จางเจิ้นอันหาได้ใส่ใจคำพูดเ่าั้ไม่ ด้วยเขาไม่ถนัดเื่การโต้เถียง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการกระทำ หากพวกนางเห็นว่าเขาสอนไม่ได้ ก็ให้มาลองฟังด้วยหูตนเอง หากฟังแล้วยังคงรู้สึกว่าเขาสอนเด็กเหล่านี้ไม่ได้ ก็ปล่อยวางเสียเถิด มิใช่เื่ใหญ่โตอันใดนัก
เขาให้เหล่าสตรีเ่าั้นั่งฟังอยู่ด้านหลังห้องเรียน ส่วนสตรีบางคนที่ไม่มีที่นั่งก็ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านไปหาเก้าอี้ยาวมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้ แล้วจัดแจงให้พวกนางนั่งลงจนเรียบร้อย
"บัณฑิตพึงสงบจิตสงบใจ มิหวั่นไหวต่อสิ่งรบกวนภายนอก เมื่อมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ ยิ่งต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี"
จางเจิ้นอันกล่าวกับเหล่าเด็กน้อยด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะเดินไปกระซิบกับผู้ใหญ่บ้านด้วยทีท่าสบายๆ ให้ช่วยบอกเหล่าสตรีเ่าั้อย่าส่งเสียงดัง
ถึงแม้ว่าในตอนแรกเหล่าสตรีเ่าั้จะมาด้วยท่าทีข่มขู่คุกคาม ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาในห้องเรียน ซึ่งถือเป็สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบัณฑิต แม้แต่เซี่ยงซื่อผู้ปากกล้าก็ยังต้องสงบปากสงบคำลง เพียงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้เสียงอ่านหนังสืออันดังกระหึ่มภายในห้องเรียนกระทบโสตประสาท พวกนางรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ เพียงปรารถนาที่จะจากไปจากที่นี่โดยเร็ว
ทว่าเมื่อจางเจิ้นอันเริ่มนำพาเด็กๆ อ่านหนังสือ ความรู้สึกเช่นนั้นของพวกนางก็ค่อยๆ เลือนหายไป แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านเองก็ยังรู้สึกว่าบรรยากาศสดชื่นแจ่มใสขึ้นมา
สำเนียงภาษาทางการของจางเจิ้นอันนั้นถูกต้องชัดเจนเป็อย่างยิ่ง แม้จะสวมเพียงอาภรณ์เนื้อหยาบ ทว่ายามเมื่อถือตำราอยู่ในมือ เขาก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน มีกลิ่นอายของความเป็ผู้รู้แผ่ออกมาอย่างเด่นชัด ทำให้เหล่าสตรีที่เคยซุบซิบนินทาต่างพากันหุบปากลงโดยพร้อมเพรียง
ในตอนแรก ผู้ใหญ่บ้านเองก็มิได้เห็นดีเห็นงามกับการสอนของจางเจิ้นอันมากนัก เพียงแต่รู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมเด็กเหล่านี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ เงินที่จ่ายไปก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว ทว่าเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเองในตอนนี้ เขาจึงตระหนักว่าจางเจิ้นอันไม่ใช่เพียงชายร่างกำยำที่ใช้แต่กำลัง หากแต่เป็ผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง
เหล่าผู้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องเรียน พลันรู้สึกราวกับตนเองกำลังแหงนมองยอดเขาสูงตระหง่าน จางเจิ้นอันและเสียงทุ้มนุ่มของเขาเปรียบดั่งสายลมอันอบอุ่นที่พัดผ่านขุนเขา ส่วนเหล่าเด็กน้อยก็คือธารน้ำใสที่ไหลรินอย่างเริงร่าอยู่ ณ เชิงเขานั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูงดงามลงตัวยิ่งนัก และโดยไม่รู้ตัว เวลาพักกลางวันก็มาถึง จางเจิ้นอันวางตำราลง อนุญาตให้เด็กๆ ออกไปวิ่งเล่นได้ตามใจ เด็กๆ ก็ล้วนเชื่อฟังเป็อย่างดี ผู้ที่ไม่มีธุระอันใดก็นั่งคัดลายมือฝึกฝนอยู่ในห้องเรียน ส่วนผู้ที่ออกไปเล่น ก็จะกล่าวลาจางเจิ้นอันอย่างนอบน้อมก่อนเสมอ
จางเจิ้นอันยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้นดื่มน้ำอย่างไม่เร่งร้อน หลังจากวางกระบอกไม้ไผ่ลง ก็เหลือบมองไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเล็กน้อย กล่าวว่า "พวกท่านยังไม่ไปอีกหรือ? หรือว่าปรารถนาจะอยู่ฟังบทเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกสักบท?"
"พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว"
เหล่าสตรีเ่าั้หน้าแดงก่ำ รู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่พวกตนด่วนตัดสินใจมาหาเื่ผู้อื่น พวกนางเกรงว่าจางเจิ้นอันจะโกรธเคืองและลงโทษบุตรหลานของตน เมื่อใกล้จะจากไป สีหน้าท่าทีจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กล่าวขอโทษขอโพยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ขอให้เขาอย่าได้ถือสา พวกนางเป็เพียงเพราะเป็ห่วงบุตรหลานมากเกินไปเท่านั้น
จางเจิ้นอันทราบถึงความกังวลของพวกนางดี จึงกล่าวเพียงเบาๆ ว่า "ข้าหาได้รู้ไม่ว่าพวกท่านเป็มารดาของเด็กคนใด"
เหล่าสตรีเ่าั้จึงวางใจลง แล้วพากันฝากฝังให้จางเจิ้นอันช่วยดูแลบุตรหลานของพวกนางให้ดี บรรดาสตรีที่เคยกลัวว่าจางเจิ้นอันจะลงโทษบุตรของตน ในตอนนี้กลับมีเพียงคำพูดเดียวติดปากว่า "ท่านอาจารย์จาง หากเขาดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ท่านก็ลงโทษเขาได้ตามสมควรเลยนะเ้าคะ"
จางเจิ้นอันรู้สึกขบขันอย่างประหลาด แต่สีหน้ากลับเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทำให้ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดภายในใจของเขาได้ ยิ่งสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่พวกนางเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
"พวกท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าปฏิบัติต่อเด็กๆ ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เด็กที่ข้าชื่นชมคือผู้ที่ตั้งใจและขยันหมั่นเพียร ส่วนเด็กที่ข้าไม่ชอบคือผู้ที่เกียจคร้าน โอ้เอ้ และเกเรซุกซน พวกท่านมัวแต่คิดหาวิธีเอาใจข้าเช่นนี้ สู้รอให้เด็กๆ กลับถึงบ้านหลังจากเลิกเรียน แล้วอบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี ให้ตั้งใจทำการบ้านที่ข้ามอบหมายให้เสร็จสิ้น ให้ศึกษาเล่าเรียนอย่างขยันขันแข็ง ไม่ใช่พอเลิกเรียนแล้วก็ปล่อยปละละเลยราวกับม้าป่าหลุดจากบังเหียน และที่สำคัญ อย่าได้ไปใส่ใจกับเื่ราวที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเ่าั้เลย"
วาจาของจางเจิ้นอันกระทบใจพวกนางอย่างจัง ไม่ใช่เพียงแต่เซี่ยงซื่อเท่านั้น แม้แต่คนอื่นๆ ก็พลอยได้คิดใคร่ครวญตามไปด้วย ส่วนสือหนานที่นั่งอยู่ในห้องเรียน แสร้งทำเป็ตั้งใจร่ำเรียนและไม่ได้จากไปไหน ก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกค้อนทุบกลางใจ เขาคิดว่าวาจาเ่าั้ของจางเจิ้นอันกำลังพุ่งเป้ามาที่ตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่เหลือบมองมาทางเขาในตอนท้ายนั้น ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
"ใช่แล้ว อาจารย์คนเดียวกัน ย่อมสอนสั่งนักเรียนออกมาได้แตกต่างกัน บางคนมีความรู้ดี บางคนมีความรู้น้อย เื่นี้มิใช่เพียงแต่อาจารย์จะตัดสินได้ นิสัยใจคอของแต่ละคนก็สำคัญเช่นกัน พวกท่านในครั้งนี้ที่คิดจะมาหาเื่ท่านอาจารย์จาง เคยคิดทบทวนบ้างหรือไม่ว่าตนเองควรจะอบรมสั่งสอนบุตรหลานของตนให้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่บ้านให้ดีด้วย?"
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "อันที่จริงท่านอาจารย์จางจะสอนหรือไม่สอนก็หาได้สำคัญไม่ เขายังสามารถหาเงินได้มากมายจากการจับปลาอยู่แล้ว ในทางกลับกัน การมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา ค่าจ้างก็ไม่ได้สูงส่งอะไรนัก เพียงแต่ท่านอาจารย์จางเห็นว่าเด็กๆ เหล่านี้ขาดแคลนครูบาอาจารย์ จึงตั้งใจมาช่วยเหลือพวกเขาด้วยจิตเมตตา ท่านอาจารย์จางนั้นเป็ผู้ที่มีจิตใจดีงามเสมอมา เพียงแต่ภายนอกอาจดูเ็า ทว่าภายในใจนั้นอบอุ่นยิ่งนัก"
"ข้าทราบดีถึงเจตนาของพวกท่านที่ส่งบุตรหลานมายังสำนักศึกษาแห่งนี้ ล้วนเป็ไปเพื่ออนาคตของพวกเขาเองทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว พวกเราที่เป็พ่อแม่คน ก็หาได้หวังให้บุตรหลานเติบใหญ่กลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่ เพียงแต่อย่างน้อยก็ขอให้พออ่านออกเขียนได้บ้าง หากวันหน้าฟ้าดินไม่เป็ใจ ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ก็พอจะหางานสุจริตทำได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องทนอดมื้อกินมื้อ"
"ใช่แล้วเ้าค่ะ ขออภัยท่านอาจารย์จางด้วย วันนี้พวกเรามาที่นี่ ช่างเป็การล่วงเกินท่านอย่างแท้จริง พวกเราขอโทษท่านตรงนี้เลยแล้วกันเ้าค่ะ"
สตรีผู้หนึ่งที่พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างก้าวออกมา แสดงความเสียใจต่อจางเจิ้นอันอย่างจริงใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า "ขอบคุณท่านมากที่มาสอนสั่งบุตรของข้า ข้าขอขอบคุณท่านแทนบุตรชายด้วยเ้าค่ะ"
"ไม่ต้องมากพิธี" เมื่อผู้อื่นกล่าวคำขอโทษและขอบคุณอย่างจริงใจเช่นนี้ จางเจิ้นอันกลับรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง โชคดีที่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเป็ปกติ ไม่อาจมองเห็นความรู้สึกยินดียินร้ายได้โดยง่าย
"เอาล่ะ ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว หากพวกท่านไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ก็เชิญกลับไปเถิด" เขาไม่ชอบมองสายตาที่แสดงความรู้สึกผิดเ่าั้ จึงรีบเอ่ยปากไล่พวกนางไปเสีย
เหล่าสตรีเ่าั้กล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะพากันจากไป ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเดินอยู่รั้งท้ายสุด แอบชูนิ้วโป้งให้เขาอย่างลับๆ แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า "ยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านอาจารย์จาง ท่านช่างมีวิธีการอันแยบยลเสียจริง"
จางเจิ้นอันเหลือบมองเขา ผู้ใหญ่บ้านรู้ว่าตนเองกำลังเป็ส่วนเกิน จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วรีบจากไปแต่โดยดี
หลังจากเื่วุ่นวายนี้จบลง ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็หาได้มีผู้ใดมารบกวนจางเจิ้นอันอีก เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ไม่รู้ว่าเป็เพราะหลังจากกลับไปแล้ว เหล่าบิดามารดาได้อบรมสั่งสอนบุตรหลานของตนเองเข้มงวดขึ้นหรือไม่ เด็กส่วนใหญ่จึงสามารถทำการบ้านที่เขามอบหมายให้เสร็จสิ้นได้อย่างเรียบร้อย สามารถท่องจำบทเรียนได้ ตัวอักษรที่เขาสอนไปในวันนั้น วันรุ่งขึ้นก็สามารถเขียนตามคำบอกได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สิ่งเหล่านี้ทำให้จางเจิ้นอันรู้สึกพอใจเป็อย่างยิ่ง รู้สึกว่าการมาเป็อาจารย์ของเขานั้นก็ยังพอจะมีคุณค่าอยู่บ้าง
เพียงแต่เวลาส่วนตัวของเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกวันต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปหาปลา แล้วจึงมาสอนหนังสือ พอถึงมื้อเที่ยง ทานอาหารเสร็จก็ต้องรีบไปเก็บอวนและหว่านอวนใหม่ ในยามบ่ายก็ต้องกลับมายังสำนักศึกษาอีกครั้ง พอตกค่ำก็ต้องพายเรือไปยังเมืองเพื่อขายปลา หนึ่งวันเต็มๆ เวลาถูกจัดสรรไว้อย่างแ่าแทบไม่มีช่องว่าง
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกสงสารที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่จางเจิ้นอันกลับพึงพอใจกับตารางชีวิตเช่นนี้เป็อย่างยิ่ง มันช่วยประหยัดเวลาที่เขาเคยว่างจนเกินไปจนอาจคิดฟุ้งซ่านได้ เมื่อมีเื่ให้ทำวุ่นวายเช่นนี้ ทุกวันล้วนผ่านไปอย่างรวดเร็วและคุ้มค่า เพียงแต่รู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่มีเวลาพาอันซิ่วเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นในเมืองเหมือนแต่ก่อน
ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์ก็หาได้ใส่ใจเื่นั้นไม่ ทุกครั้งนางจะนำสิ่งของที่้าขายติดตัวไปด้วยตนเอง แล้วชวนญาติพี่น้องฝ่ายสามีไปเป็เพื่อน หลังจากฝึกฝนอยู่ระยะหนึ่ง ปัจจุบันนางก็ถือได้ว่าพอจะรู้หลักการพายเรืออยู่บ้างแล้ว กลายเป็แม่ค้าพายเรือจำเป็ไปอีกคน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสอนต่งซื่ออีกด้วย ทุกครั้งนางจะไปตลาดพร้อมกับต่งซื่อ นางไปขายงานฝีมือ ส่วนต่งซื่อก็นำไข่ไก่ที่บ้านมีอยู่สองสามฟองไปขาย ทั้งสองพายเรือไปด้วยกัน ก็ไม่ได้ลำบากอันใดนัก ทั้งยังมีเพื่อนคุยระหว่างทางอีกด้วย
ในอดีตการเดินทางไปยังเมืองนั้นไม่สะดวกสบายนัก แต่ปัจจุบันเมื่อสามารถนั่งเรือไปได้ ทุกครั้งที่หาของป่าหรือสิ่งใดมาได้ ต่งซื่อก็จะเก็บสะสมไว้ แล้วนำไปขายในเมือง ตัวอย่างเช่น ใน่เทศกาลไหว้บะจ่างที่ผ่านมานี้ ต่งซื่อก็ไปเก็บใบไผ่บนูเามาขาย ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์นั้นไม่ใช่คนที่จะเข้าป่าเข้าเขา นางยังคงทำและขายงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนเองถนัดเช่นเดิม
ก่อนหน้านี้นางได้ทุ่มเทความคิดและแรงกายมาถักทอสร้อยข้อมือเบญจมงคลเป็จำนวนมาก ทว่าเมื่อถึงเวลาขายจริง กลับพบว่าไม่ได้ขายดีอย่างที่นางคาดคิดไว้ เมื่อตลาดใกล้จะวาย ในมือของนางก็ยังมีสร้อยข้อมือเหลืออยู่อีกเกินครึ่งที่ยังขายไม่ได้ นางลองนำไปเสนอขายที่ร้านปักผ้าเ้าประจำ ทว่าเ้าของร้านก็รับไว้เพียงเล็กน้อยอย่างเสียมิได้ พลางกล่าวว่าของสิ่งนี้พอเลยเทศกาลตวนอู่ไปแล้วก็จะไม่มีผู้ใด้าอีก นางเองก็คงขายได้ไม่มากนัก
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นึกเสียใจว่าตนเองคิดผิดที่มาทุ่มเทถักทอสร้อยข้อมือเหล่านี้จนเหมือนหาเื่เดือดร้อนใส่ตัว ต่งซื่อซึ่งอยู่ข้างๆ ขายใบไผ่หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ครั้นเห็นอันซิ่วเอ๋อร์มีสีหน้าหม่นหมอง จึงเอ่ยปลอบโยนสองสามคำ
"ซิ่วเอ๋อร์ เ้าอย่าเพิ่งท้อใจไปเลย เก็บมันไว้ดีๆ เถิด ปีหน้าพอถึงเทศกาลค่อยนำออกมาขายใหม่ก็ได้"
อันซิ่วเอ๋อร์คิดตามแล้วก็เห็นด้วย ปีนี้ขายไม่ได้ ปีหน้าค่อยขายใหม่ก็แล้วกัน อย่างไรเสียเงินที่นางขายของได้ในวันนี้ ก็พอเพียงที่นางจะซื้อผ้ามาตัดเสื้อผ้าได้แล้ว
นางคิดมานานแล้วว่าอยากจะตัดชุดคลุมยาวให้จางเจิ้นอันสักชุด ทว่าก่อนหน้านี้เงินที่เก็บสะสมไว้ยังไม่เพียงพอ ปัจจุบันแม้จางเจิ้นอันจะมอบเงินให้นางใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด นางกลับปรารถนาที่จะใช้เงินที่ตนเองหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงซื้อผ้ามาตัดเสื้อผ้าให้เขามากกว่า
ร้านปักผ้าแห่งนี้มีผ้าจำหน่ายด้วยเช่นกัน ภายในร้านมีผ้าหลากหลายชนิด สีสันสดใสงดงาม ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าเกอ ผ้าป่าน หรือแม้กระทั่งผ้าไหมและผ้าแพรบางส่วนก็ยังมีวางจำหน่าย เมื่อใกล้ถึงฤดูร้อน ทางร้านจึงนำผ้าเนื้อดีอย่างผ้าอวิ๋นและผ้าเยียนหลัวออกมาขาย ผ้าอวิ๋นนั้นเนื้อบางเบาโปร่งแสง ส่วนผ้าเยียนหลัวก็นุ่มสบายผิว เพียงได้เห็นก็รู้สึกถึงความงดงามละเอียดอ่อนแล้ว
เพียงแต่ไม่ต้องถาม อันซิ่วเอ๋อร์ก็ทราบดีว่าราคาของผ้าเหล่านี้ย่อมไม่ถูกนัก ผ้าทั้งสองชนิดนี้ถือว่าเป็สินค้าระดับดีที่สุดในเมืองก็ว่าได้ เ้าของร้านปักผ้าเองก็สั่งมาขายน้อยเช่นกัน แต่นางกลับชักชวนให้อันซิ่วเอ๋อร์ซื้อกลับไปบ้าง กล่าวว่าหากนำผ้าชนิดนี้มาปักเป็ผ้าเช็ดหน้าจะได้รับความนิยมและขายได้ราคาดีกว่า อันซิ่วเอ๋อร์ครุ่นคิดแล้วก็ปฏิเสธไป แม้ว่าจะได้รับความนิยมมากเพียงใด แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ผู้ที่สามารถซื้อหาได้ก็คงมีไม่มากนัก ถึงตอนนั้นหากขายไม่ได้ ก็จะกลายเป็ว่านางหาเื่เดือดร้อนใส่ตัวอีกจนได้
ในท้ายที่สุด นางจึงเลือกซื้อเพียงผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนผืนหนึ่ง ตั้งใจจะนำไปตัดเสื้อผ้าให้จางเจิ้นอัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจซื้อผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนมาอีกสองสามฉื่อ ถือซะว่าเป็การให้รางวัลตอบแทนความเหนื่อยยากของตนเองใน่เวลานี้
ต่งซื่อมองดูอันซิ่วเอ๋อร์เลือกซื้อผ้าอย่างเพลิดเพลิน ก็รู้สึกอยากได้ขึ้นมาบ้างเช่นกัน ทว่าในมือนางมีเพียงเงินไม่กี่อีแปะที่ได้จากการขายใบไผ่ในวันนี้เท่านั้น ในท้ายที่สุดจึงตัดใจ ฮึดสู้ซื้อเพียงเชือกผูกผมสีแดงสดสองเส้นกลับไป ตั้งใจจะนำกลับไปให้ลูกสาวทั้งสองคนที่บ้านได้ใช้
หลังจากนั้น ทั้งสองก็แวะซื้อเนื้อหมูเพิ่มอีกเล็กน้อย อันซิ่วเอ๋อร์ยังซื้อเหล้าสงหวง [1] มาสองไห ไหหนึ่งตั้งใจจะเก็บไว้ให้จางเจิ้นอัน ส่วนอีกไหตั้งใจจะนำไปมอบให้พ่อเฒ่าอัน
เชิงอรรถ
[1] เหล้าผสมกำมะถัน นิยมดื่มในเทศกาลตวนอู่ หรือเทศกาลวันไหว้บะจ่าง
