อาณาเขตของจวนเป่ยอ๋องครอบคลุมพื้นที่ในเมืองหลวงมากกว่าหลายร้อยไร่ ภายในมีเรือนพักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ทั้งยังถูกตกแต่งอย่างหรูหรา นอกจากนี้หนานหาวยังเลี้ยงดูกองกำลังทหารรวมถึงยอดฝีมือจำนวนมากเอาไว้ในจวนอีกด้วย
มู่เฉินกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าโดยหิ้วซากศพอันเหี่ยวแห้งครึ่งหนึ่งของจางจวีเอาไว้ในมือ เขาบินตรงมายังน่านฟ้าของจวนเป่ยอ๋อง และตอนนี้ตัวเขาก็มีรังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
“หนานหาว ไสหัวออกมา!”
มู่เฉินแผดเสียงคำรามออกมาดังลั่น เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจวนอ๋อง ทำให้บรรดาทหารหลายคนต่างก็ตื่นตระหนก
“มีคนลอยอยู่บนฟ้า!”
ทันใดนั้นเหล่าทหารในชุดเกราะหลายคนของจวนอ๋องก็พากันแหงนหน้าขึ้นฟ้า และพบว่าเหนือพื้นขึ้นไปราวหนึ่งร้อยเมตรมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่
“มียอดฝีมือระดับหยวนตานบุกรุกจวนอ๋อง”
ยอดฝีมือหลายคนในจวนอ๋องต่างก็ะโขึ้น จากนั้นพลทหารบางส่วนก็ง้างคันธนูเล็งไปยังมู่เฉินที่ลอยอยู่บนฟ้าในทันที
“นั่นใครกัน บังอาจบุกรุกจวนอ๋องอย่างไม่มีความเกรงกลัวเช่นนี้!”
น้ำเสียงเย็นะเืดังแผดออกมา ฉับพลันนั้นก็ปรากฏลำแสงหกสายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือจวนอ๋อง กลุ่มคนทั้งหกนี้เป็ชายห้าคนและหญิงสาวหนึ่งคน มีทั้งวัยกลางและวัยชรา ส่วนสตรีหนึ่งเดียวในนั้นเป็หญิงงามในชุดแดง
พวกเขาทั้งหกคนล้วนเป็ยอดฝีมือระดับหยวนตานที่หนานหาวเลี้ยงดูเอาไว้
“เป็เ้า ผู้นำตระกูลมู่ บุกมาถึงจวนอ๋องมีเื่อันใดกัน?”
ชายชราในชุดเทาที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับคลื่นพลังสีน้ำเงินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานมากมายในเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้จักกันเป็อย่างดี
“หนานหาวอยู่ที่ใด ให้เขาไสหัวออกมา”
มู่เฉินกล่าวอย่างเ็า
“จุ๊ๆ ช่างน่าเกรงขามนัก มู่เฉิน แม้ว่าเ้าจะเป็ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน แต่เ้าสามารถเอ่ยนามของท่านอ๋องได้ตามใจรึ”
ชายวัยกลางคนในชุดดำผู้มีคลื่นพลังสีเหลืองตะคอกเสียงกร้าว
“โอ๊ะโอ ที่แท้ก็เป็ผู้นำตระกูลมู่ เ้ามาหาเปิ่นหวางมีเื่อันใดเล่า?”
ฉับพลันนั้นเสียงพูดกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้น คราวนี้เป็ลำแสงสีทองที่พุ่งทะยานออกมาจากจวนอ๋อง
ผู้มาใหม่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำปักลายั ผมของเขาถูกรวบสูง ใบหน้าภูมิฐานดูสง่าผ่าเผย กลิ่นอายที่แผ่ออกมาราวกับเป็ผู้ที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไป เขาเหลือบมองมู่เฉินขณะเอามือไพล่หลัง
คนผู้นี้ก็คือหนานหาว เป่ยอ๋องผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน
“หนานหาว เ้ามองดูสิว่าคนผู้นี้คือใคร?”
มู่เฉินโยนซากศพครึ่งท่อนของจางจวีไปข้างหน้า
เพียงหนานหาวโบกมือ คลื่นพลังสีทองก็ห่อหุ้มซากศพอันแห้งเหี่ยวครึ่งท่อนนั้นเอาไว้ทันที หลังจากมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“จางจวี...เหตุใดเขาจึงตายด้วยน้ำมือเ้า”
หนานหาวกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“ว่าอย่างไรนะ นั่นจางจวีรึ!”
ยอดฝีมืออีกหกคนต่างก็มีท่าทีใเมื่อได้ยินดังนั้น
“ยังจะย้อนถามข้าอีกรึ มู่เฟิงหลานชายของข้าถูกเขาสังหารตาย เขาเป็คนของเ้า เหตุใดเขาต้องสังหารมู่เฟิง? หากข้าไม่บังเอิญไปเยี่ยมมู่เฟิงที่ตระกูลรอง เกรงว่าเวลานี้ตระกูลรองของข้าคงถูกกวาดล้างด้วยน้ำมือของเขาไปแล้ว”
มู่เฉินกล่าวอย่างเ็า “น้องรองของข้าตายอย่างไรเ้าล้วนทราบดี นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ทายาทของเขาก็จะไม่ปล่อยให้รอด หนานหาว เ้ามันรังแกกันเกินไปแล้ว”
มู่เฉินแผดเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ฉับพลันนั้นก็ปรากฏหอกดำขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็กวาดหอกปลดปล่อยลำแสงสีแดงให้พุ่งโจมตีไปทางหนานหาวอย่างรวดเร็ว
ลำแสงจากหอกสีแดงหลายร้อยสายพุ่งโจมตีไปทางหนานหาวด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่ง
“ปกป้องท่านอ๋อง!”
ยอดฝีมืออีกหกคนทะยานตัวเข้ามาขวางหน้าหนานหาวเอาไว้อย่างรวดเร็ว พวกเขาแสดงทักษะวิชาปราณอันทรงพลังออกมาเพื่อต้านการโจมตีของมู่เฉิน
แม้ว่าวรยุทธ์ของพวกเขาทั้งหกคนจะไม่สูงเท่ามู่เฉิน แต่เมื่อพวกเขารวมพลังกันย่อมสามารถทำลายการโจมตีของมู่เฉินได้ พลังปราณที่สะท้อนกลับมาทำให้มู่เฉินกระเด็นถอยออกไปไกลพร้อมกับกระอักเืออกมา
“มู่เฉิน แม้ว่าจางจวีจะเป็คนของข้า แต่เหตุใดเ้าถึงวิ่งแจ้นมาตำหนิข้าเล่า ไม่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่เคยจำกัดเสรีภาพของพวกเขา การที่หลานชายของเ้าถูกสังหาร เปิ่นหวางเองก็รู้สึกเสียใจเป็อย่างยิ่ง แต่เ้ามีหลักฐานว่าข้าเป็คนส่งจางจวีไปสังหารเขาอย่างนั้นหรือ?”
หนานหาวกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“เ้า...เ้ามันเลวบัดซบ หากไม่ใช่เ้าแล้วยังจะเป็ใครได้อีก!”
มู่เฉินแผดเสียงคำราม รังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
พรึ่บ! พรึ่บ!
ทันใดนั้นเงาร่างสองสายก็บินทะยานออกมาจากน่านฟ้าอันไกลโพ้น พวกเขาคือมู่เยี่ยและมู่หวา
เวลานี้ทั้งสองคนต่างก็มีใบหน้าที่ไม่น่ามองเช่นกัน พวกเขารีบคว้าตัวของมู่เฉินเอาไว้แน่น ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ท่านอย่าได้หุนหันพลันแล่น"
“ถูกต้อง ผู้นำตระกูล ถึงอย่างไรเขาก็เป็ท่านอ๋องของหนานหลิง มีสายเืของราชวงศ์”
ทั้งสองคนพยายามเกลี้ยกล่อมมู่เฉิน ในขณะเดียวกันก็พยายามลากตัวมู่เฉินกลับจวนตระกูลมู่ไปด้วย
“หนานหาว หนานหาว สักวันหนึ่งเ้าจะต้องถูกลงโทษ”
มู่เฉินที่กำลังถูกลากตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจยังคงเปิดปากแผดเสียงดังลั่นออกมา
หนานหาวจ้องมองมู่เฉินที่กำลังถูกพาตัวออกไป ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็เป็ไม่น่ามองในทันที
สารที่เขาได้รับจากมู่เฉินจะทำให้เขารู้สึกยินดีได้อย่างไร
แม้มู่เฟิงจะถูกจางจวีสังหารตาย แต่มู่เฉินก็ลงมือสังหารจางจวีด้วยเช่นกัน ชีวิตของยอดฝีมือระดับหยวนตานแลกกับชีวิตของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เช่นนี้จะไม่ให้เขารู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบได้อย่างไร
ด้วยการโบกมือของหนานหาว ซากศพครึ่งท่อนของจางจวีก็ลอยไปหายอดฝีมือระดับหยวนตานผู้หนึ่งทันทีชายผู้นั้นรับร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“จัดการเผาจางจวีให้เรียบร้อย มอบเงินให้ภรรยาและลูกสาวของเขาหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทอง ส่งตัวลูกสาวเขามายังจวนอ๋องแล้วเลี้ยงดูนางให้ดี”
หลังจากหนานหาวกล่าวจบ เขาก็บินกลับไปยังจวนอ๋องด้วยใบหน้าอึมครึม
เมื่อมองดูร่างศพที่เหลือเพียงครึ่งท่อน คนอื่นๆ ก็ถึงกับถอนหายใจออกมา รู้สึกโชคดีขึ้นมาเล็กน้อย
โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่คนที่ได้รับภารกิจนี้ ไม่อย่างนั้นซากศพที่เหลือเพียงครึ่งท่อนนี้คงถูกเปลี่ยนเป็พวกเขาแทน ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของมู่เฉินก็เหนือกว่าพวกเขามาก ยอดฝีมือระดับหยวนตาน แม้จะต่างกันเพียงหนึ่งขั้น แต่ช่องว่างความต่างของพลังนั้นก็แข็งแกร่งกว่ากันเป็อย่างมาก
เพียงไม่นานผู้คนเ่าั้ก็แยกย้ายกันไป
เื่ราวที่เกิดขึ้นถูกแพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว บรรดาตระกูลใหญ่ต่างก็ทราบถึงข่าวนี้
ยอดอัจฉริยะมู่เฟิงผู้มีพร์ระดับกระดูกิญญาถูกจางจวีสังหารตายแล้ว
ส่วนคนที่บงการอยู่เื้ั แม้จะไม่มีใครพูดออกมาแต่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายล้วนสามารถคาดเดากันได้เป็อย่างดี
ณ จวนตระกูลอวิ๋นในเมืองหลวง
หลังจากอวิ๋นไห่ได้ฟังคำรายงานของศิษย์ในตระกูล เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฟิงจะมีจุดจบเช่นนี้”
อวิ๋นไห่ทอดถอนใจ
“แต่นึกไม่ถึงว่าเป่ยอ๋องผู้นั้นจะยอมจ่ายชีวิตของยอดฝีมือระดับหยวนตานเพื่อแลกกับชีวิตของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่กลายเป็เพียงแค่คนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง ช่างเป็การลงมือที่ขาดทุนนัก”
ชายชราร่างผอมผู้มีหนวดเคราขาวโพลนกล่าวขึ้นจากด้านข้าง คนผู้นี้ก็คือผู้าุโใหญ่ของตระกูลอวิ๋น
“หนานหาวคงไม่โง่ขนาดจะสังหารอัจฉริยะที่เส้นลมปราณถูกทำลาย มีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวคือเส้นลมปราณของมู่เฟิงไม่ได้ถูกทำลายมาั้แ่แรก บวกกับพร์ระดับกระดูกิญญาของเขาแล้ว สิ่งนี้ย่อมต้องทำให้หนานหาวหวาดกลัว”
อวิ๋นไห่อธิบายในสิ่งที่เขาคิด
“ความหมายของท่านผู้นำตระกูลคือ เื่ที่เส้นลมปราณของมู่เฟิงถูกทำลายเป็เพียงข่าวเท็จที่ทางตระกูลมู่สร้างขึ้นหรือขอรับ!”
ชายชรากล่าวออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“อืม ข้าคิดว่าอาจจะเป็เช่นนั้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รั้งรอเวลาสองปีั้แ่แรก ข้าแค่สงสัยว่าเื่นี้อาจจะเป็เื่เท็จ แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วว่าจะจริงหรือเท็จ ไม่ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะมีพร์มากเพียงใด แต่ตอนนี้คงไม่อาจสมหวังได้อีกแล้ว”
อวิ๋นไห่ถอนหายใจ ดวงตาของเขาไม่ได้มืดบอด หากมู่เฟิงไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ ในอนาคตเขาจะต้องกลายเป็ัในหมู่มวลมนุษย์อย่างแน่นอน
ดังนั้นแม้ในตอนที่เส้นลมปราณของมู่เฟิงถูกทำลาย ภายในใจของเขาก็ยังคงมีความคาดหวังในตัวมู่เฟิงอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ความหวังเ่าั้ได้พังทลายลงไปแล้ว
“แล้วเื่ของแม่หนูว่านเอ๋อร์...”
ชายชรากล่าวถึงว่านเอ๋อร์อีกครั้ง
เมื่อไม่นานมานี้หนานหาวได้ส่งแม่สื่อมาทาบทามว่านเอ๋อร์ให้กับบุตรชายของเขา
“เฮ้อ...คงทำได้เพียงต้องตอบรับไปก่อนเท่านั้น เวลานี้หนานหาวกำลังเรืองอำนาจและไม่มีใครขวางเขาได้ เกรงว่าโชคของราชวงศ์ก็คงหมดลงแล้วเช่นกัน หากตอนนี้เราร่วมลงเรือลำเดียวกันกับหนานหาว เราย่อมจะมีทางรอด สงสารก็แต่ว่านเอ๋อร์ นางรักปักใจต่อมู่เฟิงอย่างลึกซึ้งจริงๆ” เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้อวิ๋นไห่ไม่อาจทำอะไรได้ เดิมทีเขาหวังว่าบุตรสาวจะได้แต่งงานกับคนที่นางรัก เพียงแต่ในฐานะผู้นำตระกูล เขาจำเป็ต้องให้ความสำคัญกับตระกูลเป็อันดับแรก
ในเมื่อตอนนี้มู่เฟิงได้ตายไปแล้ว ความหวังเดียวของเขาที่มีต่อเด็กคนนั้นก็หมดลงแล้วเช่นกัน ทางเลือกของเขาในตอนนี้มีไม่มากนัก ขอเพียงไม่โง่จนเกินไปก็สามารถรู้ได้
ในฐานะที่เป็ตระกูลใหญ่ เขาไม่อาจใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป และเขาจำเป็ต้องอดทนต่อสิ่งที่ตนไม่สามารถควบคุมได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้