“เอ๋ น้าก็อยู่ด้วยหรือคะ?”
เธอแค่ไปปักกิ่งไม่กี่วันเท่านั้น ทำไมหลิวฟางมาหาถึงซางตูได้เล่า เซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าระหว่างนี้ต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นแน่ ทว่าเธอไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา ณ ตรงนั้น ด้านหลังเซี่ยเสี่ยวหลานติดตามมาด้วยคนรับจ้างแบกหามที่หาจากสถานีรถไฟ ไปถึงปักกิ่งทั้งที เป็ไปไม่ได้ที่เธอจะมือเปล่ากลับมา ข้าวของเยอะเหลือเกิน ตัวเธอเองขนไม่ไหว จึงจ้างคนมาช่วยขนย้ายเข้าร้าน
“คุณคะ คุณวางของไว้ตรงนั้นเลยนะคะ อ่า ใช่ค่ะ ตรงนั้นเลย”
“คุณพักสักหน่อยสิคะ ดื่มน้ำก่อน นี่คือค่าแรงของคุณค่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว ให้เงินแก่คนรับจ้างทันที คนงานรับจ้างเอกก็ไม่กล้าอยู่ในสถานที่แบบนี้นานมากนัก กระเบื้องเงาวาววับสะอาดเอี่ยม มิใช่ที่ที่คนใช้แรงงานอย่างเขาควรจะมาได้
“เด็กคนนี้นี่ ทำไมกลับมาเอง ไม่บอกให้พวกเราไปรับเล่า?”
หลี่เฟิ่งเหมยตำหนิ เซี่ยเสี่ยวหลานได้แต่ยิ้ม
เธออายุตั้งเท่าไรแล้วยังให้คนไปรับที่สถานีอีก สถานีรถไฟซางตูจำเป็ต้องให้คนไปรับด้วยหรือ อีกอย่างที่บ้านมีเพียงผู้หญิงสองคนอยู่ งานในร้านยุ่งหัจนวหมุน ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงตัดสินใจจ้างคนขนของกลับมาเอง
“ฉันไม่เป็ไรค่ะ ยังดีอยู่น่ะ”
หลิวเฟินไม่ใช่คนช่างเจรจามาแต่ไหนแต่ไร เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจหมุนตัวสองรอบ เพื่อทำให้มารดาเธอเห็นอย่างชัดเจนว่าการไปปักกิ่งหนนี้เธอไม่ได้บุบสลายตรงไหน
หลิวฟางพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว “นี่เสี่ยวหลานเดินทางไกลมาหรือ?”
คลายสงสัยที่เมื่อวานไม่ได้เจอเซี่ยเสี่ยวหลาน ที่แท้วันนี้เพิ่งถึงบ้าน หลิวฟางเกิดความสนใจไม่น้อย “นี่ไปเที่ยวที่ไหนมา ทำไมไม่อยู่ช่วยงานในร้านเล่า ดูสิว่าแม่เธอกับป้าสะใภ้ยุ่งกันขนาดไหน”
เธอยกตนข่มท่านจนเคยชิน จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวสั่งสอนเสียหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ลดตัวลงเทียบเท่ากับคนประเภทนี้ และเธอไม่มีความจำเป็ต้องอธิบายเหตุผลในการออกไปข้างนอกของตนเองต่อหลิวฟางด้วย แต่เพราะเห็นแก่ความเป็เครือญาติของทุกคน เลยตอบกลับพอเป็พิธี
“ไปปักกิ่งมาค่ะ น้าอยู่พอดีเลย เอาขนมกลับไปกินสักสองกล่องเถอะ ฉันเอากลับมาจากปักกิ่งด้วยน่ะ”
ปักกิ่งมีอะไรโด่งดั่ง ก็ขนมของเต้าเซียงชุน [1] มิใช่หรือ
แม้จะผ่านไปอีก 30 ปี เมื่อนักท่องเที่ยวต่างถิ่นไปเยือนปักกิ่ง ในหมู่ของฝากที่นำกลับไปให้ญาติสนิทมิตรสหาย ย่อมไม่ขาดขนมของเต้าเซียงชุนและเป็ดย่างของเฉวียนจวี้เต๋อ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถทิ้งธรรมเนียมดั้งเดิมเช่นกัน โจวเฉิงได้โอกาสมอบไว่ฮุ่ยเชวี่ยนจำนวนหนึ่งให้เธออีกแล้ว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาไปเดินร้านค้ามิตรภาพ หากเธออยากซื้อของอะไรที่พิเศษ ถ้าไม่ซื้อกลับมาตอนตนเองไปหยางเฉิงเพื่อนำเข้าสินค้า ก็จะวานไป๋เจินจูช่วยหาให้ ดังนั้นร้านค้ามิตรภาพไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเธอมากมายนัก
เป็ดย่างเย็นแล้วจะไม่ค่อยอร่อย ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็เลือกไม่ได้ แน่นอนว่าเธอต้องให้ของฝากเล็กๆ น้อยๆ แก่คนรู้จักอย่างครอบครัวหูหย่งไฉ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าขนมเต้าเซียงชุนและเป็ดย่างเฉวียนจวี้เต๋อ เพียงแต่ไม่คิดว่าหลิวฟางจะอยู่ด้วย อย่างไรเสียเธอก็ซื้อของมาเสียเยอะแยะ แบ่งบางส่วนให้หลิวฟางถือว่าเป็การเคารพเกียรติระหว่างญาติแล้วกัน
เธอสุ่มล้วงขนมสองกล่องออกมาจากด้านในกระเป๋าสัมภาระ กลับทำเอาหลิวฟางอึ้งจนพูดไม่ออก
เมื่อวานสิ่งที่หลิวฟางหิ้วมาให้หลิวเฟินคือขนมของ ‘เต้าเซียงชุน’ เช่นกัน แต่ของหลิวฟางเป็ห่อกระดาษ ในขณะที่ของเซี่ยเสี่ยวหลานบรรจุอยู่ภายในกล่องเหล็ก กล่องเหล็กดูดีมีระดับกว่าหีบห่อกระดาษยิ่งนัก หลิวฟางนึกถึงคำพูดเมื่อวานของตนเองเข้า ก็รู้สึกว่าหนังหน้าแสบร้อนขึ้นมาทันใด
นี่ยังไม่จบสิ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเอาขนมสองกล่องและเป็ดย่างสองตัวให้หลิวฟาง หลิวฟางตาไวมองเห็นของชิ้นใหญ่ข้างในที่รู้สึกว่าคุ้นเคยมากทีเดียว
“นี่เธอใส่...”
“อ๋อ ฉันเอานมแพะผงกลับมาด้วยสองกระป๋อง แม่ฉันบอกว่าดื่มนมวัวจนเกินพอแล้ว ฉันเลยจะเปลี่ยนรสชาติให้เขาเสียหน่อยน่ะค่ะ”
นมแพะผงสองกระป๋องนี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้บอกว่าจะแบ่ง เธออุตส่าห์แบกสองกระป๋องกลับจากปักกิ่งมาตั้งไกลโข หนึ่งกระป๋องสำหรับหลิวเฟิน อีกหนึ่งกระป๋องสำหรับหลิวจื่อเทาผู้เป็น้องชาย ทว่าพอเธอพูดเช่นนี้ หลิวเฟินก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้เธอ มันหมายความว่าอะไรกันนะ?
หลิวฟางไม่เข้าใจนมแพะผง เธอได้ยินเพี้ยนเป็ ‘นมผงนอก [2]’ บนกระป๋องนมพิมพ์ตัวอักษรภาษาต่างประเทศเป็แถวแนวที่เธอก็อ่านไม่เข้าใจ
นมแพะผงเป็สินค้านำเข้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานเอากลับมาด้วยจริงๆ
หลิวฟางพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เธออยากถามดูเซี่ยเสี่ยวหลานว่าไปทำอะไรที่ปักกิ่ง ทว่าจู่ๆ ประตูร้านก็มีคนเปิดเข้ามาเสียก่อน
เป็หูหย่งไฉนั่นเอง ไม่ทันไรเขาก็เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังแบ่งของจากสัมภาระน้อยใหญ่
“เสี่ยวหลานกลับมาแล้วหรือ?”
“อ้าว พี่หูวันนี้ไม่ไปทำงานหรือ? ฉันเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ”
ประจวบเหมาะพอดี ไม่ต้องถ่อไปบ้านหูหย่งไฉด้วยตัวเอง เซี่ยเสี่ยวหลานส่งขนมและเป็ดย่างให้หูหย่งไฉ เขาปฏิเสธอยู่สักครู่แล้วจึงรับไว้
เซี่ยเสี่ยวหลานให้ของฝากอย่างเอื้อเฟื้อ กลับทำให้หลิวฟางโกรธเคืองยิ่งนัก—ของที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้ชายคนนั้น จำนวนมากเท่าของที่ให้เธอผู้เป็น้าคนนี้! ถ้ามิใช่เพราะยังไม่แน่ใจในหัวนอนปลายเท้าของหูหย่งไฉ หลิวฟางจะชักสีหน้าใส่ตรงนี้แน่นอน
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน หลิวฟางเป็น้าแท้ๆ ทว่าสนิทสู้หูหย่งไฉไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอให้ของฝากมากเท่ากันได้ก็เพราะเห็นแก่ความเป็ญาติ มิเช่นนั้นเธอย่อมให้บ้านหูมากกว่าสักหน่อยอยู่แล้ว
ที่แท้หูหย่งไฉมาเพื่อแจ้งแก่พวกเธอว่าวานคนซื้อโทรทัศน์และเครื่องซักผ้าให้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอ้าเมื่อไร สามารถขนย้ายไปยังบ้านได้ทุกเวลา
“โทรทัศน์สีซงเซี่ย [3] 19 นิ้ว เครื่องซักผ้าระบบอัตโนมัติเต็มตัว ความจุไม่น้อย ปลอกผ้านวมที่ถอดออกมาก็สามารถใส่ซักในถังได้”
ราคาแพงไปหน่อย ไม่อย่างนั้นหูหย่งไฉก็อยากซื้อบ้าง
ต่อหน้าคนนอก เขาไม่ได้บอกว่าราคาเท่าไร
แต่ของสองอย่างนี้เป็สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลี่เฟิ่งเหมย้าแน่นอน เมื่อหลี่เฟิ่งเหมยได้ยินว่าซื้อโทรทัศน์สีได้แล้ว เธอดีอกดีใจเป็อย่างมาก “ส่งไปบ้านฉันเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น!”
คนในหมู่บ้านที่มีโทรทัศน์ล้วนเป็รุ่นขาวดำ ไม่ต้องพูดถึงขนาดเกิน 17 นิ้ว บ้านหลี่เฟิ่งเหมยจะไม่ซื้อก็ได้ แต่เมื่อซื้อได้ทั้งทีย่อมต้องเป็โทรทัศน์สีซงเซี่ยขนาด 19 นิ้ว
ถ้าอยู่ในหมู่บ้าน หลิวฟางคงนึกว่าพวกเธอกำลังรวมตัวกันแสดงละคร ทว่าพอยืนบนกระเบื้องไมโครคริสตัลของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เมื่อหลี่เฟิ่งเหมยพูดว่าโทรทัศน์นั่นคือซงเซี่ยรุ่นสีขนาด 19 นิ้ว มันก็ไม่มีทางกลายเป็โทรทัศน์ขาวดำที่ผลิตในประเทศได้อย่างแน่นอน
ครอบครัวฝ่ายมารดามั่งคั่งร่ำรวยอย่างรวดเร็วเหลือเกิน หลิวฟางรู้สึกว่าตนเองจำเป็ต้องสงบใจสักพัก
ความขุ่นเคืองในอกเธอนั้นมันไม่คลายลงเลย การที่หลิวหย่งอู้ฟู่ หรือหลี่เฟิ่งเหมยสามารถซื้อโทรทัศน์สีนำเข้าขนาด 19 นิ้วได้ ต่างเป็เื่ที่เธอพอจะเข้าใจ แต่แล้วทำไมพี่สาวม่ายถึงได้ใช้เครื่องซักผ้าได้เล่า? เครื่องซักผ้าอัตโนมัติ กระทั่งหลิวฟางยังไม่มีโอกาสได้ใช้ เครื่องซักผ้าที่บ้านเธอยังเป็รุ่นสองถังกึ่งอัตโนมัติอยู่เลยด้วยซ้ำ
โทรทัศน์บ้านหลิวฟางก็เป็เพียงรุ่นขาวดำขนาด 14 นิ้ว
เธอคิดว่าหลิวหย่งเป็คนซื้อเครื่องซักผ้าให้เซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อให้บ้านเหลียงไม่ได้อัตคัดขัดสนเงินสำหรับซื้อเครื่องซักผ้า แต่พี่ชายเธอลำเอียงเกินไปหรือเปล่า?
ก่อนหน้านี้พี่รองของเธออยู่บ้านเซี่ยมิใช่ว่าต้องทำงานเหนื่อยงานหนักงานสกปรกอะไรทั้งหมดหรือ พอมาตอนนี้ มือล้ำค่าเสียจนต้องใช้เครื่องซักผ้าอัตโนมัติเลยหรือ... หลิวฟางชำเลืองมองมือของพี่สาวเธอแวบหนึ่ง หากตอนนี้จะบอกว่าหลิวเฟินคือคนเมืองก็ไม่มีใครสงสัย
หลิวฟางข่มความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจเอาไว้
เธอยัง้าสอบถามเื่คนรักของเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่ม
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งกลับมาจากปักกิ่งในวันนี้ เมื่อวานหลิวฟางไม่ได้รับประทานอาหารในเมือง จะเลี้ยงอาหารเธอสักมื้อในวันนี้ก็กระอักกระอ่วนเกินกว่าที่จะเชิญ หลิวฟางไม่ได้บอกว่าจะกลับเขตเสียด้วย เห็นท่าทีแล้วคงอยากพักในเมืองมณฑล
เซี่ยเสี่ยวหลานขอโทษขอโพย “น้า บ้านหลังนั้นที่พวกเราเช่าอยู่ กฎระเบียบเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้คนนอกค้างคืนที่นั่น ถ้าน้าจะพักในเมือง ฉันไปเปิดห้องที่บ้านพักรับรองให้น้าดีกว่า ใช่แล้ว น้าเอาจดหมายแนะนำมาหรือไม่?”
ย่าอวี๋มีกฎเกณฑ์นี้จริง ทว่าปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างย่าอวี๋และสองแม่ลูกผ่อนคลายขึ้นมาก หากจะให้คนค้างคืน ย่าอวี๋ก็ไม่ว่าอะไร
แต่หลิวฟางไม่รู้นี่นา เธอนึกถึงหญิงชราหัวแข็งมืดมนนั่น แม้จะรู้ว่าเป็เพียงคนทำความสะอาดถนน ทว่าในใจยังคงเกรงกลัวอยู่ดี
พอมองไปยังหลี่เฟิ่งเหมยอีกที หลี่เฟิ่งเหมยตีสีหน้ายิ้มแย้ม
“บ้านฉันมีเตียงแค่หลังเดียว เสี่ยวฟางนอนชินเสียที่ไหนกัน”
เซี่ยเสี่ยวหลานยืนกรานจะไปเปิดห้องที่บ้านพักให้ หลิวฟางพกจดหมายแนะนำติดตัวมาเสียเมื่อไร เธอทำได้เพียงเลือกกลับเขตอย่างไม่เต็มใจ “ใช่แล้ว ทำไมฉันมาสองวันยังไม่เห็นพี่ใหญ่เลยล่ะ?”
เชิงอรรถ
[1]稻香村 เต้าเซียงชุน คือ ชื่อยี่ห้อขนมอันโด่งดัง ก่อตั้งขึ้นั้แ่ปี 1773 ที่เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู
[2]นมแพะผงคือ 羊奶粉 ส่วนนมผงนอก (นมผงจากต่างประเทศ) คือ 洋奶粉 คำว่าแพะ (羊) และต่างชาติ (洋) ออกเสียงเหมือนกัน หลิวฟางจึงได้ยินผิดเพี้ยนไป
[3]松下 ซงเซี่ย คือ ชื่อทางการค้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็ชื่อที่อ่านแบบภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นคือ มัตสึชิตะ มาจาก มัตสึชิตะ โคโนสุเกะ ซึ่งเป็ผู้ก่อตั้ง หรือในปัจจุบันคือยี่ห้อ Panasonic
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้