เมื่อสองสามีภรรยาเสิ่นฟังจบก็ถอนหายใจ
“พ่อแม่ตายไป คนที่ลำบากที่สุดก็คือลูก ญาติของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ช่างไร้น้ำใจนัก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น” นายหญิงเสิ่นกล่าว
นายท่านเสิ่นพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหมาเอ๋อร์กับพี่สะใภ้สามจะเกิดความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกนี้ได้หรือเปล่า หวังว่าเสี่ยวเหมาเอ๋อร์จะเปิดใจรับพี่สะใภ้สามได้จริงๆ"
กู้เจิงวางตะเกียบลง นางนำชามและตะเกียบที่กินเสร็จแล้วไปวางในอ่างสำหรับล้าง “เดี๋ยวข้าจะไปหาท่านลุงสามกับท่านป้าสามเพื่อบอกเื่เสี่ยวเหมาเอ๋อร์กับพวกเขาเ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาพยักหน้า “รีบไปเถอะ”
“จริงสิ ท่านพ่อ ท่านแม่ หิมะตกหนักครั้งนี้จะไม่เป็อะไรใช่ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงไม่อยากให้เกิดเื่น่าสลดใจอย่างพ่อแม่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์อีก
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี คราวก่อนหิมะตกหนักจนมีคนเสียชีวิต ครั้งนี้ทุกคนจึงระวังไว้แล้ว ผู้นำตระกูลให้ช่างในตระกูลไปตรวจสอบทุกบ้านแล้ว” นายท่านเสิ่นกล่าว
กู้เจิงนึกถึงชายชราที่ไว้เคราแพะคนนั้น ทุกครั้งที่คนในตระกูลพูดถึงเขาล้วนแล้วแต่แสดงความเคารพเลื่อมใสในตัวเขามาก ผู้นำที่คิดเผื่อคนในตระกูลอย่างรอบคอบเช่นนี้ สมแล้วที่ทุกคนจะชื่นชอบเขา
ชุนหงไปเตรียมรถม้า กู้เจิงกลับเข้าห้องไปเอาป้ายอักษรที่เสิ่นเยี่ยนเขียนไว้ให้ นางวางแผนว่าจะไปที่ร้านของลุงสามก่อนแล้วค่อยไปแวะที่ร้านหนังสือ นางจะเปลี่ยนป้ายอักษรที่ฝุ่นเกาะในร้านเป็ป้ายของเสิ่นเยี่ยนแทน
หิมะบนถนนถูกกวาดจนสะอาด วันนี้อากาศไม่หนาวมากนัก
ตอนผ่านร้านขนมเฉินหลาง นางเห็นผู้คนกำลังต่อแถวซื้อต้าปิ่ง* น้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋ สองสามีภรรยาเ้าของร้านทำงานกันมือเป็ระวิง
(*เป็อาหารที่นิยมมากในจีน ทำจากแป้งที่นวดจนเป็แผ่นกลม ก่อนจะนำไปทอด คล้ายกับแพนเค้ก)
ร้านเต้าหู้ของลุงสามเปิดมาระยะหนึ่งแล้ว เต้าหู้ที่พวกเขาทำก็แวววาวดุจหยกขาว รสชาติอ่อนนุ่มหอมกรุ่น เมื่อกู้เจิงกับชุนหงมาถึงร้าน ก็เห็นคนจำนวนมากกำลังต่อคิวซื้อเต้าหู้
กู้เจิงนึกถึงเื่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์พลันไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางกำลังจะบอกชุนหงว่าให้ไปที่ร้านหนังสือก่อน รอสายอีกหน่อยค่อยมา ป้าสามก็เห็นพวกนางเข้าเสียก่อน
“อาเจิง? เ้ามาที่นี่ได้ยังไง รีบเข้ามากินเต้าหู้ร้อนๆ ก่อนเร็ว” ป้าสามเดินออกมาทักทายอย่างอารมณ์ดี
ลุงสามก็เห็นแล้วเช่นกัน เขากำลังยุ่งอยู่ จึงะโจากในร้านว่า “รีบเข้ามานั่งเถอะ”
“เราทานอาหารเช้ากันแล้วเ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มรับ “ท่านป้าสามทำงานก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราค่อยมาอีกทีเ้าค่ะ”
“เ้าจะมาคุยเื่เสี่ยวเหมาเอ๋อร์กับข้าใช่ไหม” ป้าสามเห็นกู้เจิงพูดเช่นนี้ก็คิดว่าน่าจะมีธุระ “ตอนนี้งานไม่ยุ่งมาก เต้าหู้ก็ทำไว้พร้อมแล้ว ลุงสามของเ้ารับมือเองได้” นางว่าพลางจูงมือกู้เจิงไปนั่งโต๊ะว่างเล็กๆ ในร้าน
“ท่านป้าสาม เสี่ยวเหมาเอ๋อร์อยากไปเป็ทหารเ้าค่ะ เขากังวลว่าอีกหน่อยพวกท่านจะไม่ชอบเขา” กู้เจิงเล่าสิ่งที่เสิ่นเยี่ยนบอกเมื่อคืนให้ป้าสามฟัง
ป้าสามได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าปวดใจ “ข้ารู้เพียงว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าญาติพี่น้องของเขาปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ใน่นั้นข้าอารมณ์ไม่ดี ลุงสามของเ้าก็ไม่ได้บอกรายละเอียดกับข้า”
“ป้าสาม เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไม่เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เขามีความคิดเป็ของตัวเอง และอาจจะพาตัวกลับมาไม่ได้เ้าค่ะ”
“ข้าทราบดี” ป้าสามพยักหน้า “ในเมื่อข้าอยากเป็แม่ของเขา ก็จะรับผิดชอบหน้าที่ที่มีต่อเขาเอง ข้าจะไปที่ค่ายทหารเพื่อพาเขากลับมา หากแค่นี้ข้ายังทำไม่ได้ ข้าจะเป็แม่ของเด็กคนนี้ได้ยังไง”
กู้เจิงโล่งใจ ท่านป้าสามมีความคิดเช่นนี้ ช่างเป็วาสนาของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์แท้ๆ
ขณะนั้นเอง ลุงสามก็ยกเต้าหู้ร้อนๆ สองชามมาให้ “อาเจิง ชุนหง เติมน้ำตาลเอาเองนะ”
“ท่านลุงสาม ท่านทำงานของท่านเถอะเ้าค่ะ พวกเราไม่อยากรบกวนท่าน” กู้เจิงและชุนหงรีบพูด
“่เวลานี้ไม่ยุ่งแล้ว ่ที่ยุ่งที่สุดคือยามเหม่าน่ะ” ลุงสามหัวเราะ
กู้เจิงเหลียวมองคิวซื้อเต้าหู้ ลุงสามทำงานไวมาก เมื่อครู่ยังมีคนอยู่เยอะเลย แต่ตอนนี้กลับขายหมดแล้ว
ป้าสามเล่าเื่เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ให้ลุงสามฟัง ลุงสามพยักหน้าถี่ “ก็ไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นจะกังวลเช่นนี้ งั้นอีกสักพักพวกเราค่อยไปหาเขาที่ค่ายทหารแล้วกัน”
“ดีเ้าค่ะ” ป้าสามรับคำอย่างมีความสุข
กู้เจิงกับชุนหงกินเต้าหู้เสร็จก็ช่วยพวกลุงสามปิดร้าน พวกนางมองดูพวกเขานั่งรถวัวออกจากเมือง แล้วค่อยไปที่ร้านหนังสือ
“คุณหนู ท่านคิดว่าเสี่ยวเหมาเอ๋อร์จะกลับมากับท่านลุงสามไหมเ้าคะ?” ชุนหงถามขึ้น
ร้านเต้าหู้อยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือ นายบ่าวทั้งสองจึงพากันเดินไป ชุนหงจูงเชือกม้า
“ไม่รู้สิ อาจจะยากสักหน่อย” เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เป็เด็กที่มีความคิดเป็ตัวของตัวเอง เขาผ่านความยากลำบากมามาก ย่อมไม่เปลี่ยนความคิดกันง่ายๆ
ร้านหนังสือเพิ่งจะเปิด เถ้าแก่หม่าตงหาวหวอดพลางถูมือไปมา พอเห็นกู้เจิงก็รีบปั้นยิ้มออกมาต้อนรับ “คุณหนูใหญ่มาแต่เช้าขนาดนี้เชียวหรือขอรับ?” เขาผายมือต้อนรับเข้าร้าน
“อรุณสวัสดิ์ลุงหม่า” กู้เจิงยิ้มทักทาย นางส่งถุงผ้าในมือให้เขา แล้วชี้ไปยังป้ายอักษรเก่าๆ ที่แขวนอยู่บนผนัง “เอาป้ายอักษรนั้นออก แล้วเปลี่ยนเป็แขวนอันที่ข้าให้เ้าแทน”
หม่าตงเปิดถุงผ้าออกด้วยความสงสัย เป็ม้วนภาพอักษร เขากางมันออกดูและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “อักษรดี เป็อักษรดีทีเดียว เอ็นเหยียนกระดูกหลิ่ว[1] ท่ามกลางเมฆเหินน้ำไหล[2] ยังแรงลึกถึงหลังกระดาษ[3]” เขาไล่สายตาลงมองชื่อผู้เขียน “คุณชายสุยโหยว? คุณหนูใหญ่ ชื่อนี้ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะขอรับ”
“ไม่เคยได้ยินก็ไม่สำคัญอะไร อักษรภาพนี้ดีกว่าภาพเก่าที่แขวนอยู่เสียอีกกระมัง?” กู้เจิงลำพองใจ
“ใช่ขอรับ อักษรนี้ อย่างน้อยก็ควรค่าถึงห้าตำลึง รอคุณชายสุยโหยวมีชื่อเสียง ราคาก็จะสูงขึ้นอีกแน่ขอรับ” หม่าตงรีบเปลี่ยนเป็ป้ายอักษรใหม่ “คุณหนูใหญ่ ท่านให้จะจัดการกับป้ายอักษรเก่านี้ยังไงขอรับ?”
“ห่อเก็บไว้ ข้าจะเอาไว้ทำประโยชน์”
“ได้ขอรับ” หลังจากหม่าตงห่ออักษรภาพเสร็จ ก็หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งกับสมุดบัญชีอีกสองสามเล่มออกมา เขายิ้มพลางเอ่ยกับกู้เจิงว่า “นายท่านกับนายหญิงกำชับไว้แล้ว วันหน้ากำไรที่ได้ของร้านนี้ไม่ต้องนำส่งกลับจวนอีก ในเมื่อคุณหนูใหญ่เรียนรู้วิธีจัดการดูแลได้แล้ว ก็ขอส่งคืนทั้งหมดให้คุณหนูใหญ่นะขอรับ”
กู้เจิงพยักหน้า “ท่านแม่ได้บอกเื่นี้กับข้าแล้ว” คราวก่อนตอนที่ไปจวนกู้ นายหญิงได้บอกกับนางไว้แล้ว “จริงสิลุงหม่า ข้าเช่าอาคารสองชั้นที่เมื่อก่อนเคยเปิดเป็โรงน้ำชาอวิ๋นเซียงไว้แล้ว เดี๋ยวจะมีช่างไม้เข้าไปทำร้าน ช่างไม้คนนั้นเป็ญาติทางฝั่งสามีข้า มีนามว่าเสิ่นกุ้ย ถ้าท่านว่างก็แวะไปดูสักหน่อย วันหน้าร้านนั้นก็จำต้องให้ท่านจัดการดูแล”
หม่าตงตะลึงงัน หากเขาจำไม่ผิด ร้านนั้นใหญ่มาก เขายิ้มรับด้วยความยินดีในทันที “คุณหนูใหญ่ให้ความสำคัญกับข้าน้อยเช่นนี้ ข้าน้อยจะไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ เพียงแต่ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่เช่าร้านนั้นไปทำอะไรหรือขอรับ?”
“ข้าหิวน้ำแล้ว”
“ไอ้หยา คุณหนูใหญ่รีบนั่งลงก่อน ข้าน้อยจะรีบไปเอาน้ำชามาให้เดี๋ยวนี้ขอรับ” หม่าตงกล่าวพลางเดินไปหยิบน้ำที่ด้านหลัง แต่ถูกชุนหงขวางไว้
ชุนหงเม้มปากยิ้ม “ลุงหม่ารีบนั่งลงฟังคุณหนูพูดเื่ร้านจะดีกว่า ที่นี่มีข้าอยู่ ไหนเลยจะต้องใช้ท่านมาเทน้ำชาด้วยเล่า” ว่าแล้วนางก็เดินเข้าไปด้านในแทน
กู้เจิงหยิบแผนผังหอสมุดที่วาดเสร็จแล้วออกมา ก่อนจะอธิบายแผนการของตัวเอง นาง้ากำลังคน หนังสือในร้านใครก็ทำความคุ้นเคยกับมันได้ แต่ทว่าหม่าตงไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับการจัดการร้านหนังสือเท่านั้น แต่ยังคุ้นเคยกับการค้าขายหนังสือด้วย นางยัง้าซื้อหนังสือเก่าจำนวนมาก เื่นี้จึงจำต้องให้คนอย่างหม่าตงเป็คนทำ
การสนทนาของทั้งสองผ่านไปหนึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัว หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว หม่าตงก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง นับั้แ่สมัยโบราณหนังสือก็ไม่ใช่ของราคาถูก การเปิดหอสมุดแบบนี้ก็เท่ากับการเปิดร้านหนังสือให้กับชาวบ้านชนชั้นสามัญทั่วไป ไม่สิ น่าจะเป็ชาวต้าเยว่ทุกคน ทั้งยังต้องมีราคาย่อมเยาให้ทุกคนเข้าถึงได้อีกด้วย
“คุณหนูใหญ่ ถ้าเกิดว่าขาดทุนขึ้นมา ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยนะขอรับ” หม่าตงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ข้าน้อยคิดว่าโอกาสที่จะขาดทุนนั้นไม่สูงนัก”
“ไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไร เอาเป็ว่าพวกเราทำให้มันดีเสียก่อน”
“ขอรับ”
กู้เจิงกำลังจะกำชับเื่ที่ให้ลุงหม่าไปซื้อหนังสือเก่า ทันใดนั้นในร้านหนังสือก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเขามา ยามต่างฝ่ายเห็นหน้ากัน กู้เจิงกับเด็กหนุ่มคนนั้นก็ชะงักงันไป
“คุณชายสามหนิง?”
“คุณหนูใหญ่กู้?”
เป็คุณชายหนิงฉีกวง หรือก็คือน้องชายร่วมอุทรของหนิงซิ่วหลันที่แต่งเข้าหมู่บ้านตระกูลฟางบนยอดเขาซีไป๋ กู้เจิงประหลาดใจที่หนิงฉีกวงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ คุณชายสามหนิงผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่ ทว่าความจริงแล้วอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น เขามีรูปร่างกำยำ ใบหน้ากลมกลึง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็ผู้ใหญ่
ทั้งสองรู้จักกันครั้งแรกในงานล่าสัตว์ หลังจากนั้นแม้จะไม่ได้มาเจอกันโดยตรง แต่ด้วยเื่ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น พอได้เจอหน้ากันก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้
“คุณชายสามมาที่นี่ได้ยังไง?” กู้เจิงแก่กว่าเขาสี่ปี จึงเอ่ยปากก่อน
คุณชายสามหนิงเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีข้าจะไปที่ค่ายทหาร เห็นที่นี่มีร้านหนังสือ ก็เลยแวะเข้ามาดู”
กู้เจิงยิ้ม “ร้านหนังสือนี้เป็ของข้า”
คุณชายสามหนิงประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่กู้ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวเื่ของข้ากับคุณหนูฟู่อีกได้หรือไม่ขอรับ?”
นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวเื่ของเขากับคุณหนูฟู่ั้แ่เมื่อไหร่กัน? กู้เจิงมองเขาอย่างแปลกใจ “เื่ของเ้ากับคุณหนูฟู่ ข้าไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
--------------------------------------------------------
[1] เอ็นเหยียนกระดูกหลิ่ว หมายถึง อักษรเหยียนที่มีลักษณะหนาอวบ มีหัวปลายหางแฉก และอักษรหลิ่วที่มีลักษณะผอมบาง พลิ้วไหว สื่อถึงรูปแบบอักษรอันทรงพลังที่แตกต่างกันของลิปิกรหรือผู้สร้างสรรค์อักษรภาพจากตระกูลเหยียนและตระกูลหลิ่ว
[2] เมฆเหินน้ำไหล หมายถึง เขียนได้ไหลลื่นเป็ธรรมชาติดั่งเมฆที่ลอยลิ่วและสายน้ำที่เชี่ยวไหล
[3] แรงลึกถึงหลังกระดาษ หมายถึง ขีดเขียนอย่างทรงพลังลึกซึ้งเป็อย่างยิ่ง