม่เคยเป็เช่นนี้มาก่อน ในใจจึงอดกล่าวโทษผู้เป็บิดาไม่ได้
“แม่นางลู่ นายท่านของข้าเป็เพราะพี่หญิงของเขาจากไปนานแล้ว เขาจึงโอ๋หลานชายคนนี้เป็พิเศษ เื่ในครั้งนี้ที่จริงก็เป็เพราะเขาให้ท้ายหลานชายตัวเอง ตามหลักแล้วการที่นายท่านของข้าจะต้องลำบากไปด้วยก็เป็เื่สมควร แต่หลายปีมานี้ ทุกการกระทำของนายท่านเองก็เป็การทำตามคำสั่งของท่านเ้าเมืองอีกที หากจะเป็ผู้รับเคราะห์แต่เพียงคนเดียวก็นับว่าเกินไป ครั้งนี้ที่ข้าพาบุตรชายมา หนึ่งก็เพื่อจะมาขอโทษแม่นางลู่และชาวบ้านทุกคนอย่างจริงใจ สองก็เพื่อนำโฉนดที่ดินมาคืน”
คุณชายใหญ่สุยได้สัญญาณจากมารดาก็รีบหยิบเอาโฉนดที่ดินในอกเสื้อออกมาวางบนโต๊ะทันที
เสี่ยวหมี่กวาดตาไปทีหนึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยิบขึ้นมา สายตาของฮูหยินสุยแลดูสิ้นหวัง เสี่ยวหมี่ก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาอีก ขบคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยปากออกมาว่า “ฮูหยินสุยคิดจะมาขอร้องเื่ใด”
“ง่ายมาก ขอแค่ตอนที่ทางการเรียกแม่นางลู่ไปสอบสวน ท่านอย่าโจมตีนายท่านของข้ามากเกินไปก็พอ ข้าเพียงหวังให้ทั้งครอบครัวอยู่รอดปลอดภัย กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่บ้านนอกก็พอ”
“เช่นนั้นตู้โหย่วไฉ..”
“เื่นี้เขาเป็คนก่อขึ้นมา แน่นอนว่าแม่นางลู่จะจัดการเช่นไรก็ย่อมได้ และให้เป็ไปตามกฎหมายเถอะ”
ฮูหยินสุยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ตัดสินใจละทิ้งหลานชายไม่ได้ความคนนั้น นางขอแค่ให้ครอบครัวของนางปลอดภัยก็พอ
เสี่ยวหมี่มองเฝิงเจี่ยน เห็นเขาพยักหน้าน้อยๆ เื่นี้จะอย่างไรท่านที่ปรึกษาสุยก็เป็แค่ผู้ช่วยอยู่เื้ัเท่านั้น คนร้ายจริงๆ ก็คือตู้โหย่วไฉ ยอมตกลงไปก่อนก็ไม่เสียหาย
“ได้ พวกเราสกุลลู่สามารถไม่เอาผิดเื่ที่ที่ปรึกษาสุยปล่อยปละละเลยหลานชายตัวเอง แต่ท่านเ้าเมืองจะจัดการอย่างไร เราสกุลลู่ก็ไม่อาจกำหนดได้ ฮูหยินท่านเข้าใจหรือไม่?”
“แม่นางลู่โปรดวางใจ”
ฮูหยินสุยถอนหายใจโล่งอก ยามที่ลุกขึ้นจะเอ่ยลานั้น เสี่ยวหมี่กลับดันโฉนดที่ดินกลับไป “โฉนดที่ดินพวกนี้ ท่านนำกลับไปเถอะ พวกเราสกุลลู่จะซื้อพื้นทีู่เาจากมือของทางการเท่านั้น”
ฮูหยินสุยใอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เก็บโฉนดที่ดินกลับไป
คนในหมู่บ้านเห็นแม่ลูกสกุลสุยขึ้นรถม้ากลับไปแล้ว ก็อดเข้ามารุมถามไม่ได้ว่า “เสี่ยวหมี่ พวกเขามาทำอะไรกันแน่? มาข่มขู่เ้าหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว พวกเราไม่กลัวพวกนั้นหรอกนะ เราถอยร่นเข้าไปในป่าเพิ่มอีกหน่อยก็ได้”
“ท่านลุงท่านอาทั้งหลายอย่าคิดมาก พวกเขามาขอโทษเ้าค่ะ เื่ก่อนหน้านี้ใกล้จะเรียบร้อยแล้วล่ะเ้าค่ะ หากราบรื่น ไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะซื้อูเากลับมาสำเร็จก็เป็ได้”
เสี่ยวหมี่ไม่อยากพูดอะไรมาก นางยิ้มแย้มบอกผลลัพธ์ให้ทุกคนรู้
เมื่อทุกคนได้ยินแล้วก็พากันเบิกบาน “ดีจริง หุบเขาแห่งนี้ทุกคนอยู่อาศัยกันมาหลายสิบปี หากว่าต้องจากไปก็คงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง”
คำพูดต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน
เสี่ยวหมี่เดินไปดูเสบียงอาหารที่เพิงทำกับข้าว มีหมั่นโถว มีผัดผัก ดูแล้วไม่เลว จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นเขาไปพร้อมเฝิงเจี่ยน
นางนึกถึงสิ่งที่เฝิงเจี่ยนกำชับไว้ก่อนลงจากเขาแล้วอดหน้าแดงไม่ได้
“พี่ใหญ่เฝิง คือว่า ข้าใจอ่อนอีกแล้ว ท่านไม่โกรธใช่หรือไม่เ้าคะ”
“ไม่หรอก เ้าพอใจก็พอแล้ว” เฝิงเจี่ยนยื่นมือออกมากุมมือเสี่ยวหมี่เอาไว้ นี่นับเป็ครั้งแรกที่คนทั้งสองใกล้ชิดกันขนาดนี้ เสี่ยวหมี่ร้อนรนเล็กน้อย แต่จะให้สลัดออกนางก็แสนเสียดาย จึงยืนแข็งค้างราวกับท่อนไม้ดวงหน้าแดงแจ๋ ดูน่ารักเหลือแสน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้