ตอนที่ 5 ร่มเงาแห่งกระโจมและสายตาที่จับจ้อง
แสงสุดท้ายของวันลาลับไป ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าสีม่วงครามที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องประกายระยิบระยับเหนือซากปรักหักพังของอัล-ซาฟีร่า อธิชายืนอยู่ตรงนั้นมองไปยังดินแดนมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง พลังงานลึกลับที่แผ่ซ่านออกมาจากซากเมืองโบราณนั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังยืนอยู่บนประตูแห่งกาลเวลา ความรู้สึกที่ท่วมท้นจนยากจะบรรยาย มันทั้งน่าอัศจรรย์และน่าหวาดหวั่นในคราวเดียวกัน
อาบู ฟาห์รีพาอธิชาเดินลึกเข้าไปในบริเวณใกล้เคียงกับซากเมืองโบราณ ไม่นานนักอธิชาก็เห็นกลุ่มกระโจมผ้าใบหลายสิบหลังตั้งเรียงรายกันอยู่ท่ามกลางโขดหินและเนินทรายที่ปกคลุมด้วยพืชทะเลทรายบางชนิด กระโจมเ่าั้ทำจากผ้าทอสีน้ำตาลเข้มและสีดำ ดูเรียบง่ายแต่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศของทะเลทราย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างออกมาจากช่องประตูของกระโจม สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเชื้อเชิญให้เข้ามาพักพิง
"ที่นี่คือที่พักของเรา" อาบู ฟาห์รีบอก "เป็ที่ที่นักเดินทางและชาวเผ่าเร่ร่อนมักจะมาพักแรมก่อนออกเดินทาง หรือพักผ่อนจากการเดินทางที่ยาวนาน"
อธิชารู้สึกประหลาดใจ การได้เห็นชุมชนเล็กๆ กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างเช่นนี้ เป็ภาพที่เธอไม่เคยคาดคิด กระโจมเ่าั้ดูเหมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่เคลื่อนย้ายได้ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและชนเผ่ากำลังรวมตัวกันอยู่รอบกองไฟ ดื่มชา ส่งเสียงพูดคุย และเล่าเื่ราวการเดินทางของพวกเขา มันเป็ภาพที่แสดงถึงชีวิตและความเป็อยู่ของชนเผ่าทะเลทรายอย่างแท้จริง
อาบู ฟาห์รีพาอธิชาไปยังกระโจมหลังหนึ่งที่อยู่ค่อนไปทางด้านนอกสุดของชุมชน "เ้าพักที่นี่ได้" เขาบอก "ข้าจะไปพักกับคนของข้าตรงโน้น มีอะไรเรียกข้าได้เลย" อาบู ฟาห์รี ชี้มือไปตรงกระโจมถัดไป กระโจมหลังที่อธิชาอธิชาพักมีขนาดกะทัดรัด แต่ก็เพียงพอสำหรับนักเดินทางคนเดียว ภายในปูด้วยพรมทอหนาสีสันสดใส มีฟูกบางๆ สำหรับนอน และหมอนใบเล็กๆ อธิชาวางสัมภาระลง ก่อนจะนั่งลงบนฟูกอย่างเหนื่อยล้า เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยและความเป็ส่วนตัวที่เธอโหยหามานานจากการเดินทางอันยาวนาน
หลังจากจัดเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้ว อธิชาก็ออกมาเดินสำรวจรอบๆ ชุมชนกระโจม แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า เธอสังเกตเห็นว่าผู้คนที่นี่มองเธอด้วยสายตาที่คล้ายคลึงกับชาวเมืองในโอเอซิสที่ผ่านมา มีทั้งความอยากรู้อยากเห็น ความระแวง และบางคนก็มองเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ราวกับว่าการปรากฏตัวของเธอเป็สิ่งที่ไม่ธรรมดาในดินแดนแห่งนี้
เธอพยายามเป็มิตรและทักทายกับชาวบ้านบางคน แต่ส่วนใหญ่ก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ หรือไม่ก็เลี่ยงที่จะสบตาเธอ อธิชารู้สึกได้ถึงกำแพงที่มองไม่เห็นที่กั้นขวางเธอจากผู้คนเหล่านี้ แม้พวกเขาจะดูเป็มิตร แต่ก็มีความลับบางอย่างที่พวกเขาไม่้าเปิดเผย หรืออาจจะกำลังปกป้องอะไรบางอย่างอยู่
ในคืนนั้น อธิชานั่งอยู่หน้ากระโจมของเธอ มองไปยังซากปรักหักพังของอัล-ซาฟีร่าที่ส่องประกายเรืองรองอยู่ภายใต้แสงจันทร์และแสงดาว เธอััได้ถึงพลังงานลึกลับที่แผ่ซ่านออกมาจากที่นั่น พลังงานที่ทรงอำนาจและเก่าแก่เกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ มันไม่ใช่พลังงานที่มืดมิดหรือชั่วร้าย แต่เป็พลังงานที่บริสุทธิ์และล้ำลึก ราวกับเสียงกระซิบจากอารยธรรมที่สาบสูญ
แสงอรุณแรกแห่งวันใหม่สาดส่องลอดผ่านรอยแยกของผืนผ้าใบเข้ามาในกระโจม ปลุก อธิชา ให้ตื่นขึ้นจากนิทานอันยาวนาน เธอขยับตัวลุกขึ้นบิดี้เีเล็กน้อย รู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด แม้จะนอนบนฟูกบางๆ กลางทะเลทราย แต่ความเงียบสงบของค่ำคืนที่ผ่านมากลับทำให้เธอหลับสนิทกว่าคืนไหนๆ ในเมืองใหญ่
เสียงความเคลื่อนไหวภายนอกดังแว่วเข้ามา เป็เสียงของวิถีชีวิตที่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับดวงตะวัน อธิชาล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำจากเหยือกดินเผาที่วางเตรียมไว้ให้ ความเย็นฉ่ำของน้ำช่วยเรียกความสดชื่นให้เต็มตื่น เธอจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะแหวกม่านหน้ากระโจมก้าวออกไปสู่โลกภายนอก
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือความมีชีวิตชีวาที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ควันไฟสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากกองไฟหลายกอง ส่งกลิ่นหอมของถ่านไม้และกาแฟคั่วบดผสมลูกกระวานลอยอบอวลไปทั่ว ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการดูแลฝูงอูฐและแพะที่เริ่มส่งเสียงร้องทักทายยามเช้า เด็กๆ วิ่งไล่จับกันหัวเราะร่าเริงท่ามกลางผืนทรายสีทอง โดยมีสุนัขพันธุ์พื้นเมืองวิ่งตามหลังอย่างสนุกสนาน
อธิชาเดินทอดน่องเข้าไปใกล้กลุ่มกระโจมกลาง ซึ่งดูเหมือนจะเป็ ครัว ของชุมชน หญิงสาวชาวเผ่าหลายคนในชุดคลุมยาวสีสันสดใสกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า สายตาของพวกเธอหันมามองผู้มาเยือนด้วยความประหลาดใจระคนเอ็นดู
"ซาบาห์ อัล-ไคร์ (สวัสดียามเช้า)" อธิชาเอ่ยทักทายด้วยภาษาอาหรับที่เธอพอจะจำได้ พร้อมส่งรอยยิ้มจริงใจไปให้
หญิงชราคนหนึ่งที่มีรอยสักรูปดาวดวงเล็กๆ บนหลังมือยิ้มตอบ พลางกวักมือเรียกเธอเข้าไปใกล้ นางกำลังนั่งอยู่หน้าเตาอบดินเผาแบบเปิดโล่ง กำลังนวดแป้งก้อนกลมๆ อย่างชำนาญ กลิ่นหอมของแป้งจี่สดใหม่ทำให้ท้องของอธิชาเริ่มส่งเสียงประท้วง
"มาสิ แม่หนู ลองดูไหม?" หญิงชราเอ่ยชวน แม้อธิชาจะฟังภาษาถิ่นของนางไม่ออกทั้งหมด แต่ภาษากายนั้นชัดเจน
อธิชาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างไม่ถือตัว เธอมองดูวิธีการที่หญิงชราแผ่แป้งให้แบนเป็แผ่นบางๆ แล้วนาบลงบนเตาร้อนๆ เพียงชั่วอึดใจ แผ่นแป้งก็พองตัวขึ้นและส่งกลิ่นหอมฟุ้ง หญิงชรายื่นก้อนแป้งดิบให้เธอ อธิชารับมาด้วยความตื่นเต้น เธอพยายามเลียนแบบท่าทางของหญิงชรา แม้แผ่นแป้งของเธอจะออกมาบิดเบี้ยวไม่กลมสวยเหมือนต้นฉบับ แต่เสียงหัวเราะชอบใจของเหล่าหญิงสาวรอบข้างก็ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็กันเอง
"เก่งมาก สำหรับครั้งแรก" หญิงชรายื่นแผ่นแป้งที่สุกแล้วของอธิชาคืนให้ พร้อมกับชีสแพะก้อนสีขาวนวลและถ้วยชาร้อนๆ ที่มีรสหวานจัดและหอมกลิ่นสะระแหน่
อธิชารับอาหารเช้ามื้อนั้นมาด้วยความซาบซึ้งใจ เธอฉีกแผ่นแป้งร้อนๆ จิ้มกับชีสแล้วส่งเข้าปาก รสชาติที่เรียบง่ายแต่กลมกล่อมของวัตถุดิบธรรมชาติทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับพลังงานพิเศษ มันไม่ใช่แค่อาหาร แต่มันคือการแบ่งปันน้ำใจไมตรีที่ไร้พรมแดน เธอสังเกตเห็นว่า แม้พวกเขาจะอยู่ในดินแดนที่แห้งแล้งกันดาร แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับไม่เคยเหือดแห้งไปจากใบหน้าของผู้คนที่นี่
ขณะที่เธอนั่งจิบชาและมองดูวิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง อธิชารู้สึกว่ากำแพงที่เคยกั้นขวางเธอในฐานะคนแปลกหน้าเริ่มทลายลงทีละน้อย เธอไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนอีกต่อไป แต่เธอกำลังกลายเป็ส่วนหนึ่งของเื่ราวในทะเลทรายแห่งนี้ การได้ััชีวิตจริงของผู้คนก่อนที่จะไปััซากปรักหักพัง ทำให้เธอเข้าใจแล้วว่า ทำไมพ่อของเธอถึงหลงใหลในดินแดนแห่งนี้หนักหนา มันไม่ใช่แค่เื่ของดวงดาวหรืออารยธรรมโบราณ แต่มันคือ จิติญญา ของผู้คนที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้งนั่นเอง
เมื่อมื้อเช้าที่แสนอบอุ่นจบลง อธิชากล่าวขอบคุณทุกคนด้วยภาษากายและการโค้งศีรษะ เธอสูดลมหายใจลึก รับพลังจากแสงแดดยามเช้าและมิตรภาพที่ได้รับ เตรียมพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปสู่เป้าหมายที่รออยู่เบื้องหน้า
หลังจากทานมื้อเช้า อธิชาตัดสินใจเริ่มต้นการสำรวจซากปรักหักพังของอัล-ซาฟีร่า เธอพกแผนที่ของพ่อติดตัว กล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล และอุปกรณ์จำเป็อื่นๆ เธอเดินเข้าไปในซากเมืองโบราณอย่างระมัดระวัง กำแพงหินทรายสูงตระหง่านที่ปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์และอักขระโบราณตั้งตระหง่านอยู่รอบตัวเธอ ตรอกแคบๆ ที่คดเคี้ยวราวกับเขาวงกต และอาคารปรักหักพังที่ถูกทรายกลืนกินไปบางส่วน ทำให้เธอนึกถึงภาพเมืองในฝันที่เคยเห็นในนิทาน
อธิชาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสำรวจ เธอถ่ายภาพ บันทึกรายละเอียดของสัญลักษณ์และอักขระต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนกำแพงหิน เธอพบหลักฐานของสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งผสมผสานระหว่างความยิ่งใหญ่และความประณีตอย่างลงตัว อธิชาเริ่มปะติดปะต่อเื่ราวของอารยธรรมโบราณแห่งนี้ จากสิ่งที่เธอได้ศึกษาและสิ่งที่เธอเห็นตรงหน้า อัล-ซาฟีร่าเป็เมืองที่รุ่งเรืองด้วยความรู้ด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์โบราณอย่างไม่ต้องสงสัย สัญลักษณ์บนกำแพงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับดวงดาวและกลุ่มดาวต่างๆ
ในขณะที่เธอกำลังสำรวจวิหารโบราณแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและยังคงหลงเหลือสภาพสมบูรณ์ที่สุด เธอรู้สึกถึงพลังงานที่แรงกล้าที่สุดที่แผ่ออกมาจากใจกลางวิหาร มันเป็พลังงานที่คุ้นเคย ราวกับเสียงกระซิบที่เรียกหาเธอมานานแสนนาน อธิชาเดินลึกเข้าไปในวิหารที่มืดมิดและเงียบสงัด แสงจากช่องแสงเล็กๆ บนเพดานส่องลงมาเป็ลำแสงยาว เผยให้เห็นเสาหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง และภาพแกะสลักบนผนังที่เล่าเื่ราวของชนเผ่าโบราณและดวงดาว อธิชารู้สึกราวกับกำลังย้อนเวลากลับไปสู่ยุคอดีตอันรุ่งโรจน์ของอัล-ซาฟีร่า
เมื่อมาถึงใจกลางวิหาร อธิชาก็พบกับแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนสีดำสนิท มีสัญลักษณ์รูปดวงดาวและกลุ่มดาวนายพรานสลักอยู่บนนั้นอย่างโดดเด่น เหนือแท่นบูชาขึ้นไป มีแท่นหินอีกแท่นหนึ่งที่ว่างเปล่า ราวกับว่าเคยมีบางสิ่งตั้งอยู่บนนั้น แต่ถูกนำออกไปแล้ว อธิชาััแท่นหินนั้นด้วยมือ พลังงานที่เธอรู้สึกก็พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับแท่นหินนั้นเป็ตัวนำพลังงานบางอย่าง เธอรู้ทันทีว่านี่คือสถานที่ที่ ดวงใจแห่งแซฟไฟร์ เคยตั้งอยู่
พลัน! อธิชาก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาจากด้านหลัง เธอหันขวับไปทันที แต่ก็ไม่เห็นใคร มีเพียงเงาของเสาหินที่ทอดยาวในความมืดมิด เธอรู้สึกถึงความเย็นะเืที่แล่นไปทั่วสันหลัง ไม่ใช่ความหนาว แต่เป็ความรู้สึกที่บอกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว เธอรู้สึกเหมือนมีผู้คอยจับตามองและขัดขวางการสืบหาข้อมูลของเธออยู่ตลอดเวลา ราวกับเป็เงาที่ตามติดทุกย่างก้าว
อธิชาตัดสินใจกลับไปยังชุมชนกระโจม ก่อนที่แสงจะหมด เธอรู้ว่าการอยู่ในซากปรักหักพังยามค่ำคืนนั้นอันตรายเกินไป ระหว่างทางกลับ เธอพบกับอาบู ฟาห์รีที่ยืนรอเธออยู่หน้ากระโจมของเขา ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมกว่าปกติ
"เ้าเจออะไรมาบ้าง?" เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอยากรู้
อธิชาเล่าถึงสิ่งที่เธอพบในวิหารโบราณ และความรู้สึกที่ถูกจับตามอง อาบู ฟาห์รีรับฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
"ที่นี่มีดวงตามากมาย... มากกว่าที่เ้าจะจินตนาการได้" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ "และบางดวงตา... ก็ไม่ได้้าให้เ้าค้นพบความจริง"
คำพูดของอาบู ฟาห์รียิ่งตอกย้ำความเชื่อของอธิชา เธอกำลังถูกจับตามองจริงๆ และผู้ที่จับตามองเธออยู่นั้นอาจเป็ผู้เดียวกับที่ลอบทำร้ายเธอในโอเอซิส หรืออาจเป็กลุ่มคนที่แตกต่างออกไปก็ได้ อธิชารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การตามหาพ่อ แต่เป็การไขปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเธอจะต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว
////****////
