กว่าเมิ่งฉีจะคุ้นชินกับการเดินเหินบนเวที ก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว กลุ่มคนที่เหนื่อยล้าพากันเดินไปขึ้นรถตู้เพื่อกลับไปยังบ้านพักตากอากาศของเมิ่งฉีที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณย่านหรูในเมืองหลินไห่ มีเพียงผู้ดีมีสตางค์เท่านั้นถึงจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แถบนี้ได้ แม้แต่เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังเป็ทหารผ่านศึกมืออาชีพ ในขณะที่สามารถวางใจในความเป็ส่วนตัว ก็ยังสามารถเสพสุขกับความเงียบสงบ ปลอดจากความวุ่นวายได้อีกด้วย
“ฉันอยากไปเดินเล่นที่ชายหาด ได้หรือเปล่า” เมิ่งฉีตั้งใจถามความเห็นเสิ่นิ
“ผมเป็แค่บอดี้การ์ด ไม่มีสิทธิ์ไปจำกัดขอบเขตคุณ” ความหมายของเสิ่นิก็คือ “ได้”
“งั้นก็ดี ไปกับฉันสิ” เมิ่งฉีเอามือไพล่หลัง ก่อนจะสวมรองเท้าแตะแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยรอยยิ้ม เธอตรงไปที่ชายหาด
เซี่ยวอี๋ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตาของเธอจับจ้องไปยังพวกเขาซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่บนชายหาดอย่างกับคู่รักกัน เธอรายงานชีวิตประจำวันของเสิ่นิให้ผู้อำนวยการทราบ รวมถึงเื่ที่เสิ่นิ “ทำร้ายร่างกาย” เ้าหมีไกว้ด้วย
ผู้อำนวยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ท้ายที่สุดก็สรุปได้ว่าเื่ดังกล่าวเป็แค่การ “ป้องกันตัวอันชอบธรรม” นับเป็ที่น่าพอใจ เนื่องจากที่พวกเขาได้เห็นในคลิปนั้น มันไม่ใช่การที่หมีไกว้ถูกฆ่า แต่หมีไกว้รอดชีวิต เป็การพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเสิ่นินั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ และรู้จักที่จะควบคุมพละกำลังของตัวเอง
เมื่อได้ฟังผลตอบรับดังกล่าว เซี่ยวอี๋ก็พูดอะไรไม่ออก มันยากที่จะจินตนาการว่าในอดีตเสิ่นินั้นเป็เช่นไร
จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับดาว ฟากฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหลินไห่ช่างงดงามเสียจนทำให้คนไม่อยากหลับนอน กอปรกับเท้าเปล่าที่เดินเคียงข้างกันไปตามแนวชายหาดส่วนตัวของเมิ่งฉีกับเสิ่นิแล้ว ช่างเป็ภาพอันงดงาม
คลื่นซัดกระทบฝ่าเท้าคนทั้งคู่ มันให้ความรู้สึกเย็น สบาย บางครั้งปูตัวน้อยก็วิ่งไต่ขึ้นมาบนหลังเท้าและไต่ผ่านไป แค่เพียงโน้มตัวลงไปจับ ก็สามารถพามันกลับไปเป็สัตว์เลี้ยงที่บ้านได้เลย
เมิ่งฉีชอบทะเลมาก เธอเดินเล่นอยู่บนชายหาดเหมือนกับเด็กๆ เสิ่นิเดินตามหลังเธอไปเงียบๆ ในมือถือรองเท้าหนังของตัวเองไว้
“วันนี้ขอบคุณที่ช่วยฉันจัดการยายชาเขียวนะ ่นี้เธอชอบคอยหาเื่ฉันอยู่ตลอด น่ารำคาญ” เมิ่งฉีไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง เธอกล่าวคำขอบคุณเคล้าเสียงคลื่น
“ผมไม่ได้ช่วยคุณจัดการใคร แค่คุ้มครองความปลอดภัยของคุณ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว คุณเป็ฝ่ายลงมือก่อน แบบนี้จะยิ่งเป็การเพิ่มอันตรายให้ตัวคุณเองโดยที่ไม่จำเป็ คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก” เสิ่นิเริ่มให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะอย่างมืออาชีพ
“คุณไม่ต้องคอยสั่งสอนฉันเหมือนกับบอดี้การ์ดตลอดเวลาได้ไหม” เมิ่งฉีหันกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้ว เธออุตส่าห์ลดตัวลงไปขอบคุณเขาแล้วด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังจะทำตัวน่าเบื่ออยู่อีก
“ก็ผมเป็บอดี้การ์ด มันเป้าหมายของบริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่น ถึงแม้จะเป็เพียงสัญญาระยะสั้น แต่ผมก็ยังหวังว่านายจ้างจะได้รับความปลอดภัยในอนาคต คุณเป็ดารา คุณอยู่ในที่แจ้ง มันยากที่จะหลีกเลี่ยงภัยอันตราย คุณควรเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวเอาไว้บ้าง” เสิ่นิยังคงเทศน์ต่อ
“ฉันตัวเล็กแค่นี้ ถ่มน้ำลายน่ะพอได้ แต่จะให้สู้เหรอ จะไปสู้ยังไงไหว” เมิ่งฉีตั้งใจหาช่องหลบ
“ผมจะสอนให้” ว่าแล้ว เสิ่นิก็วางรองเท้าที่อยู่ในมือลง เขาคว้าข้อมือเมิ่งฉี และก่อนที่เธอจะตอบสนองใดๆ เขาก็ทั้งดึงทั้งหมุน เหมือนกับกำลังเต้นระบำเพลงละติน ดึงเมิ่งฉีเข้าสู่อ้อมอกจนแผ่นหลังเธอพิงกับหน้าอกของเขา นี่เป็ครั้งที่สี่ของวันแล้วนะ...
เพียงแต่ข้อมือของเมิ่งฉีถูกบิดไพล่หลัง มันเจ็บเสียจนเมิ่งฉีต้องร้องออกมา “ปล่อยนะไอ้บ้า! เจ็บนะ! ”
“นี่คือศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ‘จับ’ และ ‘มัด’ ร่างกายคุณเล็ก เพราะฉะนั้นคู่ต่อสู้มักจะใช้เทคนิคนี้ เพราะเมื่อข้อมือถูกล็อก มันจะเกิดความเ็ปอย่างต่อเนื่อง และความเ็ปนั้นก็จะกระตุ้นให้คนยอมแพ้โดยสัญชาตญาณ
คุณเป็ดารา ยากที่จะหลบหลีกผู้คน และเมื่อถูกจับแล้ว มีความเป็ไปได้สูงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนร้าย จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้” ตอนที่เสิ่นิอธิบาย เมิ่งฉีก็ปวดจนน้ำตาไหล เธอด่าเสิ่นิไม่หยุด และได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่บ้างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
“วิธีการรับมือนั้นง่ายมาก ก่อนอื่นคุณจะต้องตั้งสติให้มั่น เอาชนะความเ็ปให้ได้ เมื่อรู้สึกได้ถึงความสูงของผู้ร้ายที่อยู่ด้านหลัง กะตำแหน่งของจมูกให้ถูก ใน่วิกฤต ให้ออกแรงไปที่ส้นเท้า ใช้นิ้วเท้ารองรับน้ำหนักของร่างกาย ออกแรงกระทุ้งไปทางด้านหลัง ไม่ว่าคนคนนั้นจะร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้ออกกำลังกายจมูกหรอก ด้านหลังศีรษะนั้นแข็งแรงมาก ต่อให้คุณตัวเล็กเท่านี้ ก็สามารถทำให้คนร้ายาเ็หนักได้เลยทีเดียว” เสิ่นิเพิ่งจะพูดจบ เมิ่งฉีก็ออกแรงทำตามวิธีการของเขาทันที
อย่าได้พูดอะไรเลย เมิ่งฉีเองก็ฝึกฝนซ้อมเต้น ฝึกบัลเลต์มาก่อน ก็เลยทำให้เธอเคยชินกับความเ็ป บวกกับทักษะพื้นฐานการเต้น แรงะโนั้นมหาศาลเสียยิ่งกว่าพละกำลังที่น่าจะออกมาจากร่างเล็กๆ ของเธอได้
เสิ่นิมีหนทางตอบโต้อีกร้อยพันรูปแบบ แต่เขาไม่อยากทำร้ายเมิ่งฉี เขาจึงได้แต่ปล่อยมือ และยอมล้มตัวไปด้านหลัง ทั้งสองล้มลงบนชายหาดจนแทบจะกอดกัน
คลื่นั์สีเงินพัดเข้ามา ทำเอาเสื้อผ้าของทั้งคู่เปียกโชก
เมิ่งฉีนั่งคร่อมอยู่บนเอวของเสิ่นิ มือทั้งสองข้างหนุนอยู่บนหน้าอกเขา น้ำทะเลหยดลงบนใบหน้าของเสิ่นิ เชิ้ตขาวพอเปียกชื้นก็เผยให้เห็นเนินอกขาวราวกับหิมะภายใต้เสื้อชั้นในลูกไม้สีแดง
ไม่รู้ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ส่วนนั้นของผู้หญิง บีบรัดนิดหนึ่งก็อวบอิ่มขึ้นมาได้” เมิ่งฉีที่นั่งท่านี้ หน้าอกคัพ A ของเธอก็ปรากฏเป็เส้นโค้งอันงดงาม
“คุณทำฉันเจ็บ รู้ตัวหรือเปล่า” เมิ่งฉีตัวเปียกโชก
“รู้”
“รู้แล้วทำไมยังทำอีก”
“เพราะผมเป็บอดี้การ์ด ไม่ใช่คนรับใช้ คนรับใช้ต้องคอยปรนนิบัติให้เ้านายพึงพอใจ แต่บอดี้การ์ดทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องคุณ” เสิ่นินอนราบลงไปกับพื้นทรายเปียก เขาสบสายตามองไปยังเมิ่งฉีที่อยู่ตรงหน้า
“ให้มันน้อยๆ หน่อย คุณเป็แค่บอดี้การ์ดห่วยแตกที่ไม่้าเงิน ขนาดเงินเดือนของคนทำความสะอาดห้องน้ำยังสูงกว่าคุณเลย จะจริงจังไปทำไม คุณอาก็แค่หลอกใช้คุณฟรีๆ เท่านั้นแหละ เขาคงไม่ได้หวังว่าคุณจะปกป้องฉันได้จริงๆ หรอก เขาไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าฉันจำเป็ต้องมีบอดี้การ์ด” เมิ่งฉีประชดประชันเพียงเพื่อที่จะปกปิดหัวใจที่เต้นระรัว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงต้อง “ประกาศก้องวิชาชีพ” ด้วย พูดเสียจนใจเต้น
“คุณเป็นายจ้างของผม มันเป็หน้าที่ของผมที่จะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของคุณ มันไม่ได้เกี่ยวกับเงิน ภายในระยะเวลาตามสัญญา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม ก็ไม่อาจแตะต้องคุณได้ แม้แต่ปลายผมของคุณ” เสิ่นิกล่าวอย่างหนักแน่น
“เพียะ! ” จู่ๆ เมิ่งฉีก็ตบหน้าเสิ่นิ น้ำตาเธอไหลนองเป็สาย
เสิ่นิหลบได้สบายๆ แต่ว่าแรงของเมิ่งฉีนั้นทำอะไรเขาไม่ได้ เขาก็เลยได้แต่รับไปส่งๆ
“ไม่ต้องมาพูดเื่ความรับผิดชอบอะไรกับฉัน! พวกผู้ชายไม่มีใครดีหรอก! แค่ชอบเอาคำพูดสวยหรูมาหลอกพาผู้หญิงไปขึ้นเตียง! ไอ้โรคจิต! ” ในสายตาของเมิ่งฉี เสิ่นิดูเหมือนจะไปคล้ายกับชายอีกคนหนึ่งเข้า คำสัญญาและคำพูดที่คุ้นหู ทำให้แผลเก่าของเธอถูกเปิดออกอีกครั้ง
เมิ่งฉีหยัดตัวขึ้นจากตัวของเสิ่นิ เธอวิ่งไปทางคฤหาสน์ด้วยตัวเปียกโชก รองเท้าแตะยังคงถูกทิ้งอยู่ที่บริเวณชายหาด
ตกดึกห้าทุ่ม เสิ่นิไปเคาะประตูห้องนอนของเมิ่งฉีเบาๆ
“ฉันเหนื่อย อยากนอนแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้” เมิ่งฉีนั่งกอดเข่าอยู่ตรงประตู
“น้ำทะเลมันเย็น อย่าลืมอาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน ถ้าเป็หวัดร่างกายจะอ่อนเพลีย มันจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่รักษาความปลอดภัย” พูดจบเสิ่นิก็จากไปอย่างเงียบๆ ประโยคที่เขาพูดออกมานั้นก็ไม่พ้นเื่ภาระหน้าที่ บางครั้งเขาก็ซื่อบื้อเหมือนกับเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก
“บ้าเอ๊ย ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่หลงคำผู้ชายอีก…” จากนั้นเธอก็ก้มหน้าซุกหัวเข่า เมิ่งฉีกำลังด่าตัวเองอยู่
อีกด้านหนึ่ง เสิ่นิซึ่งกลับถึงห้องก็ยังไม่นอน เขาค้นคว้าหาข้อมูลทั้งหมดของเมิ่งฉีจากในอินเทอร์เน็ต บางทีอาจจะค้นพบข้อมูลของคนที่ส่งจดหมายข่มขู่จากในนั้นก็เป็ได้ เสิ่นิเริ่มทำความรู้จักกับนายจ้างคนแรกของเขา...
เมิ่งฉีเป็นักร้องที่ไม่ได้เป็เด็กเรียน ตอนมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนๆ พากันตั้งหน้าตั้งตาเรียน แต่เธอกลับไปร้องเพลงอยู่ในบาร์
ในปีเดียวกันนั้นเอง เธอเข้าร่วมประกวดรายการสาวมั่นและได้รับรางวัลชนะเลิศไปครอง ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เธอก็เดินเข้าสู่เส้นทางที่แตกต่างไปจากเพื่อนๆ เพลงบุปผารำพันได้รับความนิยมไปทั่วทุกสารทิศ เธอคว้ารางวัลมากมายมาครอง แต่พอโด่งดังแล้วก็เกิดเื่ขึ้นมากมาย หนึ่งปีเต็มหลังจากนั้น เธอก็มีข่าวฉาวไม่ขาดสาย “ดาราหญิงขึ้นแท่น” เอย “แชมป์คู่นอน” เอย เธอได้รับฉายาใหม่ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม เื่ที่เลวร้ายที่สุดในตอนนั้นเห็นจะเป็ “เหตุการณ์มือที่สามที่สวยที่สุด” มีข่าวลือว่าเมิ่งฉีแอบคบหาและไปไหนมาไหนด้วยกันกับเหลียงจวิน นักแสดงชาวฮ่องกงวัย 42 ปี กระทั่งถูกภรรยาของ เหลียงจวินจับได้ในขณะที่กำลังพาลูกทั้งสองไปยังร้านกาแฟในย่านจิมซาจุ่ย ลูกชายคนโตของเหลียงจวินก็รุ่นราวคราวเดียวกับเมิ่งฉี
แม่ของลูกทั้งสองตบตีเมิ่งฉีอย่างไม่ต้องสงสัย ครั้งนั้นเธอเจ็บหนักเสียจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หนึ่งเดือนเต็ม และเมื่อเื่บานปลาย เหลียงจวินถึงขั้นต้องจัดงานแถลงข่าวร้องห่มร้องไห้บอกว่าเขาเป็คนบาปที่ได้กระทำผิดไป
เขาได้แต่โทษว่าเมิ่งฉีสวยและสุภาพเกินไปจนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ โชคดีที่ภรรยาและลูกทั้งสองให้อภัย เขาหวังว่าเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ถ้ารักชีวิต อย่าคิดมีเมียน้อย ขอให้แฟนคลับทุกคนให้อภัย...
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา งานเมิ่งฉีก็หดหายไปหมด เธอโดนบริษัทแบนอย่างเป็ทางการ จนกระทั่งได้รับโอกาสอีกครั้งจากรายการ 'The Voice of China'
เช้าตรู่ เมิ่งฉีซึ่งนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นขึ้นมาั้แ่ 6 โมงเช้า เธอจามั้แ่ชั้นสองลงมาถึงโถงห้องครัวแบบเปิด เธออยากจะหาอะไรทาน เสิ่นิผู้ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะตื่นเช้ากว่าเธอ ตอนนี้กำลังทำอาหารอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับใช่ไหม” เสิ่นิยิ้มพลางกล่าวทักทาย
“คุณตื่นเช้ากว่าฉันอีก หรือว่านอนไม่หลับยิ่งกว่าฉัน ว่าไง ไม่ชินกับฟูกคุณภาพดีเหรอ” เมิ่งฉีนั่งลงที่โต๊ะหน้าครัว
“ผมยังไม่ได้นอนเลย การฝึกในอดีตทำให้ผมนอนน้อยมาก ไม่ได้นอนสองสามวันก็ยังไม่ง่วงเลย ดื่มนี่ซะสิ เมื่อวานคุณไม่ได้อาบน้ำอุ่นแน่เลยใช่ไหมล่ะ” เสิ่นิม้วนเก็บผ้ากันเปื้อน ก่อนจะผลักชามซุปขิงไปตรงหน้าเมิ่งฉี
“คุณรู้ได้ยังไง” เมิ่งฉีพูดจบก็จามทันที ขนาดปล่อยไก่ออกมาก็ยังน่ารัก “เอาล่ะ ฉันไม่ถามแล้ว”
“กินนี่ซะ ผมทำโจ๊กเนื้อไม่ติดมันใส่ไข่เยี่ยวม้า ไม่รู้จะถูกปากคุณหรือเปล่า มื้อเช้าทานโจ๊กแคลอรีต่ำ ทานมากหน่อยก็ไม่อ้วนหรอก” เสิ่นิกล่าวขณะตักโจ๊กใส่ชาม
ไม่ต้องพูดถึง ฝีมือของเสิ่นิไม่เลวเลย นี่แค่โจ๊กธรรมดา ไม่รู้เขาใส่เครื่องปรุงรสอะไรลงไปเป็พิเศษหรือเปล่า อาหารเช้าธรรมดาถึงได้กลายเป็อาหารเลิศรส
เมิ่งฉีที่ไม่ค่อยอยากอาหารกลับทานเสียจนหมดชาม เมื่อทานเสร็จก็เท้าคางมองดูเสิ่นิทำความสะอาดครัว “ดูไม่ออกเลยนะว่าคุณบอดี้การ์ดกล้ามโต ที่แท้ก็มีฝีมือทำครัวกับเขาด้วย คุณเป็พ่อครัวน่าจะรุ่งและทำเงินได้เยอะกว่าเป็บอดี้การ์ดนะ”
“สำหรับผม เงินเป็เพียงแค่สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต กินกุ้งัก็ดี กินหญ้าก็ได้ ผมไม่ได้ยึดติดกับวัตถุสิ่งของ แต่บอดี้การ์ดเป็อาชีพที่บรรพบุรุษของผมส่งต่อกันมา ผมจึงอยากสานต่อ” เสิ่นิว่าในขณะที่ทำความสะอาดชามไปด้วย
“แปลกจัง ทำตามๆ กันมานี่มันน่าสนุกตรงไหน สงสัยจะชอบความอดทน ี้เีจะสนใจคุณแล้ว” เมิ่งฉีซดซุปขิงที่เหลืออยู่จนหมด ก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสายตาของเธอ วันนี้เสิ่นิไม่ได้ดูน่ารังเกียจอีกต่อไปแล้ว หนำซ้ำยังดูอ่อนโยนมากเสียด้วย