กลับเป็ิเป่าจูที่รู้สึกได้ว่ามือบนศีรษะเลื่อนกลับไปที่เอว โอบกอดนางอีกครั้งอย่างเป็ธรรมชาติ จึงเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อสายตาประสานกัน หัวใจของิเป่าจูกลับเต้นระรัว รั้งสายตากลับมาด้วยความเก้อเขิน ตรงข้ามกับหลี่ไหวฺอวี้ที่ยังมองนางอยู่สักพัก
ไม่ถูกสิ นางไม่ได้โอบเอวเขาเสียหน่อย จะต้องเขินอะไรกัน
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ิเป่าจูก็ไม่กล้าหันกลับไปมองอีก
ทันใดนั้นก็มีเสียงวิ่งตะบึงมาจากป่าลึก สัตว์ร้ายบนเนินเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว มันตะกุยกรงเล็บทั้งสี่กับพื้น ก่อนจะวิ่งไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
ทรายละเอียดกลิ้งลงมาด้านล่างเนินเขา และส่วนใหญ่หลี่ไหวฺอวี้ก็รับไปเต็มๆ
ิเป่าจูเห็นเขาในสภาพทุลักทุเลก็นึกขันแต่ไม่กล้าหัวเราะ กลัวว่าถ้ามีเสียงอันใดแม้แต่น้อยจะดึงความสนใจของสัตว์ร้ายให้ย้อนกลับมาอีก
หลี่ไหวฺอวี้มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย รั้งมือทั้งสองข้างกลับมา เปลี่ยนเป็จับข้อมือข้างหนึ่งของนาง แล้วจูงเดินลงเขาอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองต่างเงียบไม่พูดอะไร คอยสังเกตความเคลื่อนไหวจากรอบด้าน จนกระทั่งลงมาถึงเชิงเขาแล้วิเป่าจูถึงพรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก
“โชคดีที่ท่านมา”
มิเช่นนั้น หากอาศัยแค่ตนเองเพียงลำพัง คงถูกสัตว์ร้ายตะครุบและฉีกร่างเป็ชิ้นๆ ั้แ่เนินเขาแห่งนั้นแล้ว
“ไม่รู้จักหาที่หลบซ่อนตัวหรือไร” การวิ่งหนีมีแต่จะกระตุ้นความปรารถนาในการล่าเหยื่อของสัตว์ป่า
หลี่ไหวฺอวี้เดินนำอยู่ด้านหน้า แม้แต่ขณะพูดคุยก็ไม่เอี้ยวศีรษะกลับมา และไม่หยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว น้ำเสียงไม่นับว่าดี แต่ไม่ถึงกับแย่ เจือไปด้วยโทสะที่ยากจะสังเกตได้
“ฟ้ามืดเกินไป แยกแยะสิ่งใดไม่ได้เลย” ถึงนางอยากจะหลบปานใด ก็ต้องมีที่ให้หลบก่อนกระมัง
นางเดินตามอยู่ด้านหลังเขาโดยไม่เข้าใจว่าหลี่ไหวฺอวี้กำลังโมโหอะไรอยู่ เห็นแก่ที่เขาตามมาช่วยชีวิต ิเป่าจูจึงตัดสินใจว่าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา
“นอกจากแข้งขาไม่ดี ตาก็ยังฝ้าฟาง” หลี่ไหวฺอวี้บ่นงึมงำ
หากมิใช่ว่าสู้ไม่ได้ ิเป่าจูก็คงยกเท้าถีบเขาไปแล้ว ยันให้หน้าคะมำจมดินไปเลย
ต่อให้ขาดีแค่ไหนจะวิ่งเร็วกว่าสัตว์ป่าได้หรือ อีกอย่างต้นไม้ในป่าล้วนสูงตระหง่านจนบดบังทั้งท้องฟ้าและแสงแดดในเวลากลางวัน ตกกลางคืนนางเห็นไม่ชัดก็น่าจะมีเหตุผลมากพอจะให้อภัยอยู่กระมัง
“ท่านมองเห็นได้อย่างไร”
ขณะที่โทสะกำลังแล่นขึ้นสมอง ิเป่าจูพลันนึกขึ้นได้ เขามองเห็นในที่มืด ซ้ำยังคว้าตนเองอย่างแม่นยำได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังเดินลงเขาได้อย่างราบรื่น
นางแทบจะมองอะไรไม่เห็น ต้องให้เขาจับมือแล้วคลำทางไปข้างหน้าเอา แต่เขากลับสามารถเดินได้สบายๆ อย่างไร้อุปสรรค
“เพราะข้ายังหนุ่มอยู่น่ะสิ”
เป็ถ้อยคำที่กวนประสาทอย่างยิ่ง
ิเป่าจูจดจ้องท้ายทอยของคนที่อยู่ข้างหน้า อยากจะบ้องกะโหลกเขาสักที แต่ขณะเดียวกันก็เกิดลังเลใจ หรือจะเป็เพราะนางข้ามภพมา ร่างจริงอายุมากแล้ว สายตาก็เลยไม่ดีใช่หรือไม่
ไม่มีทาง เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด สายตาของนางเวลากลางวันก็ดียิ่ง กลางคืนเห็นไม่ชัดก็เป็ธรรมดา คนทั่วไปก็เป็เช่นนี้กันหมดทุกคน
หากมิใช่ว่าตนเองแก่ ก็เหลือคำอธิบายเพียงอย่างเดียวก็คือ หลี่ไหวฺอวี้ไม่ใช่มนุษย์!
“อย่าคิดว่าเป็วีรบุรุษช่วยโฉมงามไว้ครั้งหนึ่งแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา”
ตอนแรกยังสวมหน้ากากเรียกคุณหนูอย่างนั้นผู้น้อยอย่างนี้ ยิ่งอยู่ร่วมกันนานเท่าใด ิเป่าจูก็ยิ่งเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขามากขึ้นเท่านั้น ปากก็ยิ่งร้ายกาจไม่มีความเกรงใจ ชอบยั่วโมโหคนเป็ที่สุด
“วีรบุรุษข้ายอมรับ แต่ช่วยโฉมงาม...หึ”
เสียงกระแทกส้นเท้าถี่ๆ ดังมาจากด้านหลัง ดูเหมือนว่าหลี่ไหวฺอวี้จะใกับคำพูดของคนที่อยู่ข้างหลังจึงหยุดเดินกะทันหัน แต่ยังไม่หันกลับมามอง
มีเพียงเสียงหัวเราะหึๆ ที่ดังออกมาจากจมูกของเขา
จู่ๆ เขาก็หยุดเดินโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ิเป่าจูยั้งไม่ทัน ชนเข้าไปเต็มเปา หลังจากถอยออกมายืนมั่นคงแล้วถึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอย่างไร ก็ฉุนจัดแทบอยากจะกัดคน
ล้อเลียนนางหรือ นี่นางกำลังถูกล้อเลียนอยู่หรือ!
ิเป่าจูยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง คนที่อยู่ข้างหน้าก็พูดขึ้นมาอีกประโยคที่ทำให้นางสามารถทำลายล้างโลกนี้ได้เลย
“อยู่ต่อหน้าเ้า ข้าไม่มีทางเกิดอารมณ์ปรารถนาอะไรได้ทั้งนั้น”
หลี่ไหวฺอวี้หันกลับมา ใช้สายตาจาบจ้วงมองไปทั่วร่างกายของิเป่าจู ท้ายที่สุดจึงมาหยุดที่หน้าอกของนาง “จิ๊ๆ”
เมื่อเห็นดวงตาปานจะพ่นไฟของหญิงสาว ไฟโทสะที่มิอาจหาสาเหตุได้ในหัวใจก็มอดดับในพริบตา เขายิ้มอย่างชั่วร้าย หมุนตัวกลับแล้วเดินต่อไป
อย่าขวางเชียวนะ ใครก็อย่าคิดมาขวาง วันนี้นางต้องสู้ตายกับบุรุษปากเสียผู้นี้ให้ได้!
นึกถึงคำพูดของหลี่ไหวฺอวี้ ิเป่าจูก็ดึงคอเสื้อก้มศีรษะลงไปมอง ก่อนขบริมฝีปากล่างไว้แน่น จำต้องยอมรับ ดูเหมือนว่าเขาจะพูดไม่ผิด
เพราะถูกิเถี่ยจู้สามีภรรยาทรมาทรกรรมมาหลายปี ร่างกายของนางในตอนนี้จึงเติบโตได้ไม่ดี ทั้งผอมแห้งอ่อนแอ ไม่มีส่วนใดที่ดูได้เลย แม้แต่ตนเองก็ยังนึกรังเกียจ
ตอนนี้นางพอมีเงินบ้างแล้ว ชีวิตของนางกับน้องชายก็ค่อยๆ ดีขึ้น เื่โภชนาการและการบำรุงร่างกายย่อมตามมา แต่จะเติบโตได้อีกแค่ไหนก็ยังไม่เป็ที่ทราบแน่ชัด
เมื่อคิดเช่นนี้ ิเป่าจูก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
ยามนี้ในหมู่บ้านแทบไม่มีใครออกมาเดินนอกบ้านกันแล้ว รอบบริเวณจึงเงียบเหงาวังเวงและหนาวเย็น ิเป่าจูไม่กล้าทิ้งระยะห่างมากเกินไป รีบเงยหน้าขึ้นมองหาเงาร่างของหลี่ไหวฺอวี้
เคราะห์ดีเขายังไม่ไปไหนไกล เดินทอดน่องช้าๆ เพียงพอให้ิเป่าจูที่ยืนอึ้งอยู่นานยังมองเห็นและเดินตามทัน
“พี่หญิง เหตุใดให้พี่ไหวฺอวี้ไปนอนข้างนอกเล่า” ิเป่าอวี้มายืนอยู่ด้านหน้าหลี่ไหวฺอวี้ บดบังสายตาของิเป่าจู
ท่าทางปกป้องเยี่ยงนั้นทำให้ิเป่าจูเบิกตาโต นี่คือน้องชายของนางหรือน้องชายของเขากันแน่ เหตุใดถึงไม่เข้าข้างพี่สาวแท้ๆ ของตนเองเลยเล่า
ที่สำคัญนางจะอธิบายให้น้องชายฟังอย่างไร ว่าเพราะเหตุใดถึงทำเช่นนี้
“เ้าอย่ายุ่ง”
หางตาของิเป่าจูชำเลืองไปเห็นหลี่ไหวฺอวี้นั่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาท้าทายและกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อน้องชายนางหันกลับไป เขาก็เปลี่ยนเป็ท่าทีอับจนหนทางในฉับพลัน
สีหน้าอดกลั้นแฝงไปด้วยความโกรธขึ้ง
“เป่าอวี้ ช่างเถอะ ข้าออกไปนอนข้างนอกสักคืนก็ได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าข้าไปทำให้พี่สาวเ้าไม่พอใจตรงไหน แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว อาศัยใต้ชายคาผู้อื่นก็อย่างนี้เอง เ้าอย่าใช้อารมณ์กับพี่สาวของตนเองเลย ข้าไม่เป็ไร”
หลี่ไหวฺอวี้พูดให้ิเป่าอวี้ฟัง ราวกับได้รับความไม่เป็ธรรมอย่างใหญ่หลวง และเขาก็เข้าใจเหตุผลเป็อย่างดี เต็มใจที่จะกล้ำกลืนความอยุติธรรม ไม่คิดจะถือสาหาความกับิเป่าจู
ขณะเดียวกัน พอิเป่าอวี้หันหลังไปเขาก็เลิกคิ้วให้ิเป่าจู มองดูนางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่จนใจทำอะไรไม่ได้
“พี่หญิง อากาศหนาวเพียงนี้ พี่ไหวฺอวี้ร่างกายอ่อนแอ หากล้มป่วยก็ต้องให้ท่านมาดูแลอีก ให้เขานอนในห้องเถิดขอรับ” ิเป่าอวี้เป็เด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงถูกหลอกใช้ได้ง่ายๆ
ทั้งสองต่างพูดกันคนละประโยค เหตุไฉนทำไปทำมาถึงกลายเป็นางที่ดูเป็คนไร้เหตุผลกันเล่า
ในที่สุดแผนการชั่วร้ายของหลี่ไหวฺอวี้ก็สำฤทธิ์ผล
ิเป่าจูกระแทกประตูเสียงดัง กลับห้องนอนด้วยความโมโห
เป็ดังคาด
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมากินอาหารเช้าที่โต๊ะ
หลี่ไหวฺอวี้หาถ้วยและตะเกียบของตนเองไม่เจอ จึงหันไปทำหน้าสีหน้าลำบากใจกับิเป่าอวี้ ก่อนที่จะยอมรับชะตากรรมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอะไรกินเอง
ทว่าก็เห็นว่าบนเตาไฟมีถ้วยกับตะเกียบวางอยู่ ในถ้วยมีหมั่นโถวลูกใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง พอหยิบขึ้นมา ใต้นั้นยังมีเหมยกันไช่ [1] ที่ผัดแล้ว เปิดดูในหม้อก็ยังมีข้าวต้มร้อนๆ เหลือไว้ให้โดยเฉพาะ
หลี่ไหวฺอวี้ยืนอยู่ข้างเตาไฟ
ภาพของใครบางคนที่พร่ำบ่นไม่หยุดปากพลันปรากฏขึ้นในสมอง โมโหไปก็ทำกับข้าวไป ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ส่วนสตรีที่ปากแข็งใจอ่อนผู้นั้น บัดนี้ได้มาถึงเรือนด้านหลังของหอหมื่นสมบัติแล้ว กำลังรอรับเงินของตนเองอยู่
เชิงอรรถ
[1] เหมยกันไช่ คือผักเหมยดองเค็มตากแห้ง
