“กุบกับ ๆ ๆ ”
เหริ่นตงเถิงและกุยป่านเจียวรีบบังคับรถม้าที่เล็กกว่ารถม้าของเหล่าไท่ไท่เข้ามา ฉานอีและไฮว่ฮวาะโออกจากรถเพื่อแบ่งเบาความกังวลใจของทุกคน ขณะนี้เหอตังกุยตกอยู่ในความงุนงงพลางยิ้มขื่น มีด้ามพัดซึ่งเต็มไปด้วยเงินสดทองแดงแขวนอยู่ เหตุการณ์ที่คนมากมายส่งเงินให้แก่พวกเขาเมื่อครู่ทำให้เหล่าไท่ไท่และคนอื่นใปนแปลกใจไม่น้อย
แม่นางจีวิ่งกลับมาพร้อมถุงเงินว่างเปล่า เมื่อเห็นเหตุการณ์จึงรีบวิ่งไปถอนเชือกร้อยเงินหลายเส้นออกจากร่างเหล่าไท่ไท่ก่อนใส่ลงไปในถุงเงิน จากนั้นก็หยิบเงินจากหยางมามา เฟิงหยางและกวนไป๋ตามลำดับ ขณะนี้ในถุงจึงเต็มไปด้วยเงินอีกครั้ง
แม่นางจียังคงสับสนกับเื่ที่เกิดขึ้น ไม่รู้เลยว่าเงินเหล่านี้ล้วนเป็ค่าชดใช้ที่นางเพิ่งจ่ายเมื่อครู่ ทว่านางไม่มีเวลาถามอันใดนัก พลันหันไปเรียกพวกฉานอีมาช่วยพยุงเหล่าไท่ไท่ คุณหนูสามและหยางมามากลับขึ้นรถ เหตุการณ์ช่างวุ่นวายเหลือเกิน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าร่างอ่อนแอของทั้งสามจะทนไหวหรือไม่
เมื่อกลับขึ้นรถม้าคันใหม่ แม่นางจีและหยางมามาก็รีบแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว แม่นางจีเล่าว่านางมอบเงินโดยหวังบรรเทาความโกรธของชาวบ้าน ด้านหยางมามาเล่าว่าคุณหนูสามช่วยเด็กชายคนหนึ่งก่อนได้รับเงินจากมารดาและคนเดินผ่านไปมา ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าหลายคนที่ไม่ได้รับาเ็ต่างได้รับค่ารักษาพยาบาลและค่าชดใช้ ทว่าด้วยความซาบซึ้งในการกระทำของเหอตังกุยจึงเปลี่ยนใจนำเงินมาคืน นอกจากเล่าเื่ที่คุณหนูสามช่วยชีวิตคน ขณะเดียวกันก็เอ่ยยกย่องนางไปด้วย ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก คุณหนูสามช่างโชคดียิ่งนัก ถูกม้าเหยียบแต่กลับไม่เป็อะไร
เหล่าไท่ไท่ใอุบัติเหตุเมื่อครู่สุดขีดจึงเวียนหัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ยาที่ “แม่ชีขี้คุก” ผู้นั้นทำก็มอบให้แก่ผู้อื่นไปเสียแล้ว เหล่าไท่ไท่จึงทำได้เพียงนอนบนเบาะนุ่มเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
ขณะเดียวกันเหอตังกุยที่พิงผนังรถม้าก็คิดย้อนกลับไปตอนที่ม้าเ่าั้บ้าคลั่งถึงสองครั้ง นอกจากดวงตาแดงก่ำ ลิ้นของพวกมันก็ห้อย ทั้งยังมีจุดสีขาวเล็ก ๆ แต่งแต้ม นางจำหนังสือที่บันทึกสาเหตุการเกิดอาการเช่นนี้ได้นั่นก็คือ…
“ซี๊ด...” เหอตังกุยเ็ปจนต้องพยายามหายใจเข้าลึกและเบา ค่อย ๆ กดจุดฝังเข็มหลายจุดเพื่อลดความเ็ปชั่วคราว
เมื่อครู่ขณะแม่นางจีที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพยุงเหอตังกุยขึ้นรถก็มองเห็นสิ่งสกปรกหลังเสื้อของนางจึงมี “น้ำใจ” ช่วยปัดออก เป็เหตุให้เหอตังกุยเวียนหัว เมื่อไฮว่ฮวาที่ไม่รู้เื่เห็นเสื้อผ้าของนางยังสกปรกก็ “มีน้ำใจ” ช่วยปัดอย่างรุนแรงเช่นกัน ลมปราณเจินชี่ในร่างกายของเหอตังกุยจึงยุ่งเหยิงแทบกระอักเื นางนั่งสมาธิท่องเคล็ดวิชากำลังภายในหลายร้อยประโยคด้วยความรวดเร็วจึงควบคุมสถานการณ์วิกฤตนี้ได้ เมื่อแม่นางจีและไฮว่ฮวาเห็นว่าเสื้อผ้าของคุณหนูสามสะอาดก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม คุณหนูสามงดงามเพียงนี้จะสวมเสื้อผ้าสกปรกได้อย่างไร
รถม้าคันนี้ไม่สะดวกสบายและกว้างขวางเท่ารถม้าของเหล่าไท่ไท่ อีกทั้งยังมีคนถึงสี่คนนั่งเบียดเสียดกันด้วยความแออัด ฉานอีและไฮว่ฮวาไม่สามารถเข้าไปได้จึงตัดสินใจยืนใกล้หน้าต่างรถม้าเพื่อจัดการปัญหาที่เหลือ อย่างไรก็ตาม คุณหนูของพวกนางนั้นเฉลียวฉลาด ไม่มีปัญหาใดที่นางไม่สามารถแก้ไขได้
ด้านนอกรถม้า กุยป่านเจียวและเหริ่นตงเถิงนั่งในตำแหน่งคนขับรถม้า พวกเขาคอยสังเกตอาการของม้าทั้งสอง ขณะเดียวกันก็สนทนาถึงสาเหตุที่ทำให้ม้าสามตัวก่อนหน้าบ้าคลั่ง
ตามที่เหริ่นตงเถิงเคยได้ยินจากบ้านเกิดในเมืองเฟิงหยางเมื่อวัยเยาว์ พวกเขาสรุปว่าบนถนนสายนี้มีสุนัขจิ้งจอกชั่วร้ายคอยกัดกินิญญาม้าที่วิ่งผ่านไปมาโดยเลือกม้าดีและมีพลังหยางชี่เพียงพอ ม้าของเหล่าไท่ไท่และม้าของคุณชายใหญ่ตระกูลกวนนั้นเป็ม้าชั้นดีที่สุด โดยเฉพาะม้าของคุณชายใหญ่ตระกูลกวนที่มีแผงคอสีแดงและจมูกสีขาว กล่าวกันว่ามันสามารถวิ่งได้ถึงพันลี้ในเวลากลางวัน แปดร้อยลี้ในเวลากลางคืน เฮ้อ...น่าเสียดายที่มันต้องจบชีวิตเพียงเพราะถูกสุนัขจิ้งจอกกัดกินิญญาจนบ้าคลั่ง ทว่าม้าของคุณหนูสามที่ด้อยกว่าขั้นหนึ่งกลับปลอดภัย อาจเป็เพราะสุนัขจิ้งจอกกินอิ่มแล้วจึงปล่อยพวกมันไป
“ท่านลุงกุย” เหอตังกุยถามเสียงเบาผ่านผ้าม่าน “ข้าจำได้ว่าเคยเห็นรถม้าของพวกท่านจอดที่สี่แยกครู่หนึ่ง พวกท่านหยุดด้วยเหตุใดหรือ?”
“อ้อ ตอนนั้น…” กุยป่านเจียวหยุดสนทนากลางคันก่อนตอบคำถาม “เพราะหยางมามาบอกให้หยุดขอรับ นางบอกว่าเหล่าไท่ไท่อยากกินขนมบ๊ะจ่างและขนมหูแมวรสเผ็ดจึงให้ข้าจอดรอข้างถนนครู่หนึ่ง หลังมามาลงจากรถก็ไม่เห็นซื้ออะไรกลับมาสักอย่าง นางเอ่ยกับเหล่าไท่ไท่ว่าอาหารข้างนอกไม่สะอาด ขอให้เหล่าไท่ไท่อดทนกลับไปกินข้าวที่จวน เหล่าไท่ไท่ยอมฟังคำแนะนำของมามา พวกเราจึงเดินทางต่อขอรับ”
เหอตังกุยขมวดคิ้วมุ่นไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนั้นริมถนน...มีดอกไม้ป่าหรือหญ้าป่าหรือไม่? มีกลิ่นหอมพิเศษคล้ายดอกเสี่ยวไป๋บ้างหรือไม่?”
กุยป่านเจียวย้อนนึกก่อนส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้สังเกตขอรับ ทว่าตอนนั้นมีแพะตาแดงก่ำสองตัวกำลังสู้กัน การต่อสู้นั้นยอดเยี่ยมมาก ฝุ่นฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ พื้นดินกลายเป็หลุมขนาดใหญ่ ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่เห็น คนเดินผ่านไปมาก็ยังหยุดดูขอรับ”
เมื่อเฟิงหยางกลับขึ้นรถม้า สิ่งแรกที่ทำคือจับแขนข้างขวาของหนิงยวนก่อนเริ่มตรวจชีพจรอย่างละเอียด เหตุเพราะอุบัติเหตุรถม้าปะทะกันก่อนหน้านี้ หนิงยวนจึงาเ็สาหัส ทั้งยังกระอักเืครั้งแล้วครั้งเล่าจากการกระแทกของรถม้า นอกจากปิดเส้นลมปราณแล้ว เฟิงหยางก็ได้ระงับการแพร่กระจายของอาการาเ็ภายในชั่วคราว ขณะนั้นยังไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แม้เขาอยากถ่ายทอดลมปราณเจินชี่ให้แก่หนิงยวนเพื่อรักษาาแแต่จำต้องหาสถานที่เงียบสงบ หากทำเช่นนั้นในรถม้าแล้วเกิดการสั่นะเืรุนแรงหรือเกิดเื่ไม่คาดคิด เขาและหนิงยวนอาจตกอยู่ในอันตรายจากการโจมตีกลับของลมปราณเจินชี่
ขณะคิดเช่นนี้ก็ได้ยินเสียงะโของเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ “แย่แล้ว! ม้าบ้าสามตัวลากรถม้าพุ่งมาทางรถม้าของพวกเรา คงจะต้องคิดบัญชีกันเสียหน่อย ร่วมเดินทางไปยมโลกกันเถอะ อีกสิบแปดปีให้หลังพวกเราก็ยังคงเป็วีรบุรุษ!”
เฟิงหยางรีบพุ่งออกจากรถม้าก่อนเหยียบหลังคารถม้าอีกคัน พลันพุ่งไปยังล้อด้านหลังพลางดึงล้อซ้ายและขวาด้วยมือเปล่าในกระบวนท่าเฉียนจินซุย เท้าทั้งสองพยายามดึงล้อรถสุดแรง ไม่นานเขาก็ถูกลากไปไกลถึงสองสามจั้ง ก่อนรถม้าจะหยุดเคลื่อนไหว พื้นดินที่รถม้าผ่านก็กลายเป็ร่องลึกน่าหวาดกลัวสองเส้นเพราะเท้าทั้งสองของเขา ขณะเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ทะเลาะกับคนขับรถม้า เฟิงหยางก็สังเกตเห็นว่าม้าทั้งสามตัวนั้นผิดปกติ จึงใช้เข็มปิดผนึกจุดสำคัญบนกีบทั้งสี่ข้างของพวกมัน ปล่อยให้พวกมันยืนสงบนิ่งกับที่ชั่วคราว
“เสี่ยวยวน อาการาเ็ของเ้า…เหมือนจะถูกระงับชั่วคราวกระนั้นหรือ?” เฟิงหยางเอ่ยกระซิบด้วยความเหลือเชื่อ “เป็เช่นนี้ได้อย่างไร? ชีพจรของเ้าราบรื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก พวกเราเร่งรีบเดินทางทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้เ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง? คงไม่ใช่การฟื้นคืนชั่วขณะก่อนสิ้นลมหายใจกระมัง?”
ขณะนี้หนิงยวนถอดหมวกไม้ไผ่ออกแล้วแต่ยังคงสวมหน้ากากผ้าไหมปักลายดอกไม้ดังเดิม ดวงตาหรี่ลงด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนถอนหายใจพลางกล่าว “ล่าช้ามากแล้ว ข้ากลัวจะสายเกินไป”
เฟิงหยางไม่ได้รับคำตอบจึงดึงเปลือกตาหนิงยวนอย่างไม่ยินยอม ก่อนฟังเสียงหัวใจเต้นภายใต้หน้าอกพลางถอนหายใจเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม “คนที่ฟื้นคืนสติก่อนตายนั้น…จะเหมือนคนปกติหรือไม่? เสี่ยวยวน ตอนนี้เ้ามีความปรารถนาใดที่ยังไม่สมหวังหรือไม่? บอกข้าเถิด ขอเพียงเ้าเอ่ย พี่ชายคนนี้จะพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้ความปรารถนาของเ้าสำเร็จ!”
หนิงยวนปัดมือที่ดึงเปลือกตาพลางเอ่ยตำหนิอย่างอ่อนแรง “ใช่เวลาล้อเล่นหรือ ข้าบอกแล้วว่าข้าดีขึ้นหลังกินยาของสตรีผู้นั้น…เฮอะ สมแล้วที่ตระกูลหลัวมีชื่อเสียงเป็ที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์ ข้าสามารถรับการรักษาในจวนตระกูลหลัวในฐานะ “สหายของเฟิงหยาง” ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถหลบหนีการจับกุมได้อีกด้วย ดีจริง ๆ ทว่าตอนนี้อาการาเ็ของข้ายังไม่ดีขึ้น เพียงถูกระงับชั่วคราวด้วยยาเท่านั้น ยิ่งระงับนานเท่าไรก็จะยิ่งเ็ปมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้น…ฉางนั่ว ครั้งนี้ข้าทำได้เพียงขอให้เ้าปลอมตัวเป็ข้าแล้วกลับไปต้าหนิง นอกจากเ้าก็ไม่มีผู้ใดเหมาะสมแล้ว”
เมื่อเฟิงหยางได้ยินดังนั้นก็เกาศีรษะ ก่อนผายมือพลางเอ่ย “ข้าไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้ แม้ไม่จำเป็ต้องจัดการเื่ต่าง ๆ ในพรรคเฉา แต่ก็ต้องกลับบ้านบ้างครั้งละสองสามวัน เสี่ยวยวน เ้าไม่รู้อะไร ฮูหยินเฟิงผู้นั้นน่ารำคาญยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก หากข้าหายไปสิบยี่สิบวัน…”
“ข้าคิดดีแล้ว ข้าจะให้ิเยวี่ยปลอมตัวเป็เฟิงหยาง” หนิงยวนเอ่ยขัดจังหวะพลางชี้บุรุษข้าง ๆ ผู้มีหน้าตาหล่อเหลาทว่าแต่งตัวเหมือนบ่าวรับใช้ ก่อนพูดต่อด้วยท่าทีอ่อนแรง “จากนั้นเ้าค่อยแต่งตัวเป็ข้าแล้วรีบกลับไปเป็ประธานซ้อมรบที่สนามใหญ่ในวันมะรืนที่เมืองต้าหนิง”
“อะไรนะ? จะให้ิเยวี่ยปลอมเป็เฟิงหยางหรือ” เฟิงหยางเบิกตากว้าง
หนิงยวนขมวดคิ้วพลางพยักหน้าก่อนเอ่ยเสริม “หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก ข้าคงไม่ใช้แผนการเช่นนี้ อย่างไรการดำเนินการในพรรคเฉาที่เมืองหยางโจวก็สำคัญที่สุด ฉางนั่ว ข้ารู้ว่าการออกจากเมืองหยางโจวนั้นอันตราย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ข้าสงสัยว่าลู่เจียงเป่ยอาจจำได้ว่าข้าเป็ประมุขแห่งหออู่อิง ไม่แน่...หน่วยสอดแนมของเขาอาจเดินทางไปถึงเมืองต้าหนิงแล้วก็เป็ได้”
“จำฐานะของเ้าได้กระนั้นหรือ? เป็ไปได้อย่างไร? ลู่เจียงเป่ยไม่เห็นหน้าเ้าด้วยซ้ำ! เ้าประเมินเขาและสหายสูงเกินไปแล้ว” ฉางนั่วส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเขาจะฉลาดเช่นเ้าพูด ตระกูลฉางและตระกูลลู่ร่วมควบคุมดูแลกองทัพในเมืองหลวงด้วยกัน ตระกูลเฟิงและตระกูลลู่ก็ดูแลหน่วยคุ้มครองลู่เฟิง ดังนั้นใน่สองปีที่ผ่านมาข้าจึงใช้สองตัวตนคือฉางนั่วและเฟิงหยางเพื่อติดต่อและเปรียบเทียบวรยุทธ์กับเขาหลายครั้ง ทว่าเขากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ฮ่า ๆ ไม่เพียงถูกข้าปั่นหัวเท่านั้น ครั้งหนึ่งลู่เจียงเป่ยเคยบอกข้าที่ปลอมตัวเป็เฟิงหยางว่าเขาจะแนะนำยอดฝีมือฉางนั่วที่ได้รับขนานนามว่า ‘อ๋องน้อยป้าหวัง’ ให้ข้ารู้จัก…ฮ่า ๆ ๆ ” ฉางนั่วหมุนด้ามพัดในมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะถูกแนะนำให้ตัวข้ารู้จัก เสี่ยวยวน โลกนี้ยังมีเื่ใดน่าสนใจกว่านี้อีกหรือไม่?”
“ฉางเสี่ยวนั่ว เ้ามีหัวเป็คนแต่สมองเป็หมูหรืออย่างไร?” หนิงยวนไอติดต่อกันหลายครั้งเพื่อให้หายใจสะดวก ก่อนเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายด้วยความโกรธ “ข้าพูดหลายครั้งแล้ว อย่าแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าคนอื่นแต่เ้าก็ไม่เคยฟัง คิดว่าใต้หล้ามียอดฝีมือหนุ่มเช่นเ้าและข้ามากนักหรือ? เมื่อเทียบกับเ้าที่ปลอมตัวเป็เฟิงหยางและตัวตนที่แท้จริง ั้แ่อายุ รูปร่าง กระทั่งน้ำเสียงก็คล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งพวกเ้ายังมีวรยุทธ์ติดตัวทั้งคู่ ไม่แน่ลู่เจียงเป่ยอาจสงสัยก็เป็ได้จึงบอกเ้าเช่นนั้น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้