ตอนที่จี๋โม่หานได้ยินซูิเยว่บอกว่าหวังซวินตายแล้ว เขานึกถึงเชียนซวินจือที่มาหาครั้งที่แล้วและบอกข่าวกับเขา เพียงแค่นั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากเฉลยความจริงไป
“เื่เป็ประมาณนี้เพคะ” ซูิเยว่หยุดครู่หนึ่งเพื่อดื่มน้ำชาแล้วพูดต่อ
“ดังนั้นที่หม่อมฉันมาหาองค์ชายในวันนี้ก็เพื่ออยากจะขอร้องให้องค์ชายช่วยเพคะ หม่อมฉันอยากให้องค์ชายช่วยออกหน้าซื้อร้านค้าหลายหลังพวกนี้ ในสายตาคนนอกเ้าของที่อยู่เื้ัร้านค้าพวกนี้คือท่าน แต่ว่าการบริหารเป็ของพวกหม่อมฉัน คิดว่าคงไม่รบกวนมากเกินไป องค์ชายสามคิดว่าอย่างไรบ้างเพคะ?”
จี๋โม่หานฟังจบก็เงียบไปเนิ่นนาน เพียงแต่ใบหน้านั้นยากจะคาดเดาความคิด นิ้วมือเคาะที่โต๊ะเบาๆ
ซูิเยว่ตื่นเต้นเล็กน้อย สายตาจ้องไปทางจี๋โม่หาน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จี๋โม่หานถึงยกยิ้มเล็กน้อย พูดเสียงเรียบ “ไม่มีปัญหา เปิ่นหวังตกลง แต่ว่า...”
มุมปากของซูิเยว่ยังไม่ทันได้ยกยิ้มจบ เมื่อได้ยินคำพูดตอนท้ายของจี๋โม่หานหัวใจก็เริ่มระมัดระวังขึ้นมา “หากองค์ชายสาม้าอะไร รบกวนพูดออกมาได้เลยเพคะ”
จี๋โม่หานเลิกคิ้วพูดออกมาตามตรง “ในเมื่อทำธุรกิจ เช่นนั้นก็ทำให้มันใหญ่ไปเลย เปิ่นหวังเองก็อยากจะลงหุ้นด้วย เ้าคิดว่าอย่างไร?”
ซูิเยว่ตะลึงค้างไปแล้วพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “องค์ชายก็จะร่วมด้วยหรือเพคะ?”
จี๋โม่หานมีเงินขนาดนี้ ห้าล้านตำลึงเมื่อคืนก็รับปากได้โดยไม่ทันกะพริบตา เขามีเส้นประสาทเส้นไหนกลับหรือไม่?
“ใช่น่ะสิ” จี๋โม่หานพูดไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่นเลยสักนิด “เปิ่นหวังสามารถลงหุ้นได้ ส่วนกำไรทั้งหมดเปิ่นหวังเอาแค่หนึ่งส่วน เ้าคิดว่าอย่างไร?”
“หนึ่งส่วนหรือเพคะ?” ซูิเยว่ใอีกครั้ง “องค์ชายสาม ท่านจริงจังหรือเพคะ?”
นี่คงไม่ใช่เพราะเงินเยอะเกินจนไม่มีเวลาใช้ตามคำเล่าลือกันใช่หรือไม่ ลงหุ้นครึ่งหนึ่ง แต่ขอกำไรแค่ส่วนเดียว มองอย่างไรจี๋โม่หานก็ขาดทุนหนักมาก
“เ้าคิดว่าเปิ่นหวังดูเหมือนกำลังล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?” จี๋โม่หานยกแก้วชาขึ้นมาจิบ
ซูิเยว่ส่ายหน้า สีหน้าก็เริ่มจริงจังขึ้นมา “หากองค์ชายสามอยากจะเข้าร่วมหุ้นจริงๆ ก็ได้เพคะ เพียงแต่กำไรแค่หนึ่งส่วน ท่านไม่คิดว่ามันจะขาดทุนหรือเพคะ?”
“เปิ่นหวังเหมือนคนที่ขาดแคลนเงินอย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นก็ได้เพคะ” ถ้าจี๋โม่หานดึงดันอยากจะลงทุน นางก็จะไม่ขาดทุน อีกทั้งยังมีคนร่วมมือเพิ่มมาด้วยหนึ่งคน เมื่อเทียบกันแล้วก็เหมือนมีที่พึ่งอย่างดีเพิ่มมาอีกหนึ่ง มีเื่อะไรไม่ดีใจกัน
จี๋โม่หานก็เอ่ยปากอีก “ส่วนด้านการบริหารร้าน เปิ่นหวังจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง คุณหนูซูจะตัดสินใจเื่ใดก็ไม่ต้องปรึกษาเปิ่นหวัง แต่หากเกิดเื่อะไรขึ้น แล้วคุณหนูซูไม่สะดวกที่จะออกหน้า เปิ่นหวังสามารถออกหน้าจัดการให้แทนได้”
ซูิเยว่ได้ยินก็แย้มยิ้มออกมาทันที นางเอนตัวไปด้านหน้าแล้วมองจี๋โม่หานอย่างซาบซึ้ง “จริงหรือเพคะ? เช่นนั้นหม่อมฉันขอขอบพระทัยองค์ชายสามก่อนเลยเพคะ”
ร่วมมือกับจี๋โม่หานหรือไม่นั้นไม่ใช่เื่สำคัญ เื่สำคัญก็คือประโยคหลังของจี๋โม่หาน เมื่อครู่นางก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป คิดไม่ถึงว่าจี๋โม่หานจะเอ่ยออกมาเอง
ถึงแม้จะขอให้จี๋โม่หานออกหน้าช่วยนางซื้อร้านมา แต่ว่าเ้าของร้านจริงๆ ก็ยังเป็นาง หากเกิดเื่อะไรขึ้น นางจะออกหน้าก็ยาก ตอนนี้จี๋โม่หานกลับช่วยนางได้มากจริงๆ
“คุณหนูซูเองก็ไม่ต้องเกรงใจเปิ่นหวัง”
ซูิเยว่หยิบตั๋วเงินที่หวังซวินให้มาก่อนหน้านี้ออกมาจากในอกเสื้อแล้ววางตรงหน้าจี๋โม่หาน “องค์ชายสามเพคะ เอาตั๋วเงินนี้ไปเบิกเงินที่คลังได้เลยเพคะ”
“ได้” จี๋โม่หานเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาทำท่าให้หลิงชวนเก็บตั๋วเงินเอาไว้ “เงินที่เหลือข้าจะคืนให้คุณหนูซู เื่หลังจากนี้หากมีปัญหาอะไร ข้าจะส่งคนไปรายงานคุณหนูซูทันที”
“เช่นนั้นก็รบกวนองค์ชายสามแล้วเพคะ”
ซูิเยว่นั่งต่ออีกสักพักก่อนจะเอ่ยขอทูลลา “องค์ชายสาม ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันไม่รบกวนแล้วเพคะ”
อย่างไรนางก็ออกมานานแล้ว
“รอเดี๋ยว” จี๋โม่หานเอ่ยเรียก “หลิงชวนเอากุยหลวนในห้องข้าออกมา”
“ขอรับ” เพียงครู่เดียวหลิงชวนก็ออกไป
ซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจี๋โม่หานจะทำอะไรอีก รออยู่ไม่นาน หลิงชวนก็เอาของที่จี๋โม่หานให้ไปหยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะ
นางถึงได้รู้ว่ากุยหลวนที่จี๋โม่หานพูดเมื่อครู่คืออะไร มันเป็กริชสั้นที่ทำออกมาอย่างประณีตและงดงามมาก
กริชขนาดไม่ใหญ่ บนตัวมีดแกะสลักดอกไม้สีฟ้างดงาม กะทัดรัด สะดวกแก่การพกพามาก
ตอนที่ซูิเยว่ยังไม่เข้าใจอยู่นั้น จี๋โม่หานก็ดันกริชมาตรงหน้าซูิเยว่ “กริชนี้ชื่อว่ากุยหลวน ทำมาจากเหล็กดำอย่างดี ตัดเหล็กได้เหมือนตัดดินเหนียว ทั้งยังสะดวกพกพา เหมาะกับสตรีอย่างพวกเ้า กริชเล่มนี้เปิ่นหวังยกให้เ้า”
ซูิเยว่ตะลึงตาค้างแล้วพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ให้หม่อมฉันหรือ?”
กริชเล่มนี้ดูแล้วราคาไม่เบาเลย แต่ที่สำคัญคือนางกับจี๋โม่หานเพิ่งเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง อีกทั้งไม่ได้สนิทกัน ตอนนี้เกี่ยวพันกันก็แค่ผลประโยชน์ เขาให้เ้าสิ่งนี้กับนางทำไม?
“อืม” จี๋โม่หานยักคิ้ว “เปิ่นหวังช่วยเ้ามาสองครั้ง ล้วนเป็เพราะเ้ากำลังถูกคนไล่ฆ่า หากมีอาวุธเอาไว้สักหน่อยก็สามารถป้องกันตัวได้”
ซูิเยว่มองกริชเล่มนั้นอย่างลังเล แต่ก็ยังไม่ได้ยื่นมือไปหยิบมันมา นางรักษาดวงตาให้กับจี๋โม่หานก็เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตนางไว้สองครั้ง นางไม่ได้อยากจะติดหนี้บุญคุณอะไรเขาอีก
จี๋โม่หานให้กริชนางก็เพื่อป้องกันว่าหากเกิดเื่ไม่คาดฝันกับนางขึ้นมาจะไม่มีคนรักษาดวงตาให้กับเขาหรือ? พอคิดเช่นนี้ซูิเยว่ก็รู้สึกว่าตนยิ่งไม่อาจรับกริชเอาไว้ได้
“องค์ชายสามเพคะ ท่านกลัวว่าหากหม่อมฉันตายจะไม่มีคนรักษาดวงตาให้ท่านหรือเพคะ?” ซูิเยว่หัวเราะ “ท่านวางใจเถิด หม่อมฉันจะรักษาชีวิตอย่างดี”
จี๋โม่หานขมวดคิ้ว เขารู้ว่าซูิเยว่เข้าใจความ้าของเขาผิดไปจึงอธิบาย “เปิ่นหวังไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เปิ่นหวังแค่คิดว่ากริชเล่มนี้เหมาะกับเ้า ถึงได้อยากให้เ้าก็เท่านั้น”
ซูิเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยิบกริชเล่มนั้นมา นางก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร “เช่นนั้นก็ได้เพคะ หม่อมฉันรับไปแล้ว ขอบพระทัยสำหรับน้ำใจขององค์ชายสาม”
ซูิเยว่นั่งอีกสักพักแล้วเอ่ยขอตัวกลับ ตอนที่กำลังจะกลับ จี๋โม่หานก็พูด “คุณหนูซูวางใจได้ หากเื่ราวจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิ่นหวังจะบอกเ้า”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกว่าจะบอกอย่างไร แต่ซูิเยว่รู้ว่าจี๋โม่หานจะต้องมีวิธีของตัวเอง ตอนกลับไปที่ตี้อีโหลวเพื่อรวมตัวกับพวกหนิงหยวนก็เลยเวลาเที่ยงมาแล้ว ซูิเยว่เล่าที่นางร่วมมือกับองค์ชายสามให้พวกเขาฟังคร่าวๆ
“ตอนนี้สถานการณ์ก็ประมาณนี้ ดังนั้นต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว ขอแค่องค์ชายสามซื้อร้านค้ามาจากสำนักราชการได้ก็พอ หวังซวินก็สามารถไปบริหารได้”
หวังซวินฟังจบก็ขมวดคิ้ว “จะเชื่อองค์ชายสามได้หรือไม่ขอรับ?”
เพราะเขาร่วมมือกับองค์ชายห้ามาก่อน ตอนนี้ถึงได้คอยระมัดระวังคนในราชวงศ์ ซูิเยว่เองก็รู้ดี
“วางใจเถิด ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจจี๋โม่หานนัก แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เชื่อถือได้ อีกทั้งเขายังเป็คนเสนอว่าจะมาร่วมหุ้นเอง ดังนั้นถึงจะมีเื่อะไร เขาก็จะเสี่ยงไปกับพวกเรา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้