เมื่อครู่เยว่เฟิงเกอไม่ได้ทำอะไรเลย มิหนำซ้ำกระบอกลูกเต๋าก็อยู่ในมือเขาตลอด
หากจะบอกว่านางโกง แล้วจะอธิบายว่านางเล่นตุกติกต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ได้อย่างไร
สิ่งนี้ทำให้ซูมู่เจ๋อรู้สึกสับสนยิ่งนัก
เขาไม่เคยเห็นใครมีความสามารถถึงขนาดเปลี่ยนผลของแต้มลูกเต๋าได้โดยใช้เพียงพลังจิตมาก่อน หรือก็คือกลโกงที่มือไม่ได้ัักระบอกลูกเต๋าแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเยว่เฟิงเกอไม่ได้ใช้พลังจิต แต่ใช้พลังจริงๆ ของนางในการเปลี่ยนแต้มบนลูกเต๋า
เมื่อครู่ตอนที่นางเคาะโต๊ะ แรงสั่นะเืนั้นได้ทำให้ลูกเต๋าพลิกสลับหน้าไปสองสามครั้งจนเมื่อแต้มบนลูกเต๋ากลายเป็ต่ำทั้งหมด นางถึงได้หยุดมือ
ทุกคนต่างใช้สายตาตกตะลึงมองเยว่เฟิงเกอ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสตรีนางหนึ่งจะสามารถเอาชนะพี่ใหญ่แห่งโลกพนันอย่างซูมู่เจ๋อได้
ตอนนี้เองรอบข้างก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น พวกเขาต่างคิดว่าที่เยว่เฟิงเกอชนะได้ล้วนเป็เพราะโชคช่วย
ส่วนซูมู่เจ๋อนั้นคิดอย่างไม่ยอมแพ้ว่าต้องเป็เพราะเขาไม่ได้เล่นมานานแล้ว มือไม้ที่ใช้เขย่าลูกเต๋าจึงไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน
ในใจคิดเช่นนี้ ซูมู่เจ๋อก็พูดขึ้นอย่างไม่ยอม “แค่ตาเดียว ยังไม่นับว่าเ้าชนะ”
เยว่เฟิงเกอยักไหล่ “หากเถ้าแก่ซูอยากเล่นต่อ เช่นนั้นก็เชิญ”
นางหยิบเงินห้าสิบตำลึงที่ชนะมาได้มาใส่ไว้ในอกเสื้อของตน และยังคงใช้ตั๋วเงินห้าสิบตำลึงใบเดิมในการพนันครั้งต่อไปกับซูมู่เจ๋อ
ซูมู่เจ๋อเห็นว่ารอบนี้ตนแพ้แล้ว บรรยากาศชั่วร้ายรอบกายก็แผ่ออกมาเข้มข้นกว่าเดิม
“ครั้งนี้เป็เพราะเ้าโชคดี เรามาเล่นกันอีกรอบ” ซูมู่เจ๋อพูดพลางหยิบกระบอกลูกเต๋าขึ้นมาเขย่าอีกครั้ง
เยว่เฟิงเกอฟังเสียงลูกเต๋าด้านใน เพื่อนับว่าแต้มสูงหรือต่ำ
ซูมู่เจ๋อถามขึ้นอีกครั้ง “ครั้งนี้เ้าจะเลือกสูงหรือต่ำ? ”
เยว่เฟิงเกอกล่าวตอบ “ผู้แพ้เลือกก่อน”
คำว่าผู้แพ้สองคำนี้ นางเน้นเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
สายตาราวพญาเหยี่ยวของซูมู่เจ๋อจดจ้องนางอย่างดุร้าย ก่อนจะหันไปกล่าวกับลูกน้องของเขาว่า “ลงต่ำ”
ลูกน้องคนนั้นรีบนำตั๋วเงินห้าสิบตำลึงไปวางไว้ที่ฝั่งต่ำทันที
เยว่เฟิงเกอไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเพียงวางตั๋วเงินห้าสิบตำลึงไว้ที่ฝั่งสูง
ครั้งนี้ซูมู่เจ๋อควบคุมแต้มของลูกเต๋าอีกครั้ง หลังจากเขย่าไปสองสามทีก็วางกระบอกลูกเต๋าลงบนโต๊ะโดยแรง ทำให้ลูกเต๋าด้านในพลิกกลับไปกลับมาสองสามครั้ง เพราะแรงจากมือของเขาเอง
เยว่เฟิงเกอฟังออกว่าครั้งนี้ลูกเต๋าด้านในได้กลายเป็แต้มต่ำแล้ว
ครั้งนี้นางไม่ได้เคาะโต๊ะ แต่ปิดปากหันกายไปไอเบาๆ สองสามที
เมื่อนางไอเสร็จก็หันกลับมากล่าวกับซูมู่เจ๋อ “เถ้าแก่ซูเปิดกระบอกไม้ไผ่เถอะ”
ซูมู่เจ๋อเปิดกระบอกไม้ไผ่ออก และพบว่าลูกเต๋าด้านในกองรวมอยู่ด้วยกัน โดยแต้มของลูกเต๋าที่อยู่บนสุดมีจำนวนสูง
ซูมู่เจ๋อใจเต้นตึกตัก เขาให้ลูกน้องเรียงลูกเต๋าที่ตั้งตระหง่านมาวางเรียงลงบนโต๊ะเป็แนวนอน จึงได้เห็นว่าลูกเต๋าที่เหลือล้วนเป็แต้มสูงทั้งหมด
“เป็ไปไม่ได้ ข้า...” ซูมู่เจ๋อใจนเกือบจะโพล่งออกมาแล้วว่าก่อนนี้เขาได้ควบคุมแต้มด้านในให้เป็แต้มต่ำทั้งหมด
เมื่อทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้เห็นว่าซูมู่เจ๋อแพ้อีกครั้งต่างเป็ต้องตกตะลึงจนเผลอส่งเสียงออกมา
ในที่สุดยามนี้ก็เริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์กัน
“แม่นางคนนี้เป็ใครกัน เหตุใดจึงเอาชนะเถ้าแก่ซูได้ติดกันถึงสองตา? ”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่าแม่นางน้อยคนนี้ตั้งใจจะมาพนันกับเถ้าแก่ซูโดยเฉพาะ”
“พวกเ้าเคยเห็นนางมาก่อนหรือไม่ ข้าเล่นพนันมาตั้งหลายปีไม่ยักเห็นนางมาปรากฏตัวสักครั้งเดียว”
“ไม่เคยพบ”
“ข้าก็ไม่เคยเห็น”
“ช่างเป็คลื่นลูกหลังที่น่ากลัวจริงๆ ”
คำพูดพวกนี้ทำให้ซูมู่เจ๋อที่ได้ยินอดไม่ได้ให้รู้สึกอึดอัดอยู่ในอก จะอย่างไรก็ไม่สามารถระบายมันออกมาได้
หากครั้งแรกเขาแพ้ เป็ไปได้มากว่าเป็เพราะเยว่เฟิงเกอโชคดี แต่วันนี้เขาแพ้ติดกันถึงสองครา นี่มันจะหมายความว่าอย่างไร ยังเป็เพราะนางโชคดีอยู่อีกหรือ?
และเพราะเหตุนี้เองเยว่เฟิงเกอที่สามารถเอาชนะซูมู่เจ๋อได้ถึงสองครั้งติดก็ราวกับเป็การปลุกพลังนักสู้ในตัวซูมู่เจ๋อ
เขาไม่เชื่อหรอกว่าตนล้มลุกคลุกคลานอยู่ในโลกพนันมานานหลายปี กว่าจะได้เป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนันนี้ไม่ง่ายเลย แต่วันนี้กลับจะมาแพ้ให้สตรีนางหนึ่ง
“เล่นอีกตา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้ข้าจะแพ้เ้าติดๆ กันไปได้เรื่อยๆ ” ในใจของซูมู่เจ๋อกรุ่นโกรธ เขาหยิบกระบอกลูกเต๋าขึ้นมาเขย่าอีกครั้ง
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าซูมู่เจ๋อใกล้จะะเิอารมณ์โกรธออกมาแล้ว มุมปากนางก็โค้งขึ้นเป็องศาที่น่ามอง
ชายคนนี้เก็บอาการไม่อยู่เสียแล้ว
หากว่านางชนะเขาติดๆ กันได้สิบตา เขาจะไม่โกรธจนเป็บ้าไปเลยหรือ
ทุกคนที่มองซูมู่เจ๋อและเยว่เฟิงเกออยู่ต่างสังเกตเห็นเยว่เฟิงเกอกำลังยกยิ้มขึ้น จึงต่างคนต่างแอบคิดกับใจตัวว่า แม่นางคนนี้แสดงท่าทีมั่นอกมั่นใจเพียงนี้ ครั้งนี้นางคงจะชนะอีกเป็แน่
และไม่เหนือความคาดหมายของทุกคน ในตานี้เยว่เฟิงเกอได้ชัยชนะมาครองอีกครั้ง
เดิมทีซูมู่เจ๋อก็แผ่กลิ่นอายอันตรายชั่วร้ายออกมารอบกายเป็ปกติอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้หลังจากเขาแพ้ติดกันถึงสามตาก็ยิ่งแผ่ความชั่วร้ายอย่างหนักหน่วงชนิดที่คนอยู่ใกล้ยังต้องอัดอั้นตันใจออกมา
“เยว่เฟิงเกอ เ้าต้องโกงแน่ๆ ” ซูมู่เจ๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้นขณะที่ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตรายชั่วร้ายไปถึงตัวเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอเลิกคิ้ว “ขอถามท่าน ตาข้างใดของท่านเห็นว่าข้าโกง? กระบอกลูกเต๋าก็อยู่ในมือท่านตลอด ข้าไม่ได้แม้แต่จะจับต้องมันด้วยซ้ำ แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่ว่าควรเป็เช่นนี้หรอกหรือ? ”
เยว่เฟิงเกอเพียงสะบัดชายเสื้อเบาๆ เพื่อขจัดกลิ่นอายชั่วร้ายนั้นออกไปจากตัว
ตอนนี้ซูมู่เจ๋อคิดออกเพียงอย่างเดียวก็คือเยว่เฟิงเกอต้องเล่นตุกติกอะไรบางอย่างแน่ มิเช่นนั้นนางไม่มีทางชนะเขาติดๆ กันเช่นนี้ได้
อีกทั้ง เมื่อครู่เขาก็ไม่ได้เล่นตุกติก เขาเพียงใช้วิธีธรรมดาอย่างที่สุดในการพนันกับนางด้วยอยากพิสูจน์ความสามารถของตนเอง เขาอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า ต่อให้จะไม่โกงก็ยังสามารถเอาชนะเยว่เฟิงเกอได้
เขาไม่เชื่อว่าเยว่เฟิงเกอจะมีความสามารถมากถึงขนาดเอาชนะเขาติดๆ กันได้ ดังนั้น ต้องเป็เพราะนางโกงถึงได้ชนะ
สุดท้ายพอเขาบอกว่านางโกง นางกลับยอกย้อนกลับมาอย่างเจ็บแสบ
ซูมู่เจ๋อรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าอย่างเหลือจะกล่าว
ในตอนนี้เองทุกคนที่ล้อมอยู่รอบโต๊ะต่างส่งสายตามองมาทางเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนยกหินทับเท้าตัวเอง
“เยว่เฟิงเกอ เ้าดีใจตอนนี้ยังเร็วไปนัก พวกเราไม่เล่นเขย่าลูกเต๋าแล้ว มาเล่นไพ่กระดาษกัน” ซูมู่เจ๋อพูดพลางส่งสายตาให้ลูกน้อง
ลูกน้องหยิบไพ่ออกมาทันที
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าไพ่กระดาษที่ลูกน้องของเขานำออกมานั้นไม่เหมือนไพ่ที่ใช้เล่นกันในยุคปัจจุบัน มันไม่ใช่ไพ่กระดาษ แต่เป็ไพ่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำจากแผ่นไม้บางๆ
้าไม่ได้วาดไว้ด้วยภาพหัวใจหรือดอกจิก แต่เป็ภาพคนและที่เหนือรูปคนเ่าั้ยังได้สลักคำไว้ว่า ไพ่เซียน หมื่น พัน และร้อย
สูงที่สุดคือไพ่เซียน ส่วนหมื่นนั้นต่ำกว่าไพ่เซียนอยู่เล็กน้อย และแน่นอนว่าพันต่ำกว่าหมื่น และร้อยต่ำที่สุด
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นคำว่าไพ่เซียนก็ถึงกับต้องเลิกคิ้ว
ดูท่าครั้งนี้ซูมู่เจ๋อคงจะโกงแน่
เยว่เฟิงเกอมองซูมู่เจ๋อ “เถ้าแก่ซู ตานี้จะเล่นอย่างไร? ”
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะไม่เคยเล่นไพ่กระดาษโบราณเช่นนี้มาก่อน แต่ในสายตานาง หลักการเล่นส่วนใหญ่ของไพ่พวกนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับที่นางเคยเล่นมากนัก
แค่นางดูว่าซูมู่เจ๋อออกไพ่อย่างไรก็พอจะรู้หลักในการเล่นแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้