เล่มที่ 7 บทที่ 194 กระบี่ทั้งสี่เล่ม
หลังจากมนต์สะกดเทียนกังได้แตกสลายไป พลังของกระบี่เจิ้นยวี่เองก็ถดถอยลงไปด้วย แม้จะมีมนต์สะกดสามสิบหกสายเช่นเดิมก็ตาม แต่กลับไม่อาจต้านทานอสุรกายกุ่ยหวังที่โเี้ได้ บัดนี้อสรพิษั์สีดำกำลังอ้าปากกว้าง และเพียงครู่เดียวมันก็กลืนกินมนต์สะกดสายหนึ่งเข้าไป กระบี่เจิ้นยวี่ซึ่งเสียมนต์สะกดไป ถึงกับหวีดร้องออกมา หลังจากกลืนกินมนต์สะกดเข้าไปแล้ว อสรพิษั์ก็ดูร้ายกาจและโเี้กว่าเดิมเล็กน้อย และมันก็ไม่รอช้า บัดนี้เองมันก็หมายจะกลืนกินมนต์สะกดสายถัดไปทันที...
ยังดีที่เย่วซานสามารถตั้งสติได้ทันท่วงที ในฐานะที่เป็ผู้ดูแลร้านหลอมอาวุธฉวินซาน เขาจึงมีอาวุธล้ำค่าคุ้มกายอยู่เช่นกัน สิ้นเสียงแค่นหัวเราะของเขา ก็มีระฆังสีทองขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นมา ทว่าหลังจากเย่วซานเริ่มโคจรพลังปราณ ระฆังสีทองใบน้อยก็พลันขยายใหญ่ราวกับแท่นโม่ขนาดั์ ครู่เดียวเท่านั้นมันก็ทุ่มลงไปที่หัวเ้าอสรพิษั์สีดำสุดแรง
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังกัมปนาทจนฟ้าดินสั่นะเืขึ้น เ้าอสรพิษั์ถูกทุบจนเซไปเล็กน้อย เพราะความเ็ปนี้เอง มันถึงกับต้องคายมนต์สะกดที่กลืนเข้าปากไปแล้วออกมา
แม้กระบี่เจิ้นยวี่จะยังไม่มีหยวนหลิงก็ตาม แต่มันก็เป็ศาสตราวุธที่มีมนต์สะกดสามสิบหกสาย จึงมีการรับรู้อยู่บ้าง กระบี่เจิ้นยวี่จึงถือโอกาสที่ระฆังสีทองทุ่มใส่อสรพิษั์หนีออกมา แน่นอนว่ามีหรือกระบี่เจิ้นยวี่ซึ่งเสียมนต์สะกดเทียนกังจะยอมง่ายๆเพียงเท่านี้?
หลังจากหนีออกมาได้แล้ว มันก็ลอยตัวเข้าไปช่วยระฆังใบั์ ครู่ถัดมาก็เงื้อตัวกระบี่สูงขึ้นก่อนจะฟาดลงมาเต็มแรง พริบตานั้นเกิดเป็ลำแสงกระบี่สีเขียวที่กำลังสะบั้นลงไปยังอสรพิษั์สีดำทันที และอาวุธล้ำค่าทั้งสองก็ร่วมต่อสู้เคียงข้างกันอย่างยากที่จะแยกจาก...
ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็ถึงมีดบินฮั่วอู๋ ซึ่งเคยเป็สมบัติประจำสำนักโยวิ แน่นอนว่ามันจึงมีพลังไม่ได้ธรรมดา ศาสตราวุธทั่วไปย่อมไม่สามารถเอาชนะได้ ลำพังแค่พลังจากมีดบินฮั่วอู๋อย่างเดียวก็สามารถเอาชนะระฆังสีทองและกระบี่ยวี่เจิ้นได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ หลังจากสะบั้นกระบี่ออกไปนับครั้งไม่ถ้วน ระฆังสีทองก็สิ้นฤทธิ์ลง เมื่อเห็นดังนั้นมีดบินฮั่วอู๋ก็สลายกลายเป็อสรพิษั์อีกครั้ง และรีบพุ่งไปทางกระบี่เจิ้นยวี่อย่างหิวกระหาย...
“...”
เมื่อเย่วซานเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็ซีดขาวลงฉับพลัน ‘สิ่งนี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ขนาดปล่อยระฆังสีทองออกมาแล้ว ก็ยังไม่อาจปกป้องกระบี่เจิ้นยวี่เอาไว้ได้...’
‘จะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ?’
เย่วซานตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ส่วนเจียงหลีที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่พึมพำกับตัวเองไม่หยุด ‘หรือว่าควันที่อาจารย์อาบอกจะหมายถึงเ้าสิ่งนี้?’
‘แต่ควันดำนี้ดูจะร้ายกาจเกินไป หากสะบั้นออกไปแล้วกลายเป็การรนหาที่ตายขึ้นมา จะทำอย่างไร?’
เจียงหลียังคงสองจิตสองใจ ไม่รู้จะตัดสินใจทำเช่นไรดี...
ทว่าเพียงครู่เดียวอสรพิษั์สีดำก็กลืนกินมนต์สะกดกระบี่เจิ้นยวี่เข้าไปอีกสาย บัดนี้มนต์สะกดในตัวมีดบินฮั่วอู๋ฟื้นกลับมามีสามสิบหกสายเช่นเดิมแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวมันก็จะสามารถหลอมเอามนต์สะกดทั้งสามสิบหกสายเข้าด้วยกันและเกิดเป็มนต์สะกดเทียนกังในที่สุด เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็ศาสตราวุธอีกครั้ง...
“ไม่สนแล้ว สะบั้นก็สะบั้นวะ!” เจียงหลีกัดฟันแน่น ก่อนจะกระชับกระบี่ในมือ พริบตาถัดมาเขาก็สะบั้นกระบี่ใส่อสรพิษั์สีดำซึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้าทันที...
ทันใดนั้นก็เกิดลำแสงสีแดงพวยพุ่งขึ้น ขณะเดียวกันทางตอนเหนือของเมืองวั่งไห่ก็เกิดลำแสงกระบี่สามสีเปล่งประกายขึ้น และกำลังเคลื่อนตัวเพื่อผสานเข้ากับลำแสงกระบี่สีแดง และพริบตาถัดมาก็เกิดเป็ลำแสงกระบี่สี่สี ได้แก่ สีแดง สีขาว สีทอง และสีเขียวรวมกันเป็ลำแสงกระบี่ยาวนับพันจ้าง จากนั้นก็สะบั้นใส่อสรพิษั์สีดำเข้าไปเต็มแรง...
จากนั้นก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้น...
กระบี่ทั้งสี่เล่มมีต้นกำเนิดเดียวกับกล่องกระบี่เจิงหนิง แน่นอนว่ากระบี่ทั้งสี่ก็เกิดจากอักขระกระบี่เจิงหนิงเช่นกัน แถมทั้งหมดยังเกิดจากจิติญญาของหลินเฟยอีกด้วย เมื่ออดีตกาล ตอนที่เจิงหนิงถือกำเนิดขึ้นมา ได้มีดาวอัปมงคลสี่ดวงปรากฏขึ้น นั่นก็คือ อู๋กุ่ย หลิ่วซ่า จูเจวี๋ย และไจฮั่ว เมื่อดาวทั้งสี่ปรากฏ จึงทำให้เกิดเจิงหนิงขึ้นมา
และกระบี่แดงก็คือจูเจวี๋ย กระบี่ขาวคือไจฮั่ว กระบี่ทองคือหลิวซ่า และกระบี่เขียวก็คืออู๋กุ่ย
ในตอนแรกกระบี่ทั้งสี่ก็ถูกค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่าหลอมจนได้มนต์สะกดยี่สิบเจ็ดสาย ดังนั้นเมื่อรวมพลังเข้ากับกล่องกระบี่เจิงหนิง ต่อให้เป็ศาสตราวุธก็ยากที่จะต้านได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีดบินฮั่วอู๋ที่ตกจากขั้นศาสตราวุธลงมาเลย แม้จะกลืนกินมนต์สะกดเข้าไปมากมาย แต่ก็ทำได้เพียงกลับมามีมนต์สะกดสามสิบหกสายเท่าเดิม ซึ่งยังถือว่าห่างไกลจากพลังก่อนหน้าเป็อย่างมาก เมื่อเป็เช่นนี้แล้วจะต้านรับการพุ่งโจมตีรุนแรงนี้ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นอสรพิษั์สีดำก็คลายตัวเป็ควันดำอีกครั้ง บัดนี้มันกำลังแพร่กระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าราวกับเมฆหมอกสีดำ ทว่าครู่เดียวก็เหมือนกำลังถูกกลืนกิน เพราะบัดนี้หมอกควันดำที่แพร่กระจายอยู่จู่ๆก็สลายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงโหยหวนด้วยความเ็ป เพียงแค่สองอึดใจ มันก็สลายไปจนเหลือเพียงไออสูรสีดำดวงน้อยลอยอยู่กลางอากาศเท่านั้น…
เมื่อทุกอย่างสงบลงก็มีเสียงแหบชราน่ากลัวดังขึ้น
“วันหน้ายังอีกยาวไกล จงใช้ชีวิตดีๆ อย่าได้ตายไปเสียก่อนล่ะ…”
เมื่อสิ้นเสียงชรา ไออสูรก็จางหายไป เหลือเพียงมีดบินสีดำเล่มหนึ่งลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ…
ไม่รอให้มีดบินลอยลงสู่พื้น ลำแสงกระบี่ทั้งสี่สีก็บินหอบเอามีดบินฮั่วอู๋มุ่งไปทางตอนเหนือทันที…
หลังจากเห็นลำแสงกระบี่ทั้งสี่จากไปพร้อมมีดบินสีดำ ร่างกายของเย่วซานก็ลอบสั่นด้วยความหวาดกลัว บัดนี้ทั่วทั้งแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น…
‘เสียงนั่น…’
‘คือเสียงของอสุรกายกุ่ยหวัง!’
จึงแปลว่าที่เจียงหลีสะบั้นจนแตกสลายไปเมื่อครู่นี้ ก็คือร่างอวตารของอสุรกายกุ่ยหวังนั่นเอง!
‘เช่นนั้นแล้วกระบี่นั่นจะมีพลังร้ายกาจเพียงใดกันนะ?’
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักโยวิก็กำลังมองไปทางตอนเหนือของเมืองวั่งไห่ สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะเมื่อครู่นี้พวกเขาถึงกับเห็นชัดเจนด้วยตาตนเองว่ามีดบินสีดำเล่มนั้น ละม้ายคล้ายกับมีดบินฮั่วอู๋ ซึ่งเป็สมบัติประจำสำนักที่สูญหายไปเมื่อหลายพันปีก่อน ทันใดนั้นเองพวกเขาจึงเอาแต่คาดเดากันว่า นั่นอาจจะเป็มีดบินฮั่วอู๋ที่หายไปจริง...
งานประลองอาวุธที่แสนยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็จบลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ศาสตราวุธทั้งสี่ของสี่ร้านหลอมอาวุธใหญ่ ก็ไม่มีคนสนใจอีกต่อไป เพราะทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือลำแสงกระบี่ทั้งสี่ที่ราวกับพุ่งมาจากแดนเซียน…
แต่กระบี่ทั้งสี่เล่มนี้ ก็เป็ผลงานของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อ
เย่วซานประคองกระบี่ยวี่เจิ้นที่สูญเสียมนต์สะกดสองสายไว้ในมืออย่างเ็ป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นกู้เชียนฟานที่อยู่ไม่ไกล บัดนี้อีกฝ่ายมีเม็ดเหงื่อมากมายผุดพรายขึ้นทั่วใบหน้า กู้เชียนฟานเองก็หันมาเห็นเย่วซานพอดี แต่ครั้งนี้กลับไม่มีทีท่าเย้ยหยันอย่างทุกครั้ง…
ทั้งคู่ประสานสายตากัน โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว…
------------------------------------------------------------------------------------------------------