เซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าตนเองมีความรู้สึกดีต่อโจวเฉิงแล้ว
เมื่อก่อนไม่ว่าโจวเฉิงจะลักลอบขนสินค้าเถื่อนหรือค้ายาเสพติดบ้านอยู่ที่ไหน ปูมหลังครอบครัวคืออะไร ไม่เกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่เงินครึ่งเหมาถึงโจวเฉิงและคังเหว่ยจะเคยช่วยชีวิตเธอมาก่อน แต่เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ติดหนี้น้ำใจน้ำใจไม่ใช่ความรัก ติดหนี้แล้วก็ติดหนี้ไป เซี่ยเสี่ยวหลานจะทดแทนคืนไม่ได้เชียวหรือ?
โจวเฉิงบอกว่าเป็มิตรสหายกัน ทว่ากลับประชิดเข้าใกล้ทีละก้าวล้อเล่นกับหัวใจของเธอทุกทาง
เซี่ยเสี่ยวหลานก็มิได้เหนียมอายทว่าเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยผู้ถวายจิตใจดูแลเช่นนี้ เธอจะไม่เกิดความรู้สึกแม้แต่น้อยก็แปลกสิ!
พอมีความรู้สึกดี เซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้เริ่มซักไซ้ตัวตนของโจวเฉิงโจวเฉิงเป็คนปักกิ่ง อาชีพของโจวเฉิงนั้น...เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่ากำลังตบปากของตัวเอง [1] กล่าวไว้เสียดิบดีว่าก่อนประสบความสำเร็จในการงานจะไม่ครุ่นคิดเื่ความรู้สึกส่วนตัว
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเศร้าใจ ความรู้สึกดียิ่งไม่ใช่ก๊อกน้ำด้วยบิดเปิดน้ำไหล ปิดไปน้ำหยุด
เธอคิดว่าตนเองว้าวุ่นไปกับเสน่ห์ของโจวเฉิงแล้ว!
โจวเฉิงฟังอย่างอื่นเข้าหูที่ไหนกันใจความสำคัญที่เขาจับได้คือเซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับว่ารู้สึกดีต่อเขาแล้ว โจวเฉิงอุ้มเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นหมุนตัวอยู่ที่เดิมสองรอบ ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานร้องออกมาด้วยความใ
“รีบปล่อยฉันลงเลย โจวเฉิง โจวเฉิง!”
“ไม่ปล่อย เธอพูดแล้วว่าชอบฉัน ให้ฉันอุ้มอีกสักพักเถอะ”
เส้นผมเซี่ยเสี่ยวหลานปัดป่ายไปมาบนใบหน้าของโจวเฉิง ปลายจมูกมีแต่กลิ่นหอมสดชื่นแม้จะอาศัยทิวทัศน์ยามราตรีอำพรางไว้แต่การกระทำของโจวเฉิงช่างประเจิดประเจ้อเหลือเกิน
โชคดีที่นี่คือหยางเฉิงซึ่งเป็สังคมที่เปิดกว้าง
โจวเฉิงสูดกลิ่นหอมฟอดใหญ่ ถึงยอมลดแขนลงได้
“เธอบอกวว่าชอบฉันแล้ ดังนั้นห้ามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นฉันไม่เคยคบหากับใครมาก่อน เธอจะต้องรับผิดชอบฉันนะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกฉุนจนแทบเป็ลมไป
ความรู้สึกดีและความชอบนับเป็สิ่งเดียวกันก่อนชั่วคราวได้ตอนนี้คือหญิงชายเสมอภาคกันแล้วด้วย เธอยังจะต้องรับผิดชอบโจวเฉิงอีก?!
เธอไม่ได้เอาเปรียบโจวเฉิงเสียหน่อย!
เซี่ยเสี่ยวหลานอดคัดค้านไม่ได้ “ฉันเปล่าบอกว่าจะคบหากับเธอ”
โจวเฉิงถือว่าเธอแค่กำลังกระฟัดกระเฟียดไม่สนการต่อต้านทางคำพูดของเธอด้วยซ้ำ
“คือฉันเองที่อยากคบกับเธอ พอใจไหม? เธอวางใจได้ฉันไม่ปล่อยให้เธอลำบากหรอก!”
ใครว่าแต่งงานกับคนอย่างเขาแล้วต้องลำบากเขาจะยืนหยัดนำความรุ่งโรจน์เต็มเปี่ยมกลับมาให้เธอ คนดีคนหนึ่งเช่นเธอสมควรได้ดื่มด่ำกับสิ่งดีงามในทุก่เวลาอยู่กับเขา ไม่ใช่การได้รับความลำบากยากเย็น แต่เป็การได้รับชีวิตแสนสุข!
โจวเฉิงกำลังฮึกเหิม เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจหักห้ามคนผู้นี้ให้เลิกคิดเองเออเองได้
เธอแสดงความรู้สึกดีต่อโจวเฉิงอย่างเปิดเผยก็เพื่อให้โจวเฉิงบอกเล่าสถานการณ์ของตนเองเช่นกันเื่ที่โจวเฉิงทำในปัจจุบันต้องถูกชี้แจงแถลงไข
โจวเฉิงก็ไม่ปิดบัง จะให้เขาควักหัวใจออกมามอบแด่เซี่ยเสี่ยวหลานตอนนี้เขาก็ไม่ลังเล
“เมื่อฉันอายุ 15 ปีก็เข้าทำงานในหน่วยงานตอนเข้าร่วมการฝึกพิเศษฤดูร้อนปีนี้ ภายใต้การบัญชาการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ผิดพลาดเบื้องบนตัดสินลงโทษทางวินัยฉัน ทั้งตอนนั้นได้รับาเ็ เลยลาหยุดพักด้วยวันหยุดที่สะสมมาจากหลายปีก่อนเดิมทียังเหลือวันหยุดอีกหนึ่งเดือน ก่อนออกมารอบนี้ โทษที่ติดตัวฉันได้รับการตรวจสอบแล้วการลงโทษจึงถูกยกเลิก ดังนั้นหลังฉันกลับปักกิ่งก็จะต้องกลับไปรับตำแหน่ง คงทำการค้าอิสระแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
โจวเฉิงพูดไปแล้วยังรู้สึกอับเฉา หากทราบเร็วว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ตอนนั้นเขาจะไม่กลับไปปักกิ่ง
หากก่อนคำสั่งลงมาเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับเซี่ยเสี่ยวหลานให้แน่นแฟ้นได้ไม่แน่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคงใจอ่อนตั้งนานแล้วส่วนคังเหว่ยจะขับรถกลับปักกิ่งอย่างไร ตอนนี้โจวเฉิงเลือกที่จะลืมไปก่อน
“เธอมีคู่หมั้นที่หมั้นกันแล้วหรือเปล่า?”
“ไม่มี”
“มีแสงจันทร์ขาวนวลที่อ้อนวอนแต่ไม่ได้เคียงคู่กันหรือไม่?”
“แสงจันทร์ขาวนวลคืออะไร?”
“ก็คือคะนึงหาไม่รู้ลืมเลือนเป็คู่หมายยอดดวงใจที่นอกจากเธอผู้นั้นคนอื่นล้วนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันมี เสี่ยวหลานคือแสงจันทร์ขาวนวลของฉัน”
แสงจันทร์ค่ำคืนนี้ของหยางเฉิงงดงามเหลือเกิน โจวเฉิงรู้สึกว่าการอุปมา ‘แสงจันทร์ขาวนวล’ ช่างเหมาะสมกับบรรยากาศนักเสี่ยวหลานวาจาว่องไวเถรตรง แต่ไม่มีความกระด้างของสาวบ้านนอกแม้แต่น้อยการเปรียบเปรยอย่างแสงจันทร์ขาวนวลนี้ ราวกับขนนกที่ลูบไล้ใจของโจวเฉิง...โจวเฉิงทำงานเมื่ออายุ 15 ปีย่อมไม่มีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัย พอนึกถึงปีหน้าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยแล้วโจวเฉิงคิดว่าตนเองก็สามารถไปศึกษาต่อในวิทยาลัยได้เช่นกัน
ไม่มีคู่หมั้น ไม่มีแสงจันร์ขาวนวลเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าชีวิตส่วนตัวของโจวเฉิงบริสุทธิ์ผุดผ่องทีเดียว เลือกสามีต้องซักไซ้ไต่สวนให้ถึงรากหากถูกใจชายหนุ่มสักคนแล้วอยากคบหาดูใจ ขอแค่เขาโสดสนิทก็พอ
“ฉันขอประกาศ เธอเข้าสู่ระยะดูใจแล้ว จะเป็คนรักของฉัน มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
ระยะดูใจ?
โจวเฉิงอยากข้ามผ่านแม้แต่ขั้นตอนคบหาดูใจเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังอายุไม่ถึงการแต่งงานมิเช่นนั้นเขาคงรอรับทะเบียนสมรสกับเซี่ยเสี่ยวหลานทันทีแทบไม่ไหว
ระยะดูใจก็ระยะดูใจ หากนี่คือกระบวนการที่จำเป็ของการคบหาเช่นกันโจวเฉิงคิดว่ายังพอทนไหว
ท่อนแขนของเขามีกำลังเหลือล้น มือข้างเดียวก็สามารถดันรถเข็นเล็กที่เต็มไปด้วยกระเป๋าสินค้าได้
มืออีกข้างหนึ่งจูงมือของเซี่ยเสี่ยวหลานไปอย่างเป็ธรรมชาติ
“ระยะดูใจจับมือได้สินะ?”
หากเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธว่าไม่ได้โจวเฉิงคิดว่าตนเองอาจยุติระยะดูใจอย่างเด็ดขาด และนำความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปเลย
อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานถูกโจวเฉิงจูงมือเดินเตร่ไปตามถนนของหยางเฉิงอยู่ดีตลาดกลางคืนทั้งคึกคักและขมุกขมัว คู่รักที่แสดงออกอย่างสนิทสนมนั้นมีมากมาย แต่เธอกลับไม่รู้สึกเอียนความรู้สึกแบบนี้
“...ได้”
จับเถอะ อย่างไรก็เคยจูงมือกันมานานแล้ว ตอนนั้นไม่ได้สลัดออกตอนนี้ยังจะเขินอายอะไรอีกเล่า
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดแบบคนโสดทีเดียว จังหวะหัวใจเธอนั้นก็ไม่ปกติเท่าไรเลย
เป็ไปตามคาดว่าความรักย่อมต้องมีกับชายหนุ่มผู้น่าพิสมัยคนที่รู้จักโดยการดูตัวเ่าั้ผู้ชายที่พบกันครั้งแรกก็พูดกับเธอเื่ซื้อบ้านจะใส่ชื่อเขาเข้าไปหรือไม่ หากเธอชอบเข้าไปได้น่ะสิแปลก!
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกอย่างเริงร่า เธอยินดีฉันยินยอมคบหาดูใจกันไม่เหมาะสมก็เลิกราไป
มีความสุขชั่วขณะหนึ่งก็เพียงพอแล้ว จะคิดมากอะไรขนาดนั้นกัน
คนหนึ่งคิดว่าตนเองกำลังมีความรักสุดหวานชื่นกับหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาความรักไม่ได้หมายถึงการแต่งงาน แค่เพลิดเพลินกับปัจจุบันเท่านั้น
คนหนึ่งคิดว่าตนเองและว่าที่ภรรยาบรรลุความคิดเอกฉันท์แล้วเขาย่อมเทิดทูนเธอ รักเธอ แต่งงานกับเธอ และดีต่อเธอไปทั้งชีวิต
โจวเฉิงและเซี่ยเสี่ยวหลานเห็นพ้องต้องกันราวปาฏิหาริย์ในความเข้าใจผิดอันงดงามที่เออออไปเองทั้งสองรู้สึกว่าทิวทัศน์ค่ำคืนนี้สวยเสียจนไร้เหตุผล มีความรักที่ล่องลอยเต็มไปด้วยฟองอากาศสีชมพูจริงด้วยรู้สึกดีเสียจนหัวใจสั่นไหวไปหมด
จากซางตูถึงหยางเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิงยังสำรวมกิริยา
ระหว่างทางกลับจากหยางเฉิง ความสัมพันธ์ของสองคนเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงเพิ่มเติมความหวานแหววของหนุ่มสาวบ้างเป็ธรรมดา ใครก็ดูออกว่าพวกเขาคือคู่รักเซี่ยเสี่ยวหลานทบทวนบทเรียน โจวเฉิงก็มองตาละห้อย กลัวเธอหิวเกรงเธอกระหายทั้งกลัวกลิ่นอายในตู้รถจะรมเธอจนแย่เซี่ยเสี่ยวหลานกลายเป็ตุ๊กตากระเบื้องในชั่วพริบตา
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนเปิดเผย ในเมื่อตกลงสานความสัมพันธ์กับโจวเฉิงแล้วเธอจะไม่รอคอยให้โจวเฉิงมาเอาอกเอาใจอย่างองค์หญิงผู้สูงส่ง
ท่าทางที่เธอพูดคุยกับโจวเฉิงก็ไม่เหมือนเดิมตามสบายและเป็กันเองยิ่งขึ้น สุ้มเสียงของเธอนั้นเหมือนกันรูปโฉม อ่อนโยนยิ่งขึ้นราวกับกำลังออดอ้อนออเซาะ
ผู้ชายเ่าั้ที่อยู่ในตู้รถ จ้องมองมายังโจวเฉิงด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่ามีความริษยามากเพียงใด
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่นิดเดียวโจวเฉิงชอบเธอก็ไม่ใช่อาชญากรรม เมื่อทั้งสองจะคบกันเธอย่อมจะทำให้คนอื่นอิจฉาโจวเฉิงหรือต้องตะคอกตะคั้นแฟนหนุ่มในที่สาธารณะถึงเรียกว่ามีเกียรติ?
เกียรติต้องมอบให้ซึ่งกันและกัน ความเบิกบานร่วมกันซึ่งความรักเป็ผู้นำมาให้นั้นไม่ใช่การจัดการอีกฝ่ายจนสยบสมยอม
เซี่ยเสี่ยวหลานหวังจะได้รับความเคารพจากโจวเฉิงแน่นอนว่าเธอต้องมอบความเคารพแด่โจวเฉิงเช่นกัน
“ถ้าเธอกลับปักกิ่งแล้ว ฉันเขียนจดหมายหาเธอได้ไหม?”
โจวเฉิงแววตาเป็ประกาย “เขียนให้ฉันวันละฉบับใช่ไหม?”
เขียนจดหมายไม่ใช่ทำแบบฝึกหัดเสียหน่อยยังมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทุกวันด้วย?
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าช้าๆ “ฉันจะไปหาเธอที่ปักกิ่ง”
รถไฟจากซางตูถึงหยางเฉิงเกิน 30 ชั่วโมงระยะทางถึงปักกิ่งกลับมากกว่าหนึ่งในสามของเวลาไปหยางเฉิงเล็กน้อย คำนวณออกมานั่งรถไฟมากกว่าถึงสิบกว่าชั่วโมงเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าหากตัวเธอหาเงินได้มากขึ้นบ้าง จะนั่งเครื่องบินไปก็ยังได้ตั๋วเครื่องบินแพงไม่เป็ไร เธอเพียงแต่กังวลเล็กน้อยว่าการนั่งเครื่องบินในปี 83 ต้องทำบัตรประชาชน
“หลังเกาเข่า ฉันก็จะสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่ง”
เชิงอรรถ
[1]自扇嘴巴 ตบปากตัวเอง หมายถึง สิ่งที่พูดเกิดความขัดแย้งกัน
