“พ่อบุญธรรม แล้วปัญหาของสำนักชิงเหอ เหตุใดท่านจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากอรหันต์เหลียนเซิงเล่า?” กู่ฉินถามเสียงเรียบ พลางขมวดคิ้วด้วยความกังขา ส่วนดวงตาก็เอาแต่จับจ้องไปยังสองร่างที่เล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ห่างไป
“คนเราสามารถติดค้างน้ำใจกันได้ แต่สำหรับบางคน ก็ไม่ควรที่จะติดค้างต่อกัน” กู่ไห่สั่นศีรษะ
“หืม?” กู่ฉินยังคงสงสัย
“อีกอย่าง สำหรับเื่ที่สำนักชิงเหอนั้น เราจำเป็ต้องรบกวนอรหันต์เหลียนเซิงด้วยหรือ?” กู่ไห่ยิ้ม
“แต่สำนักชิงเหอมีค่ายกลใหญ่คอยปกป้องอยู่โดยรอบ แม้จะมีเหมืองหินิญญาอยู่ แต่ตอนนี้คงถูกซ่งเซิงผิงขนไปจนเหลือแค่เหมืองเปล่า หากจะขุดหากันใหม่ ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน เมื่อไม่มีหินิญญา พ่อบุญธรรมจะวางค่ายกลได้อย่างไร?” กู่ฉินขมวดคิ้ว
“สำหรับหินิญญานั้น ข้าหาได้อยู่แล้ว” กู่ไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย
“หืม?”
“เ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าสกุลกู่ของเราทำกิจการอะไร?” กู่ไห่ยกยิ้ม
“สกุลกู่ของเรา? ค้าขาย... ยืมไก่เพื่อวางไข่?” สีหน้าของกู่ฉินพลันเปลี่ยนไป
“ใช่! โลกนี้มีหนทางมากมาย ในเมื่อเรา้าใช้ ไยจึงไม่ยืมผู้อื่น? แค่เสนอดอกเบี้ยให้มากพอ พวกเขาก็ให้เรายืมแล้ว มิใช่หรือ?” กู่ไห่กล่าว
“แต่ท่านจะยืมมาจากใคร? พวกเรา...” กู่ฉินแสดงสีหน้าสับสน แต่ไม่นาน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
“พ่อบุญธรรม ท่านหมายความว่าจะยืมจากเหล่าผู้ฝึกตน ที่แอบเฝ้ามองจวนสกุลกู่ของเราอยู่ข้างนอกนั่นหรือ? ยืมผู้ที่คิดจะขโมยลูกท้อร้อยปีเนี่ยนะ?” กู่ฉินมองกู่ไห่ด้วยความไม่เข้าใจ
“อืม... เหตุใดถึงทำไม่ได้ล่ะ?” กู่ไห่ยิ้ม
“แต่... เอาเช่นที่พ่อบุญธรรมว่าก็ได้” กู่ฉินตอบกลับ ทว่าก็ยังรู้สึกกังวลไม่น้อย ที่ต้องทำเช่นนี้
“ลองมองว่ามันเป็การค้าขาย หากพวกเรายึดสำนักชิงเหอมาได้ หินิญญาก็จะไม่รั่วไหลไปไหนมิใช่หรือ? ถึงตอนนั้น หินิญญาที่เราได้มา จะต้องมากกว่าเงินที่เราต้องจ่ายคืนแน่ อย่าคิดอะไรมากนัก มองว่านี่เป็เพียงการแลกเปลี่ยนก็พอ” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!”
“รีบไปจัดการเถอะ ยืมในนามของข้าและหออี้ผิน ใช้ลูกท้อร้อยปีค้ำประกัน ข้าจะวางลูกท้อร้อยปีให้เห็นกันชัดๆ” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!”
...
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกจวนต่างก็ได้รับใบประกาศ ที่ทางจวนสกุลกู่นำออกมาแจกจ่ายให้แก่ทุกคน
“เร็วเข้า! มาดูลูกท้อร้อยปีกัน... กู่ไห่จะนำมันออกมาให้ดู” ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งะโขึ้น
เมื่อได้ยิน ผู้คนจำนวนมากต่างก็วิ่งเข้าห้อมล้อมทันที
แต่กลับพบว่า จวนสกุลกู่ยังคงปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทว่าที่บริเวณใกล้ๆ ชายขอบค่ายกล มีแท่นสูงปรากฏขึ้น โดยมีลูกท้อสีทองวางอยู่้า
ลูกท้อร้อยปีอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอแค่ะโขึ้นไป ก็จะได้มันมาไว้ในกำมือแล้ว
แต่กลับไม่มีใครกล้าเสี่ยงขึ้นไปไขว่คว้า เพียงมองลูกท้อร้อยปีด้วยความสับสน
“ลูกท้อร้อยปี... เป็ลูกท้อร้อยปีจริงๆ หรือ?”
“เมื่อครู่มีคนบอกข้าว่า กู่ไห่จะยืมหินิญญาจากพวกเรา ระยะเวลาในการยืมคือหนึ่งเดือน หลังจากครบกำหนด ก็จะได้คืนเป็สองเท่า”
“เ้าล้อข้าเล่นแล้ว? กู่ไห่หรือจะยืมหินิญญาจากเรา?”
“หลังจากหนึ่งเดือน จะได้คืนกลับมาเป็สองเท่า!”
“ลูกท้อร้อยปีมีสรรพคุณสูง สามารถใช้ค้ำประกันได้”
“ด้วยชื่อของหออี้ผิน เราจะได้หินิญญาคืนมาจริงๆ ใช่หรือไม่?”
เหล่าผู้ฝึกตนต่างแสดงสีหน้าข้องใจ พลางมองลูกท้อร้อยปีที่อยู่ไม่ไกลด้วยแววตาละโมบ แต่ภายใต้ความโลภนี้ กลับแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปแย่งชิงมันมา
จนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนจะแย่งชิงได้อย่างง่ายดาย
กู่ไห่้าจะยืมหินิญญา?
“หินิญญาที่เขายึดมาจากพรรคต้าเฟิง ยังไม่พออีกหรือ?”
“ใช่แล้ว! กู่ไห่คิดดีแล้วหรือ... ข้าไม่มีทางให้เขายืมแน่”
หลายคนไม่ยินยอม แต่กลับมีบางคนที่เต็มใจให้กู่ไห่กู้ยืม
นอกค่ายกลใหญ่ จวนสกุลกู่ได้จัดเตรียมลาน ซึ่งตั้งโต๊ะเอาไว้ และให้บ่าวรับใช้มาเขียนเอกสารกู้ยืม โดยมีกลุ่มคนโฉดบางส่วนทำหน้าที่องครักษ์
“จริงหรือ? ที่ว่าหลังจากครบหนึ่งเดือน ข้าจะได้คืนกลับมาเป็สองเท่า?” ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่หน้าลานถามขึ้น
“เ้าลองไปถามผู้คนดูสิ ว่าเมื่อนายท่านของข้าเอ่ยปากแล้ว เคยคืนคำหรือไม่” ที่โต๊ะนั้น เถ้าแก่าุโกำลังกล่าวยืนยัน
“เช่นนั้น ข้าจะให้ยืมหินิญญาระดับล่างสิบก้อน!” หลังไตร่ตรองครู่หนึ่ง ผู้ฝึกตนคนนั้นจึงตอบตกลง
“ต้องขออภัยด้วย นายท่านของข้าได้กำชับไว้ ว่าต้องยืมเป็หินิญญาระดับกลางสิบก้อนขึ้นไปเท่านั้น หากน้อยกว่านี้คงจะรับไว้ไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาในการลงทะเบียน” เถ้าแก่ผู้นั้นกล่าว
“อะไรกัน?” ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถลึงตาใส่
หินิญญาระดับกลางสิบก้อน ก็เท่ากับหินิญญาระดับล่างหนึ่งพันก้อน กู่ไห่จะโลภเกินไปแล้ว
“หลังจากนี้หนึ่งเดือน ก็จะได้หินิญญาระดับกลางกลับคืนไปถึงยี่สิบก้อน เ้าเคยเจอข้อเสนอดีเช่นนี้จากที่ใดหรือไม่? มีเพียงที่ตระกูลนายท่านของข้าเท่านั้น ชื่อเสียงของหออี้ผินไม่น่าเชื่อถือหรืออย่างไร? เร็ว... เร็วเข้า! หากเ้าไม่ให้ยืม ก็อย่าขวางทางคนข้างหลัง” เถ้าแก่กล่าวอย่างเ็า
“ใช่แล้ว! ถ้าเ้าไม่ให้ยืม ก็ออกไปยืนมองลูกท้อร้อยปีเสีย ข้าจะได้เข้าไปทำเื่ให้เขากู้ยืม”
“ถูกต้อง! ด้วยชื่อเสียงของหออี้ผิน ข้าก็ให้เขายืมเช่นกัน”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเริ่มถกเถียงกัน ส่วนคนโฉดบางส่วนที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ฝึกตน ก็พลอยส่งเสียงโห่ร้องผสมโรงไปด้วย
“ใครบอกว่าข้าจะไม่ให้ยืม นี่หินิญญาระดับสูงหนึ่งก้อน” ผู้ฝึกตนคนนั้นเอ่ย
“หินิญญาระดับสูงหนึ่งก้อน หลังจากนี้ไปหนึ่งเดือน จะได้รับหินิญญากลับคืนสองก้อน จงทำสัญญาเสีย ไปตรงนั้นและลงนามให้กู้ยืม” เถ้าแก่กล่าวเสียงต่ำ
ผู้ฝึกตนคนนั้นทำสัญญาด้วยความงุนงง หยิบเอกสารให้กู้ยืม ก่อนถูกพาตัวไปยังจุดลงนามที่อยู่ข้างๆ กัน เมื่อครบถ้วนกระบวนความ การลงทะเบียนให้กู้ยืมก็เป็อันเสร็จสิ้น
ผู้ฝึกตนคว้าเอกสารกู้ยืมขึ้นมามองด้วยความงุนงง จะได้รับหินิญญาคืนในอีกหนึ่งเดือนถัดไป?
“ศิษย์พี่ ท่านให้ยืมหินิญญาระดับสูงก้อนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นจะได้กลับคืนมาสองเท่าจริงหรือ?” ชายที่อยู่ข้างๆ กัน ถามด้วยความอยากรู้
“ไร้สาระ! เ้าไม่เชื่อกู่ไห่ ไม่เชื่อหออี้ผินอย่างนั้นหรือ? อย่างหออี้ผินหรือจะโกงเรา? หลังจากนี้หนึ่งเดือน พวกเ้าก็จะได้คืนกลับมาเป็หินิญญาระดับสูงถึงสองก้อน ยังไม่รีบไปอีก? ช่างโง่เขลานัก!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งะโขึ้น
พริบตา คนที่้าให้ยืมหินิญญา ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บัดนี้ ดูเหมือนทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี
...
ในจวนสกุลกู่ บนหอคอยทะยาน์
กู่ไห่กำลังมองไปด้านนอกค่ายกล ที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายเล็กน้อยอย่างเงียบๆ
“พ่อบุญธรรม ตอนนี้มีผู้ฝึกตนจำนวนมาก ยอมให้เรายืมหินิญญาแล้ว” กู่ฉินยิ้ม
“ที่ยืมได้ มิใช่เพราะข้า แต่เป็เพราะหออี้ผินต่างหาก ชื่อของหออี้ผินนั้นน่าเชื่อถือมากในกลุ่มผู้ฝึกตน
อีกอย่าง เป็เพราะเราใช้ลูกท้อร้อยปีค้ำประกันเพื่อแสดงความจริงใจ นอกจากนี้ เงื่อนไขการกู้ยืม ที่ระบุว่าจะคืนหินิญญากลับไปให้สองเท่า กำไรเช่นนี้ก็เป็สิ่งที่ล่อใจ ที่ทำให้พวกเขายินดีให้เรายืม
ทว่า จำนวนหินิญญาที่ต้องหามาจ่ายคืน ก็มากเช่นกัน ดังนั้นเราย่อมต้องแบกรับความเสี่ยง แต่ตอนนี้มีทางเลือกไม่มากนัก จึงจำเป็ต้องเสี่ยงแล้ว”
...
สามวันต่อมา การลงทะเบียนให้กู้ยืมหินิญญาก็จบลง
นอกจวนสกุลกู่ ขึงผ้าผืนใหญ่ที่เขียนชื่อของผู้ที่ให้ยืมหินิญญา เพื่อให้ทุกคนมองเห็น และตรวจสอบได้
อีกทั้งลูกท้อร้อยปีก็ถูกนำออกมาจัดวาง ให้อยู่ในสายตาของผู้คน เพื่อเป็เครื่องยืนยันว่าจะไม่มีการโกงเกิดขึ้น
ผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงพากันวนเวียนอยู่ที่เดิม และรอให้ครบกำหนดเวลาอย่างใจจดใจจ่อ
ส่วนกู่ไห่ ก็พากองกำลังคนโฉดสามพันนาย ออกจากจวนสกุลกู่ไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อเดินทางไปยังสำนักชิงเหอ
...
สำนักชิงเหอ
เพล้ง!
แจกันดินเผาถูกซ่งเซิงผิงทุ่มลงกับพื้นจนแตกละเอียด ขณะนี้ใบหน้าของเขาแสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่อาจยับยั้ง
“กู่ไห่โกหกข้าอย่างนั้นหรือ? สาส์นท้ารบนี่ก็เป็ของปลอม? เขาหลอกข้า เพื่อเดินทางไปยังสำนักซ่งเจี่ย?” เขาเอ่ย พลางขบฟันแน่น
เหล่าศิษย์ซ่งเจี่ยที่อยู่ใกล้ๆ เพียงก้มหน้างุด ไม่พูดจาสักคำ
“คนไร้ประโยชน์เช่นพวกเ้า หากไม่ใช่เพราะท่านฟู่มา ข้าก็คงเป็คนโง่ ที่ถูกปิดหูปิดตาอยู่แบบนี้เรื่อยไป” ซ่งเซิงผิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
ฟู่เสวี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกแก้วชาขึ้นดื่ม พลางเหลือบมองทุกอย่างตรงหน้า ด้วยแววตาเยียบเย็น “เอาละ! หัวหน้าสำนักซ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเอ่ยถึงเื่นี้ ฝั่งตาเฒ่าหัวหน้าสำนักชิงเหอนั่น ตกลงได้เื่อะไรบ้าง?”
ซ่งเซิงผิงระงับโทสะ สูดหายใจลึก ก่อนส่ายหน้า แล้วเอ่ย “ปากแข็งมาก ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น”
“ปากแข็ง? เช่นนั้น ก็ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นสิ” ฟู่เสวี่ยนกล่าวเสียงต่ำ
“หืม?”
“เขาอยู่ในระดับหยวนอิง การเปลี่ยนร่างเขา ต้องใช้พลังมากแน่ แต่เพื่อชีพจรั ต้องลองดู พาข้าไปที่นั่น ข้าจะเปลี่ยนเขาเอง” ฟู่เสวี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ได้!” ซ่งเซิงผิงตอบรับ
...
สองวันต่อมา คนทั้งสองก็กลับมายังห้องโถงใหญ่ของสำนักชิงเหออีกครั้ง
ฟู่เสวี่ยและซ่งเซิงผิง ทิ้งกายลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน สีหน้าของพวกเขาในยามนี้ดูกล้ำกลืนนัก
“ไปยมโลก? ไต้ซือหลิวเหนียนผู้นั้นและเว่ยเซิงเหริน คือตัวปัญหาอย่างแท้จริง” ฟู่เสวี่ยกล่าวเสียงต่ำ
“เขาไม่รู้ว่าไต้ซือหลิวเหนียนจะกลับมาเมื่อใด รู้เพียงว่าจะออกมาจากที่ใดสักแห่งในสำนักชิงเหอ ช่างยุ่งยากนัก! หากรู้ว่าพวกเขาจะกลับมาจากช่องทางใด ข้าก็จะได้ดักซุ่มโจมตี และจับตัวไต้ซือหลิวเหนียนมา” ซ่งเซิงผิงกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่น
“ค้นหาทุกที่ในสำนักชิงเหอต่อไป!” ฟู่เสวี่ยกล่าวเสียงเข้ม
ซ่งเซิงผิงพยักหน้า
“ส่วนกู่ไห่ ตอนนี้มีอรหันต์เหลียนเซิงอยู่ แต่ดูจากปฏิกิริยาของไต้ซือที่มีต่อข้าแล้ว ดูท่าจะไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเื่ของเราแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็ดี แต่เราก็ไม่อาจบุกจวนสกุลกู่ได้” ฟู่เสวี่ยกล่าว พลางขมวดคิ้ว
“กู่ไห่เคยไปสำนักซ่งเจี่ยแล้วครั้งหนึ่ง หากเขาคิดที่จะกลับไปอีกครั้งล่ะ? ด้วยกลลวงของกู่ไห่ ศิษย์ในสำนักจะไม่ถูกหลอกหรือ”
ฟู่เสวี่ยกล่าวด้วยใบหน้ากล้ำกลืน “ใช่! ดังนั้นข้าต้องกลับไป เ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วย เขาอาจจะมาที่สำนักชิงเหอก็เป็ได้”
“ข้าอยู่ในสำนักชิงเหอ ส่วนท่านก็อยู่ที่สำนักซ่งเจี่ย อย่างไรก็ระวังตัวด้วย หากรู้ว่ากู่ไห่จะรับมือยากเช่นนี้ ข้าคงกำจัดมันไปนานแล้ว” ซ่งเซิงผิงกล่าวเสียงเหี้ยม
ฟู่เสวี่ยพยักหน้า ก่อนบินออกจากห้องโถงใหญ่ กลับไปยังสำนักซ่งเจี่ยอย่างรวดเร็ว
ซ่งเซิงผิงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เหาะจากไป ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมเอ่ย “ฟู่เสวี่ย ข้าลงทุนเดิมพันด้วยสำนักซ่งเจี่ยทั้งหมด เ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ เพื่อชีพจรั ไม่ว่าต้องสูญเสียสักเพียงใด ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!”
...
ภายในป่า
กู่ไห่วิ่งนำกลุ่มคนโฉดสามพันคนไปอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน วางลูกท้อร้อยปีเอาไว้เช่นนั้นจะปลอดภัยหรือ หากถูกขโมยไปเล่า?” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างกังวล
พวกเขาเดินทางออกจากจวนสกุลกู่มา โดยทิ้งลูกท้อร้อยปีให้วางอยู่ในที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แต่... ถึงจะยืมหินิญญามาเป็จำนวนมาก ทว่าก็หาได้มีมูลค่ามากไปกว่าลูกท้อร้อยปี
“ไม่ต้องห่วง! ผู้ฝึกตนเ่าั้จะช่วยดูแลมันเอาไว้ ไม่มีใครขโมยไปได้แน่” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!”
“อีกอย่าง ถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ จะช่วยเ้าได้อย่างไร? ข้ารู้ว่าลูกท้อร้อยปีมีค่ามาก แต่เพราะเรานำมันไปค้ำประกันกับพวกเขา จึงสามารถหาหินิญญามาได้มากมายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
หากไม่มีหินิญญาเหล่านี้ แล้วเราจะทะลวงค่ายกลของสำนักชิงเหอได้อย่างไร? หวังเพียงว่าเ้าสำนักชิงเหอจะยังมีชีวิตอยู่” กู่ไห่ส่ายศีรษะ
“ขอรับ! ขอบคุณนายท่านมาก” เฉินเทียนซานกล่าว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้