ภายในรถม้า
ไป๋เซี่ยเหออิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของฮั่วเยี่ยนไหวราวกับร่างกายไร้กระดูก
นิ้วมือเล่นเส้นผมที่ห้อยลงมาของเขา ในใจครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไม่มีผู้ใดกล่าววาจา
ฮั่วเยี่ยนไหวก้มหน้ามองสตรีที่เอนกายอย่างเกียจคร้านในอ้อมแขนของตนเอง แววตาสีหมึกสะท้อนความอ่อนโยนและอาลัยอาวรณ์ หัวใจเหล็กของเขาแปรเปลี่ยนเป็สายน้ำในทะเลสาบ
จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง พวกเขามาถึงจวนเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว
ไป๋เซี่ยเหอยังคงเกียจคร้านไม่อยากลุกขึ้น นางนอนเป็ก้อนหินมาหลายวัน กระดูกราวกับจะแข็งหมดแล้ว
นางยื่นสองมือออกไปด้านหน้า แววตาเฉลียวฉลาดดูกลิ้งกลอกอย่างเ้าเล่ห์
“ท่านอุ้มข้าลงไปที”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง ฮั่วเยี่ยนไหวก็ยอมแพ้โดยไม่สู้ เขาลูบจมูกของนางอย่างเอาใจ
“ได้”
เมื่อเห็นฮั่วเยี่ยนไหวอุ้มสตรีในอ้อมแขนลงจากรถม้า นอกจากอิ๋งเฟิงแล้ว ทุกคนล้วนอ้าปากค้าง
อิ๋งเฟิงเบะปากอย่างดูแคลน หากคนเ่าั้รู้ว่าท่านอ๋องถูกพระชายาปล้นจูบ พวกเขาจะไม่สลบไสลหรอกหรือ?
สีหน้าของโหยวพิงถิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าดูแข็งค้าง แต่ก็กลับเป็ปกติอย่างรวดเร็ว นางรีบรุดไปที่รถม้าพร้อมกับยิ้มตาหยี
“ในที่สุดพี่สะใภ้ก็กลับมาแล้ว โชคดีที่พบเจอเหตุการณ์น่ากลัวแต่ไม่มีอันตรายใดๆ โชคดีที่พี่สะใภ้แข็งแกร่ง หากเป็ข้า ไม่แน่ว่าคงใแล้วร้องไห้จนสลบเป็แน่เ้าค่ะ”
ขณะเดียวกันโหยวพิงถิงก็รีบสั่งบ่าวรับใช้ “รีบไปเตรียมกิ่งท้อมาปัดเป่าโชคร้ายให้พี่สะใภ้เสีย จะได้ไม่นำหายนะมาสู่จวน”
จากนั้นก็สั่งอีกครา “เอากระถางไฟมาด้วย”
กระถางไฟที่มีไฟลุกโชนถูกวางไว้บนพื้น
โหยวพิงถิงมองสตรีที่ฮั่วเยี่ยนไหวอุ้มไว้ในอ้อมแขน แววตามืดครึ้มลงเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับหวานหยาดเยิ้มยิ่งขึ้น “หากท่านอ๋องไม่ถือสา ก็ปล่อยตัวพี่สะใภ้ให้ก้าวข้ามกระถางไฟเพื่อปัดเป่าโชคร้ายเถิดเ้าค่ะ”
โหยวพิงถิงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ทว่าตำแหน่งของกระถางไฟกลับมีปัญหาเล็กน้อย
กล่าวคือ หากไม่ก้าวข้ามกระถางไฟไป ก็จะเดินเข้าประตูจวนไม่ได้
ไม่ทราบว่าโหยวพิงถิงมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่
ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้งมงาย ทว่าก็ไม่ได้ต่อต้าน เพียงแต่ครั้งนี้นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในใจเกิดความหดหู่ราวกับถูกสำลีอุด
นางะโลงมาจากอ้อมแขนของฮั่วเยี่ยนไหว ก่อนจะก้าวข้ามกระถางไฟเข้าไปข้างในจวน
คิ้วของฮั่วเยี่ยนไหวขมวดมุ่น เขาเดินตรงไปคว้ามือเล็กของไป๋เซี่ยเหอจากด้านหลัง “รอข้าด้วย”
ไป๋เซี่ยเหอโมโหจนแทบสำลัก นางยกเท้าขึ้นเตะหินก้อนหนึ่งตรงเท้าออกไปไกล พลางสูดจมูก “วางใจเถิด ข้าเชื่อใจท่าน”
ทว่าเชื่อฮั่วเยี่ยนไหวเป็เื่หนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เป็อีกเื่หนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจว่าผู้ใดคือนายหญิงของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
“พี่สะใภ้เ้าคะ”
โหยวพิงถิงย่างกรายเข้ามาใกล้ด้วยท่วงท่างดงาม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเคย
“หลายวันมานี้พี่สะใภ้คงไม่ได้กินอาหารดีๆ กระมัง อยากกินอะไรก็บอกข้า ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปทำ ไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมองโหยวพิงถิงด้วยท่าทีไม่ใกล้ชิดและไม่ห่างเหิน “หากข้าเป็เ้า ข้าจะอยู่แต่ในเรือนของตนเอง เข้าใจสถานะของตนเอง และใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”
“ข้า...” โหยวพิงถิงมีท่าทีราวกับถูกทำให้น้อยเนื้อต่ำใจอย่างใหญ่หลวง น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมาจากหางตา
นางช้อนตามองฮั่วเยี่ยนไหว สายตาของนางเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
ทว่าฮั่วเยี่ยนไหวเพียงมองตรงมาที่โหยวพิงถิงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะย่ำเท้าหมุนกายจากไป
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นทันที
ไป๋เซี่ยเหอแบมือ ก่อนจะสบตาฮั่วเยี่ยนไหว “ข้าไม่ได้ทำเกินไปใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นกระต่ายขาวตัวน้อยร้องไห้อย่างน่าสงสารปานนี้ ก็ดูราวกับนางได้ทำเื่ชั่วร้ายจนไม่อาจให้อภัยได้
ฮั่วเยี่ยนไหวกางแขนก่อนจะโอบร่างของสตรีที่อยู่ข้างกายเอาไว้ ริมฝีปากบางโค้งขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงแหบพร่าฟังดูหวานเลี่ยนจนแทบทนไม่ไหว
“เปิ่นหวังคิดว่าคำพูดของชายารักมีเหตุผลยิ่ง”
ณ เรือนพิงถิงในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
เสียงร้องไห้ดังลอดออกมาจากใต้ผ้าห่ม สตรีที่ดูบอบบางไร้เรี่ยวแรงนอนร้องไห้อยู่ข้างในผ้าห่มอย่างน่าสงสาร
“คุณหนู อย่าร้องไห้ไปเลยเ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอา” เสียวหย่าที่ยืนอยู่ด้านข้างร้อนใจจนทนไม่ไหว ปรารถนาจะไปเชิญเซ่อเจิ้งอ๋องให้มาปลอบโยนคุณหนู
น่าเสียดายที่พวกนางเป็ผู้อาศัย เป็เพียงคนนอก
ดังสุภาษิตที่ว่า อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นต้องก้มหัว
โหยวพิงถิงโผล่ศีรษะขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง น้ำตาร้อนๆ คลออยู่ในดวงตา จะไหลก็ไม่ไหล ไม่ต้องพูดเลยว่าชวนให้ผู้พบเห็นปวดใจเพียงใด
นางดูราวกับได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขีดสุด “เสียวหย่า ข้าไม่ได้คิดจะทำให้พวกเขาแยกจากกันจริงๆ นะ พี่สะใภ้คิดมากไปเอง”
น้ำเสียงละมุนละไมเจือเสียงสะอื้นเป็ระยะ “ข้ารักพี่เยี่ยนไหว แต่ไม่เคยคิดจะเขาเลย เ้าเชื่อข้านะ ข้าเพียงอยากเห็นเขามีความสุข เท่านั้นข้าก็ดีใจแล้ว”
เสียวหย่าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา นางเช็ดน้ำตาให้โหยวพิงถิงอย่างปวดใจ
“คุณหนูที่โง่งมของบ่าว ท่านโง่งมปานนี้ได้อย่างไรเ้าคะ? หากนายท่านรู้เข้าจะปวดใจเพียงใด”
“ท่านพ่อ...”
แววตาของโหยวพิงถิงเต็มไปด้วยความสับสน “หากท่านพ่อยังอยู่ วันนี้คนที่ยืนเคียงข้างท่านอ๋องจะเป็ข้าหรือไม่?”
สีหน้าอ่อนแอที่แสดงออกบนใบหน้าประณีตของนาง ชวนให้ผู้คนปรารถนาจะปกป้อง
เสียวหย่าปวดใจจนไม่อาจเอื้อนเอ่ย นางเกลียดชังที่เหตุใดเซ่อเจิ้งอ๋องถึงได้ตาบอด ไม่้าคุณหนูที่อ่อนโยนของพวกนาง ทว่ากลับไปชอบตัวปัญหาผู้นั้นได้อย่างไร?
สตรีที่ถูกจับเข้าคุก...
ไม่กลัวจะขายหน้าหรืออย่างไร?
“เสียวหย่ารู้หรือไม่ว่าในใจของข้าทรมานยิ่งนัก ข้าเคยเป็ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านพ่อ แล้วตอนนี้เล่า?”
“ข้ากลับถูกพี่สะใภ้มองว่าเป็สุนัขตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในจวน เมื่อเ้าของมีความสุข ข้าก็จะเห่าสองที เมื่อเ้าของไม่มีความสุข ข้าก็ต้องหมอบอยู่ไกลๆ”
“ข้าระมัดระวังถึงเพียงนั้น ข้าปรารถนาดีกับนาง แต่นางกลับหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย จะให้ข้าพบเจอผู้คนเ่าั้อีกได้อย่างไร?”
นางระบายความในใจออกมาทั้งน้ำตาอย่างน่าสงสาร ราวกับเสียวหย่าเป็พี่น้องคนสนิทที่เอาใจใส่มากที่สุดก็ไม่ปาน
“ข้าย่อมปรารถนาจะออกจากจวนอ๋อง แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าหากข้าไม่ได้พบท่านอ๋องอีก หัวใจของข้าก็เหมือนถูกฉีกกระชาก ข้าจึงยอมอยู่ต่อ ยอมรับความอัปยศอดสูจากนาง ข้าดูต่ำต้อยมากใช่หรือไม่?”
โหยวพิงถิงเอามือปิดหน้า ร่างกายสั่นเล็กน้อย น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาผ่านง่ามนิ้ว
เสียวหย่าโมโหจนกัดฟัน “พูดตามตรงนะเ้าคะ เป็เพราะพวกเราเป็คนนอกเ้าค่ะ”
โหยวพิงถิงกัดริมฝีปากล่าง ท่าทีดูขลาดกลัวและไร้เดียงสาอย่างอธิบายไม่ได้ ไฝน้ำตาดูเด่นชัดเมื่อถูกชะล้างด้วยน้ำตา
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเื่ราวกลายเป็เช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ชายแดน มันไม่ได้เป็เช่นนี้เลย”
เสียวหย่าแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเป็เดือดเป็ร้อน “ไม่ใช่เพราะมีคนเข้ามาก้าวก่ายหรือเ้าคะ? ทั้งยังใช้วาจายุแยงเพื่อแยกยวนยางออกจากกัน บ่าวว่าพระชายาผายลมสุนัขอะไรนั่นไม่ใช่คนดีหรอกเ้าค่ะ!”
โหยวพิงถิงใจนหน้าถอดสี นางรีบเอามือปิดปากของเสียวหย่าทันที
“เ้าอย่าพูดจาเหลวไหล หากมีคนได้ยินแล้วแพร่งพรายออกไป เ้าจะถูกตีจนตาย”
เสียวหย่าเท้าเอว เชิดศีรษะขึ้น
“ตีจนตายก็ตีจนตายสิเ้าคะ บ่าวไม่กลัวหรอกเ้าค่ะ!”
เมื่อได้อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งนานๆ สันดานเดิมย่อมกลับมา
“ไม่ได้ เ้าจะตายไม่ได้ ข้ามีเพียงเ้าเท่านั้น”
เสียวหย่ารู้สึกประทับใจกับคำกล่าวนั้น นางซาบซึ้งจนเริ่มเลอะเลือน
“คุณหนู หากท่านอยากอยู่เคียงข้างท่านอ๋องจริงๆ ก็ลองทำตามวิธีที่บ่าวเสนอเมื่อครั้งก่อนสิเ้าคะ ผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งหมด บ่าวจะรับผิดชอบเองเ้าค่ะ”
สายตาของโหยวพิงถิงแปรเปลี่ยนจากสับสนและโหยหา ไปเป็ทอประกายเจิดจ้า
จากนั้นนางก็ตัวสั่น ส่ายหน้าราวกับเพิ่งตื่นจากฟัน นางกัดริมฝีปากล่าง และเอามือปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน “ไม่ได้ ข้าทำร้ายเ้าไม่ได้”
เสียวหย่ารู้สึกพึงพอใจที่คุณหนูให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้
“คุณหนู ขอเพียงท่านกลายเป็คนข้างหมอนของท่านอ๋อง ยังกลัวว่าท่านอ๋องจะไม่ไว้หน้าท่านอีกหรือเ้าคะ?”
ดวงตาของโหยวพิงถิงเป็ประกายวิบวับภายใต้ฝ่ามือ นางเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทีราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยอีกครา “เสียวหย่า บนโลกนี้มีเพียงเ้าที่ดีกับข้ามากที่สุด”
------------------------