ทางด้านผู้เฒ่าหยางเรียกเกาเหรินและซูอีมาช่วยงานเก็บเกี่ยวข้าว
หากเป็ยามปกติ ซูอีคงจะเชื่อฟัง ส่วนเกาเหรินต้องปฏิเสธแน่ แต่วันนี้เขาได้กลิ่นเนื้อหอมๆ ลอยมาจากห้องครัว เขาจึงต้องเป็เด็กดีเชื่อฟังผู้เฒ่าหยาง
เสี่ยวหมี่ยิ้มทักทายพวกเขา นางเข้ามาลูบศีรษะเกาเหรินเบาๆ แล้วจึงช่วยซูอีพับแขนเสื้อ จากนั้นก็ยกข้าวใหม่ต้อนรับฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปในห้องครัว นางนำไปซาวล้างน้ำจากนั้นใส่ลงในกระทะ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากกระทะนั้น
นางตักข้าวในกระทะใส่ถ้วยสิบแปดใบจนพูน จนข้าวสวยในกระทะลดลงไปกึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ตักเนื้อหมูผัดน้ำแดงโปะทับบนข้าวทุกถ้วย จนเนื้อหมูในกระทะลดลงไปกึ่งหนึ่งเช่นกัน
เกาเหรินเห็นแล้วก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า “พอแล้ว ไม่ต้องเติมแล้ว เดี๋ยวบ้านเราไม่พอกินนะ”
ถึงแม้ซูอีจะไม่ได้ะโออกมาแบบนั้น แต่ดวงตาทั้งคู่ก็จับจ้องข้าวและเนื้อหมูตาไม่กระพริบด้วยท่าทางปวดใจเช่นกัน
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็อดขบขันไม่ได้ นางเคาะหน้าผากพวกเขาไปคนละที จากนั้นหมุนกายไปปั้นข้าวสวยกับเนื้อหมูผัดรวมกันเป็ข้าวปั้นอย่างง่ายๆ ใส่ปากพวกเขาคนละคำ “อย่าใจแคบสิ ยามปกติคนในหมู่บ้านใจกว้างกับพวกเ้ามาก รีบนำไปส่งให้ครบทุกบ้าน เมื่อพวกเ้ากลับมาแล้วเราค่อยกินข้าวกัน ข้าจะตุ๋นไข่ไก่ และผัดผักเพิ่มอีกสองสามอย่าง”
เมื่อเกาเหรินและซูอีได้ลิ้มรสอาหารในปากก็เงียบลงทันที พวกเขาเคี้ยวไปพลางวิ่งออกไปส่งข้าว
เฝิงเจี่ยนยืนอยู่หน้าประตู กระแอมเบาๆ
เสี่ยวหมี่หัวเราะเบาๆ ดวงตาโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว นางหยิบข้าวปั้นอีกก้อนหนึ่งส่งให้เขา “พี่ใหญ่เฝิง ท่านเองก็ลองชิมข้าวปั้นนี่ดูสิเ้าคะ ข้าเพิ่มหมูให้ตั้งสองชิ้น”
เฝิงเจี่ยนหน้าแดงน้อยๆ มือรับข้าวปั้นมา “อืม ได้”
เสี่ยวหมี่ยิ่งคลี่ยิ้มสดใสกว่าเดิม แล้วหมุนกายกลับเข้าไปง่วนอยู่ในครัวต่อ เหลือไว้แค่เฝิงเจี่ยนที่ยืนกินข้าวปั้นอยู่ด้านนอก
ในมุมหนึ่งของเรือนหลังใหญ่คล้ายว่าจะมีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นแต่เพียงไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ข้าวสีขาวราวหิมะ มีเนื้อหมูผัดสีน้ำตาลแดงโปะทับอยู่้า ดูชุ่มฉ่ำน่ารับประทานที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นข้าวที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คือรวงข้าวสีเหลืองทองที่พวกชาวบ้านคอยเฝ้าดูมาตลอดสี่เดือน ทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า
ยามนี้มาอยู่ในถ้วยแล้ว ทุกคนพากันตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก
ยามนี้ที่ตีนเขาเริ่มตั้งวงรับประทานอาหารกันแล้ว คนหนุ่มสาวกินอาหารกันไปก่อนแล้ว ข้าวสวยโปะเนื้อหมูถ้วยนี้จึงกลายเป็อาหารกลางวันของคนสูงอายุในบ้านเสียส่วนใหญ่แทน
นายท่านเฝิงยกตะเกียบขึ้นมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่กล้าคีบกิน ทำให้คนรอบข้างหัวเราะขบขัน รีบเร่ง “ตาเฒ่า รีบชิมเร็วเข้าสิ ข้ายังรอท่านแบ่งให้ข้าอยู่นะ”
“ได้ ได้ กิน มากินด้วยกัน”
เขาเองก็สงสารภรรยา จึงหยิบถ้วยมาแบ่งให้นางครึ่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ชิมไปหนึ่งคำ อดกล่าวชมออกมาไม่ได้ “ดีมาก ข้าวดี อร่อยมาก”
ภรรยาเขาก็ยิ้มแย้ม “นั่นน่ะสิ ข้าว่าอร่อยกว่าข้าวที่ซื้อมาจากในเมืองเสียอีก”
พูดจบก็เอ่ยถึงเื่ที่กังวลอยู่ก่อนหน้านี้ “ตาเฒ่า เ้าว่าวันหน้าพวกเราจะปลูกข้าวเองที่บ้านได้บ้างหรือไม่? วันหน้า...”
“หุบปาก”
นายท่านเฝิงตำหนิภรรยาเสียงเข้มอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “เคยบอกเ้ากี่ครั้งแล้ว เื่นี้ให้เสี่ยวหมี่เป็คนตัดสินใจ พวกเ้าอย่าได้คิดทำลายแผนการดีๆ ของเสี่ยวหมี่ เ้าคิดว่าข้าวพวกนี้คิดจะปลูกก็ปลูกได้ง่ายๆ หรือ”
ภรรยาเขาดูน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองพูดมากไป จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าก็แค่พูดเฉยๆ เท่านั้น ข้าวพวกนี้อร่อยเหลือเกิน จึงอยากให้คนที่บ้านได้กินกันทุกวันก็เท่านั้น”
“ละโมบ” นายท่านเฝิงก้มหน้ากินข้าว เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ยามนี้เราก็สุขสบายกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว หากทุกคนเอาแต่คิดแบบเ้าเกรงว่าวาสนาดีๆ คงจะปลิวหายไปหมด ยามปกติเวลาพวกผู้หญิงรวมตัวกันเ้าก็กำชับไว้หน่อย หากมีใครกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา จะโยนให้หมาป่ากินเสีย”
“นี่ เหตุใดต้องขู่เสียน่ากลัวเช่นนี้เล่า ทุกคนก็แค่สนทนากันสนุกๆ เท่านั้น ไม่มีใครโง่หรอก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเองรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว นายท่านเฝิงจึงคีบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยนางเป็การขอโทษ เป็ไปตามคาด เช่นนี้ก็นับว่าง้อให้ฮูหยินผู้เฒ่าแย้มยิ้มเบิกบานได้ เื่นี้จึงนับว่าจบลงด้วยดี
บทสนทนาเช่นนี้เหมือนว่าจะมีขึ้นในทุกบ้าน ถึงแม้ทุกคนจะตื่นเต้นกันมาก แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรทำตัวเอิกเกริกให้เื่นี้เล่าลือออกไป ดังนั้นข้าวสวยชุดแรกในภาคเหนือเหล่านี้จึงถูกพวกนายพรานแอบซ่อนเอาไว้เสียมิดชิด
ที่เรือนสกุลลู่ เสี่ยวหมี่เห็นว่าอากาศ่ต้นฤดูใบไม้ร่วงดีเป็พิเศษ แสงแดดเจิดจ้าแต่ไม่รู้สึกร้อน ลมก็พัดมาอย่างพอเหมาะ จึงตัดสินใจตั้งโต๊ะอาหารใต้ต้นไม้กลางแจ้งเสียเลย
ข้าวโถใหญ่ เนื้อหมูผัดน้ำแดงชามใหญ่ ไข่ตุ๋นสีเหลืองอ่อน นอกจากนี้ยังมีผัดถั่วฝักยาว มะเขือผัดหมูสับ มันฝรั่งเส้นผัดพริก...
กับข้าวจัดเรียงเต็มโต๊ะอาหาร ทุกคนล้อมวงนั่งด้วยกัน พี่รองลู่ตื่นเต้นเปิดไหสุรา รินให้ทุกคนในบ้านยกเว้นเสี่ยวหมี่และเสี่ยวเอ๋อ
“มา เรามาดื่มเฉลิมฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวกันเถอะ”
บิดาลู่ยิ้มแย้มยกถ้วยสุราชนกับทุกคนอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น
ทุกคนต่างมีสีหน้ายินดี เมื่อดื่มสุราจนหมดถ้วยแล้วจึงเริ่มขยับตะเกียบ
แม้แต่เฝิงเจี่ยนที่ยามปกติสงบเสงี่ยมรักษามารยาท วันนี้ก็ขยับตะเกียบไม่แพ้ใคร เขายังช่วยเสี่ยวหมี่แย่งเนื้อหมูผัดน้ำแดงอีกด้วย
เสี่ยวหมี่รู้สึกขบขันยิ่งนัก พอนางจะแบ่งให้ซูอี เกาเหรินก็ไม่พอใจ นางจึงคีบใส่ปากเขาไปชิ้นหนึ่งเพื่อปิดเสียงน่ารำคาญ
ผู้เฒ่าหยางยังคงกินอย่างเรียบร้อยเช่นเดิม แต่หน้ากลับแดงก่ำเพราะสุราที่ลงท้องไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า
“โชคดีนัก ช่างเป็โชคดีของแคว้นต้าหยวนจริงๆ”
ผู้เฒ่าหยางดีใจจนน้ำตาคลอ เขาลุกขึ้นอย่างโงนเงนเดินข้ามมาคุกเข่าลงตรงหน้าเสี่ยวหมี่ “แม่นางลู่ ท่านเป็ดาวนำโชคของต้าหยวนจริงๆ ภาคเหนือมีข้าวบริโภค ภาคใต้สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้สองครั้ง เช่นนี้ก็จะไม่มีคนต้องอดตายแล้ว ต้าหยวนไม่ต้องกลัวภัยแล้งอีกแล้ว บรรพชนสกุลลู่มีคุณ ต้าหยวนมีโชค ท่านช่างเป็...”
“ท่านลุงหยาง รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า บนพื้นมันเย็นนะเ้าคะ” เสี่ยวหมี่ใมาก นางไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาพูดนักแต่ก็รีบยื่นมือไปประคองเขา กลับเป็เฝิงเจี่ยนที่แย่งหน้าที่นี้ไป
“ลุงหยางเมาแล้ว” ไม่รู้ว่าเฝิงเจี่ยนสกัดจุดใดบนร่างผู้เฒ่าหยาง ท่านผู้เฒ่าจึงหลับคอพับไป เวลานั้นเกาเหรินก็เข้ามารับ่ประคองผู้เฒ่าหยางกลับเรือนพักฝั่งตะวันออกไปทันที
เสี่ยวหมี่กระพริบตาปริบๆ นางรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ขบคิดเล็กน้อยแล้วถามว่า “ท่านลุงหยางเองก็เป็บัณฑิตคนหนึ่งกระมัง ฟังจากคำพูดเมื่อครู่นี้ดูรักใคร่และห่วงใยชาวประชาจริงๆ”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าตอบรับว่า “เหมือนว่าเขาจะล้มเหลวในการสอบเข้ารับราชการ จึงถูกบิดาข้าเอาตัวมาอยู่ข้างกาย”
พูดจบก็ช่วยคีบมันฝรั่งเส้นใส่ถ้วยของเสี่ยวหมี่ แล้วจึงเอ่ยว่า “รีบกินเถอะ ประเดี๋ยวจะเย็นหมด”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่เองก็ไม่คิดอะไรมาก กินพลางยื่นมือไปคีบเนื้อหมูให้ซูอี จนเขายิ้มอวดฟันขาวเจิดจ้าออกมา แล้วรีบกินเนื้อหมูเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเกาเหรินกลับมาแล้วเห็นว่าเนื้อหมูผัดน้ำแดงถูกกินจนหมดก็โวยวายขึ้นมา ส่วนพี่รองลู่ก็ไม่เสียทีที่ขึ้นชื่อเื่สร้างปัญหาให้น้องสาว เขาทะเลาะกับเกาเหรินได้ไม่กี่ประโยค ก็เอ่ยวาจาขายน้องหญิงของตนเองจนหมด
เสี่ยวหมี่ทั้งฉิวทั้งขัน ให้สัญญากับเกาเหรินว่าสองวันให้หลังจะทำให้เขากินคนเดียวเป็พิเศษ าถึงสงบลงได้
เสี่ยวเอ๋อใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวในมืออย่างไร้ชีวิตชีวา เสี่ยวหมี่เดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ก็ตั้งใจทำเป็ไม่รู้ต่อไป
ถึงแม้จะบอกว่าตอนนี้สถานการณ์จะดีขึ้นมาก พรุ่งนี้เมื่อไปศาลาว่าการก็คงจะได้ซื้อูเาสองลูกนั้นกลับมา แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีก เื่ที่บ้านของเสี่ยวเอ๋อเป็เื่ใหญ่เกินไป สกุลลู่เล็กๆ นี้ไม่อาจรับไหว แม้แต่ผู้ตรวจการมณฑลเองก็ไม่แน่ว่าจะรับไหว...
แต่พี่รองลู่กลับละเอียดอ่อนขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เห็นว่านางในดวงใจของเขาอารมณ์ไม่ดี จึงวางตะเกียบในมือลงแล้วพานางขึ้นเขาไปผ่อนคลายจิตใจ และถือโอกาสขโมยหมั่นโถวและหมูผัดน้ำแดงที่เหลืออยู่ในครัวไปด้วย
เสี่ยวหมี่ก็ทำเป็ลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง...
…
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวหมี่ตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแต่งตัว ตอนที่เดินออกไปยังเรือนหน้า ก็เห็นพี่ใหญ่เฝิงและผู้เฒ่าหยางกำลังนั่งนับเมล็ดข้าวเปลือกอยู่บนโต๊ะหินกลางลาน จึงยิ้มทักทาย “พี่ใหญ่เฝิง ท่านลุงหยาง พวกท่านตื่นเช้ากันเสียจริง งานนี้มอบให้เป็หน้าที่ของซูอีกับเกาเหรินก็ได้แล้วเ้าค่ะ”
เฝิงเจี่ยนยิ้มปัดฝุ่นที่มือ “ของพวกนี้จะต้องส่งไปให้บิดาข้า จึงต้องคัดแยกและตรวจสอบด้วยมือตัวเอง”
“อ้อ เช่นนี้เอง” เสี่ยวหมี่กลอกตาไปมา หน้าแดงน้อยๆ นางเลียบเคียงถามขึ้นว่า “ขนมเกลียวทอดที่ทอดไว้ก่อนหน้านี้ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งห่อ ข้าซ่อนไว้อย่างมิดชิดขนาดซูอีกับเกาเหรินก็หาไม่เจอ อืม คือว่า หากว่าท่านไม่รังเกียจ ก็นำกลับไป...แสดงความกตัญญูให้ผู้าุโดีหรือไม่?”
เฝิงเจี่ยนอึ้งไปน้อยๆ จากนั้นก็แย้มยิ้มไปถึงดวงตา ทำให้เสี่ยวหมี่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม รีบอธิบายว่า “พวกพี่รองกินของหวานมากเกินไปจะฟันผุ แล้วขนมนี่ก็ไม่เน่าเสียได้ง่าย ข้าจึงคิดว่า...เฮ้อ ช่างเถอะ หากท่านจะเอาไปก็เอาไป ไม่เอาไปก็ช่างเถอะ ข้าไปทำกับข้าวแล้ว”
เสี่ยวหมี่ขัดเขินยิ่งนัก รีบหมุนกายจากไปทันที
เฝิงเจี่ยนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทำให้ผู้เฒ่าหยางที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกอิจฉาขึ้นมา ส่วนเกาเหรินที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนกลับเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเป็อะไรไป ยิ้มอย่างกับคนโง่”
แน่นอนว่าเขาย่อมได้รับสายตาพิฆาตกลับมา ผู้เฒ่าหยางจึงรีบคลี่คลายสถานการณ์ทันที “อีกเดี๋ยวเมื่อเตรียมของเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปส่งให้พวกเสวียนิ ให้รีบส่งกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”
“รู้แล้ว” เกาเหรินเบ้ปาก หมุนกายวิ่งไปยังห้องครัว เพียงไม่นานก็มีเสียงดุด่าปนขบขันของเสี่ยวหมี่ดังออกมา “ห้ามแตะกล่องนี้ ถ้าอยากกินค่อยกินวันหลัง ของนี่เก็บเอาไว้ให้ผู้าุโนะ”
เฝิงเจี่ยนยกยิ้มมุมปาก เมล็ดข้าวตรงหน้ายิ่งดูงดงามกว่าเดิม ทั้งยังส่องประกายเสียด้วย...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้