“ชายผู้นี้ช่างใจกล้านัก เงาพรายสะบั้นของกุ่ยเตาทรงพลังถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะใช้หอกที่เรียบง่ายนั่นต่อต้าน รนหาที่ตายชัด ๆ!” มีหลายคนคิดว่าเย่เฟิงมั่นใจมากเกินไป เพราะว่าหอกที่เย่เฟิงใช้สู้กลับด้วยเป็เพียงหอกธรรมดาไร้ซึ่งพลังใด ๆ
ในขณะนั้นกุ่ยเตาเผยสีหน้าดูแคลน แววตาเต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่ฉายออกมาอย่างไม่ปกปิด
“ได้ตายด้วยเงาพรายสะบั้นของข้า ถือว่าเป็เกียรติยศของเ้าแล้ว!” กุ่ยเตากล่าว จากนั้นรังสีดาบเข้าโจมตี ด้วยการโจมตีนี้เพียงพอที่จะทำให้เย่เฟิงสลายหายไปจากโลกนี้
“งั้นหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้มไม่พูดพร่ำเพรื่อ เพียงแค่คิดพลังมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง ปีนป่ายขึ้นแขนไปยังหอกัเงินประกายในมือ อักขระบนตัวหอกโคจรเปล่งแสงโชติ่ นาทีต่อมาบริเวณนั้นราวกับกลายเป็โลกแห่งหอก รังสีหอกทะลวงห้วงอากาศ ทั้งยังมีพลังแห่งการทำลายล้างอันแกร่งกล้า
อำนาจ อำนาจแห่งหอก ไม่มีสิ่งใดที่มิอาจทะลวง แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า!
พลังไร้เทียมทานนั่นทำลายรังสีดาบของกุ่ยเตาในชั่วพริบตา ทุกที่ที่ผ่านล้วนถูกทำลาย จากนั้นพุ่งไปหากุ่ยเตาพร้อมอำนาจแห่งการทำลายล้าง
“เป็ไปได้ยังไง?” กุ่ยเตาหน้าถอดสี ความมั่นใจที่มีก็อันตรธานไปหมดสิ้น เขาไม่คิดว่าหอกนี้ของเย่เฟิงจะเปลี่ยนไปน่าหวาดกลัวได้ในเสี้ยววินาทีเช่นนี้ แม้แต่เงาพรายสะบั้นของเขาก็ยังถูกทำลาย
สัญญาณอันตรายแผ่ปกคลุมร่างกุ่ยเตา ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ รู้สึกว่ากลิ่นอายแห่งความตายกำลังมัดตัวเขา ซ้ำยังมิอาจดิ้นรนได้ เขาหลบหอกนี้ไม่ได้ และความตายกำลังมาเยือนเขา
“ไม่นะ!” สีหน้าของกุ่ยเตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังขณะมองหอกแห่งความตายนั่นพุ่งมาหา การเผชิญหน้ากับหอกที่สามารถทำลายทุกอย่างได้เช่นนี้ เขาจะหลบได้อย่างไร?
“ฉึก!” ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้อ้อนวอนเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเห็นเืสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ นั่นเป็เพราะปลายหอกทะลวงผ่านลำคอของกุ่ยเตา
“เ้า...” กุ่ยเตาเบิกตาโพลง กล้ามเนื้อตรงลำคอกระตุก เขาอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่เป็ไปตามที่เขา้า
บรรยากาศพลันเงียบกริบ ผู้คนมองฉากนี้ด้วยความนิ่งงัน แต่มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัว
“อึก!” เสียงโอดครวญดัง ก่อนร่างกุ่ยเตาจะล้มลงไปกองกับพื้น พร้อมสภาพน่าเวทนา
“ได้ยังไงกัน มันจะเป็ไปได้ยังไง” เหล่าผู้คนใจเต้นโครมครามขณะมองภาพตรงหน้า
กุ่ยเตาผู้อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 กลับตายด้วยหนึ่งหอกปลิดชีวีของเย่เฟิงที่อยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 นี่เป็เื่ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ทว่าบัดนี้ความจริงได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว พลอยทำให้หัวใจของพวกเขาหยุดสั่นระรัวไม่ได้
“หอกนั่นช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งกุ่ยเตา! ถ้าเปลี่ยนเป็คนอื่น ก็ไม่มีทางหยุดหอกของคนผู้นี้ได้” ผู้คนกระซิบกระซาบขณะใกับพลังที่เย่เฟิงแสดงออกมา
ส่วนเย่เฟิง เขายังคงยืนตระหง่านด้วยท่าทีเกรงขาม เสื้อคลุมโบกสะบัดตามสายลม เืไหลจากปลายหอกัเงินประกายในมืออย่างต่อเนื่อง ราวกับเทพาแห่งยุคก็ไม่ปาน
กุ่ยเตาดูถูกเหยียดหยามเย่เฟิงหลายครั้งหลายครา ้าฆ่าเย่เฟิงในตอนที่เย่เฟิงอยู่บนแท่นหินหยั่งรู้ลำดับห้า แต่เมื่อล้มเหลว เขาหันไปลงมือทำร้ายฉู่หานผู้เป็ศิษย์พี่ของเย่เฟิง ซ้ำยังทำร้ายจนสาหัส เรียกได้ว่าต่ำทรามที่สุด
เขากุ่ยเตาไม่เคยเห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา หากเขา้าฆ่าเย่เฟิง เพียงโบกมือก็ทำได้แล้ว ทว่าในความเป็จริงเขาทำได้อย่างที่พูดได้หรือไม่?
เย่เฟิงอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ท้ากุ่ยเตาด้วยศึกเป็ตาย กุ่ยเตายังพัฒนาทักษะเงาพรายสะบั้นเพื่อการสังหารโดยเฉพาะ แต่กลับถูกหอกของอีกฝ่ายฆ่าตาย
คำพูดอวดดีที่กุ่ยเตาเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ หากได้ยินในยามนี้คงน่าตลกขบขัน
“พลังของเขาเปลี่ยนไปแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?” ฉินเยียนหรานตะลึงงัน พลางหัวใจเต้นรัว
นางนั้นรู้ว่ากุ่ยเตาน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ทั่ว ๆ ไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกุ่ยเตา ส่วนเย่เฟิงอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 กลับฆ่ากุ่ยเตาด้วยหอกเดียวได้ นี่เป็เื่ที่น่าเหลือเชื่อมากสำหรับนาง
ต้องรู้ว่าหลายชั่วยามก่อนหน้านี้ ฉินเยียนหรานยังได้ประมือกับเย่เฟิง เวลานั้นแม้เย่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้ โดยเฉพาะหอกสุดท้ายนั่น เรียกได้ว่าน่าทึ่งมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความงดงาม แต่กลับฆ่าศัตรูได้อย่างงดงาม
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฉินเยียนหรานััถึงพลังที่อยู่ในหอกนั้นของเย่เฟิงได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาทั่ว ๆ ไปจะต่อต้านได้ การมีอยู่ของพลังนั้นทำให้ทักษะหอกของเย่เฟิงทรงอานุภาพมากกว่าเก่า
อำนาจคือพลังประเภทหนึ่งที่จะทำให้พลังของผู้ฝึกยุทธ์ยกระดับ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาส่วนใหญ่จะเอื้อมไม่ถึง แม้ฉินเยียนหรานััการมีอยู่ของพลังแห่งอำนาจบนตัวของเย่เฟิงได้ แต่กลับไม่มีหลักฐานพิสูจน์
“นี่ก็คือพลังที่เขาได้จากการเรียนรู้ของแท่นหินลำดับห้างั้นหรือ?” ฉินเยียนหรานคิดในใจ คล้ายคิดถึงสาเหตุที่พลังต่อสู้ของเย่เฟิงยกระดับ
เย่เฟิงสำเร็จการเรียนรู้บนแท่นหินลำดับห้าแห่งน้ำตกเทียนเชี้ยน สร้างความประหลาดใจเฉกเช่นคนผู้นั้นเมื่อสามปีก่อน และแน่นอนว่าต้องได้รับพลังบางอย่างมา
นอกจากนี้การที่เย่เฟิงไปยืนบนแท่นหินลำดับห้าที่อยู่สูงที่สุดได้ ก็พิสูจน์พร์ของเย่เฟิงได้อย่างไม่ต้องสงสัย ความสำเร็จในภายหน้าไม่ด้อยไปกว่าคนผู้นั้นแน่นอน
ฉินเยียนหรานขบคิดในใจ การที่ได้เห็นความสำเร็จของเย่เฟิงในวันนี้ ทำให้ฉินเยียนหรานตระหนักได้ว่าเย่เฟิงผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา นางจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยชาติกำเนิดของเย่เฟิง
หลังจากเฉิงเฟยและฉู่หานใก็เผยรอยยิ้ม พวกเขารู้สึกดีใจแทนเย่เฟิง ฉู่หานก็ปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิม ความหดหู่มลายหายไป แม้ร่างกายาเ็สาหัส แต่ก็รู้สึกมีความสุข
ด้านชายหนุ่มตระกูลเฉินที่มากับกุ่ยเตามีสีหน้าหดหู่ พลังที่เย่เฟิงแสดงช่างแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีความมั่นใจหากจะต่อสู้กับเย่เฟิง ตอนนี้เขาเลยเกิดความกลัวขึ้นมา
ชายหนุ่มคนนั้นอยากฉวยโอกาสนี้หนีไป ทว่าจะก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นดังเข้ามาในหูของเขา
“หยุดนะ!” เสียงนี้เย็นะเืขั้นสุดราวกับสลักลึกยันกระดูกดำ ทำให้ชายหนุ่มตระกูลเฉินคนนั้นตัวสั่นสะท้าน ฝีเท้าล้วนไม่อาจอยู่นิ่ง
“เ้าจะทำอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มตระกูลเฉินหันหลังไปมองพลางถามเย่เฟิงด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ข้าจะทำอะไรน่ะหรือ ในใจเ้าคงรู้ดีกว่าข้า!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นพร้อมมีไอชั่วร้ายแผ่ออกจากร่าง แววตาประหนึ่งเทพแห่งความตายจ้องมองอีกฝ่ายพลางกล่าว “เ้ายุยงให้กุ่ยเตาลงมือจัดการศิษย์พี่ฉู่ ซ้ำยังไม่ให้เกียรติศิษย์พี่เฉิงข้า ไม่ให้เหตุผลกับข้า แต่คิดจะออกไปจากที่นี่งั้นหรือ?”
ได้ยินเช่นนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชายหนุ่มตระกูลเฉินเกิดกระตุกเล็กน้อยพร้อมกล่าว “เ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ชายหนุ่มตระกูลเฉินพูดจาฉะฉาน ทว่าหากลองมองดี ๆ จะพบว่าเขาตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย
“ขอโทษศิษย์พี่ข้าเดี๋ยวนี้!” เย่เฟิงกล่าว
“ขอโทษก็ได้” ชายหนุ่มตระกูลเฉินเผยสีหน้าหดหู่ การเผชิญหน้ากับเย่เฟิง เขาได้แต่ประนีประนอม และมิอาจรักษาหน้าไว้ได้อีกต่อไป
“ข้ายังพูดไม่จบ เ้าจะรีบอะไร?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม สายตานั่นส่องประกายคมกริบดุจคมดาบก่อนกล่าวต่อ
“ทำเื่ที่ไม่น่าให้อภัย เ้าคิดว่าแค่คำขอโทษแล้วจะลบล้างความผิดของเ้าได้หรือไง?”
“งั้นเ้าจะให้ข้าทำยังไง?” ชายหนุ่มตระกูลเฉินกล่าวถาม แต่ในใจเกิดความกลัวว่าเย่เฟิงจะเรียกร้องมากเกินไป
“เ้าจงทำลายการบ่มเพาะของตัวเองซะ แล้วคุกเข่าขอโทษศิษย์พี่ทั้งสองของข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบราวกับว่า แค่มองอีกฝ่ายปราดเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายใจเต้นรัวได้แล้ว
“อะไรนะ?” ผู้คนรอบข้างได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกตะลึง แม้พลังของชายผู้นี้จะเทียบกุ่ยเตาไม่ได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ฐานะของเขาเป็อย่างดี
“ชายผู้นี้ต้องบ้าไปแล้ว แม้แต่ต่อหน้าคนของตระกูลเฉินก็ยังกล้ากำเริบเสิบสาน ถ้าตระกูลเฉินเกิดพิโรธขึ้นมา เขาจะมีที่ยืนในสำนักยุทธ์ได้หรือ?” คนจำนวนไม่น้อยครุ่นคิดในใจขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาต่างกัน
ฉินเยียนหราน เฉิงเฟย และฉู่หานนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น พวกเขานึกไม่ถึงว่าเ้าหมอนี่จะบ้าบิ่นได้ขนาดนี้
ตระกูลเฉินแห่งเมืองหลวงมีฐานะสูงศักดิ์ ตำแหน่งในสำนักยุทธ์ก็ยังไม่ธรรมดา จึงไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ
ทว่าเย่เฟิง้าให้ลูกหลานสายตรงของตระกูลเฉินที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ทำลายการบ่มเพาะตัวเอง ต่อจากนั้นคุกเข่าขอโทษศิษย์พี่ทั้งสองของเขา เพียงเพราะชายผู้นี้ยุยงกุ่ยเตา ซ้ำยังไม่ให้เกียรติเฉิงเฟย
ชายหนุ่มตระกูลเฉินนิ่งงัน สีหน้าบ่งบอกว่ารับไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “ข้าคือคนของตระกูลเฉิน แต่เ้าก็ยังกล้าสั่งให้ข้าทำเช่นนี้เนี่ยนะ? เพลิงพิโรธของตระกูลเฉินไม่ใช่สิ่งที่เ้าจะรับได้!”
“ใช้ตระกูลเฉินมาขู่ข้า ข้าไม่สนหรอกว่าเ้าเป็ใคร ยั่วโมโหข้า ข้าก็จะให้เ้าได้ชดใช้ด้วยราคาแสนเ็ปเช่นเดียวกัน! ช่างน่าขันนักที่เ้ายังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเอง!” เย่เฟิงกล่าวดูแคลน จากนั้นเห็นเย่เฟิงเดินออกมา ก่อนจะไปเยือนที่เบื้องหน้าชายหนุ่มคนนั้นในพริบตา
ชายหนุ่มตระกูลเฉินตื่นใ แต่จากนั้นพลังปราณปะทุออกจากร่างเพื่อที่จะต่อต้านเย่เฟิง แต่เขายังไม่ทันทำอะไรก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายคมกริบตรึงร่างเขา ทำให้เขาไม่กล้าขยับเขยื้อน
นาทีต่อมาปลายหอกเย็นเฉียบก็จี้ที่ลำคอของเขา ตราบใดที่เขาขยับตัวเพียงนิดเดียว ปลายหอกนั่นก็สามารถทะลวงลำคอของเขาได้ทันที
“ถ้าเ้าอยากตาย ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเ้าอีกคน!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น ในขณะที่หอกัเงินประกายพร้อมพุ่งออกไปตลอดเวลา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้