ยามจื่อ
หลังจากที่จ้าวต้านมองจนแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีทหารลับอยู่ เขาก็ปลุกเวินซี ทั้งสองใส่ชุดดำแล้วย่องออกไปข้างนอก
เพราะว่าวางแผนมาแล้ว ทั้งสองจึงไปถึงหลังคาบ้านของขุนนางชันสูตรศพได้อย่างรวดเร็ว
เวินซีค่อยๆ ยกกระเบื้องชิ้นหนึ่งและมองลงไปด้านล่าง
มีตะเกียงจุดอยู่สองดวงภายในห้อง ขุนนางชันสูตรศพยังมิได้พักผ่อน เขาใช้ผ้าขาวคลุมหน้าและกำลังตรวจสอบศพของเด็กคนนั้นซ้ำๆ
เวินซีรอดูอยู่สิบห้านาที เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ไปพักผ่อน จึงจุดธูปแล้วยื่นเข้าไปด้านใน
เมื่อขุนนางชันสูตรศพได้กลิ่นธูปก็ล้มลงกับพื้นทันที
ทั้งสองจึงลงมาจากหลังคาแล้วปีนเข้าไปในเรือนผ่านช่องหน้าต่าง
มีศพจำนวนมากอยู่ที่พื้นห้อง กลิ่นเหม็นเน่าโชยเข้าจมูกทันที เวินซีขมวดคิ้ว รีบยกมือขึ้นปิดปากกับจมูก แล้วพาจ้าวต้านเดินตรงไปที่ศพของเด็กคนนั้น
ร่างกายของเด็กซูบผอมจนเห็นเป็หนังหุ้มกระดูก เนื้อตัวดูเขียวผิดปกติ เืเปื้อนเสื้อผ้าของเขา ตากลอกกลับจนเห็นตาขาว ดูน่าสยดสยองเป็อย่างยิ่ง
หลังจากที่เอาผ้าขาวปิดหน้าของเด็กแล้ว เวินซีก็หยิบมีดออกมาจากมือของขุนนางชันสูตรศพ แล้วผ่าผิวของเด็กออกโดยไม่ลังเล
เผยให้เห็นอวัยวะภายในของศพ ซึ่งไม่มีเืไหลออกมา
อวัยวะภายในทั้งหมดมีสีดำอย่างเห็นได้ชัด
เวินซีกำมีดแน่นขึ้นแล้วผ่าอวัยวะหนึ่งออก ด้านในนั้นเต็มไปด้วยเืสีดำ และมีควันจางๆ ลอยออกมา
ดวงตาของนางมืดลง นางถอดปิ่นเงินออกจากศีรษะแล้วปักเข้าไปในิัของศพ เมื่อดึงออกปิ่นเงินก็กลายเป็สีดำทันที
นี่เป็ร่องรอยของการถูกวางยาพิษชัดๆ
การวินิจฉัยในครั้งแรกของนางถูกต้อง...
“มีอันใดหรือ? ค้นพบสิ่งใด?” เมื่อเห็นนางเงียบไป จ้าวต้านก็ถามขึ้น
“มีคนจงใจวางยาพิษ ดูเหมือนว่าพิษนี้จะติดต่อกันได้ด้วย เราต้องรีบหาว่าตอนนี้พิษแพร่ไปถึงที่ใดแล้ว มิฉะนั้นผู้ที่ติดเชื้อจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ”
“พิษที่ติดต่อกันได้...” จ้าวต้านหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
“ท่านรู้จักหรือไม่?” เวินซีหันกลับมามองเขา
“ข้ารู้มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะใช่พิษตัวนี้หรือไม่”
“ลองว่ามาหน่อยสิเ้าคะ”
“พิษที่ติดต่อได้ ที่มีการบันทึกไว้นั้นมีสามชนิด ชนิดแรกเรียกว่าพิษคางคก ทำจากคางคกที่มีพิษร้ายแรงที่สุดของราชวงศ์ นำมาตากแห้งและบด หากถูกวางยาพิษ ิัจะกลายเป็สีช้ำเขียว ร่างกายจะคันและเป็ตะปุ่มตะป่ำไปทั้งตัว ตุ่มบนร่างกายจะมีหนองไหลออกมาไม่หยุด สามารถติดต่อกันผ่านทางน้ำหนองได้”
“เพราะพิษนี้ไม่มียาแก้ รักษายากและเป็อันตรายต่อผู้คน จึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนสั่งห้าม”
“ชนิดที่สอง ข้าก็จำชื่อมิได้ ข้าเคยได้เจอในสนามรบ อาการหลังจากที่ถูกวางยาพิษมิได้แตกต่างจากคนพวกนี้มากนัก แต่จะมีอาการนอกเหนือจากนี้คือ พวกเขาจะตื่นตัวเป็อย่างยิ่ง หัวเราะสลับกับร้องไห้เป็พักๆ ทั้งยังควบคุมตนเองมิได้ จะเกิดความคิดที่อยากจะฆ่าคนหรือวางเพลิง พิษนี้ติดต่อกันได้ง่ายมาก เพียงใช้สิ่งของที่ผู้ที่มีพิษเคยใช้ก็สามารถติดพิษได้”
“ส่วนพิษชนิดที่สามข้าไม่รู้จัก เพียงแต่เคยได้ยินว่ามันชื่อต้วนหุนเซียง เมื่อได้รับพิษ ร่างกายจะอ่อนแรง ขยับเขยื้อนมิได้”
“มีอาการอื่นอีกหรือไม่? ติดเชื้อได้เช่นไร?” เมื่อเห็นเขาหยุดพูด เวินซีก็ขมวดคิ้วถาม
จ้าวต้านส่ายหน้า “ข้าเพียงได้ยินมาบ้างก็เท่านั้น มิได้รู้มากนัก เหมือนว่ามันจะมาจากราชวงศ์อื่น คงต้องไปอ่านตำราการแพทย์ดู”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็การถูกวางยาพิษก็ง่ายขึ้นแล้ว กลับกันเถิดเ้าค่ะ”
เวินซีพูดพลางเอาผ้าขาวคลุมตัวศพ จ้าวต้านพยักหน้า จากนั้นทั้งสองจึงออกจากห้องไปโดยไม่ลืมดับเทียน
ในตอนที่มาถึงร้านเครื่องหอม ทั้งสองก็เห็นทหารลับของหลานเยว่เฉิง เพื่อไม่ให้พวกเขาเจอตัว ทั้งสองจึงใช้เส้นทางอื่นกลับร้านเครื่องหอม
ยังมีเวลาก่อนจะถึงตอนรุ่งสาง เวินซีอาสาว่าจะเป็คนเฝ้าระวังให้ จ้าวต้านจึงหลับตาลงพักผ่อน
หลังจากที่จ้าวต้านเข้านอน นางก็บดยาอยู่ที่โต๊ะ
ในตอนที่ฟ้าเพิ่งจะสาง ทหารลับสองคนที่คลุมหน้าแอบเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นเวินซี พวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น
“คุณหนูเวินซี”
“จ้าวต้านกำลังพักผ่อน มีเื่อันใดก็บอกข้า เขาตื่นแล้วข้าจะบอกเขาเอง” เวินซีมองดูทหารลับทั้งสองก็เอ่ยปากพูดอย่างผ่อนคลาย “ว่ามาเถิด”
“ขอรับ คุณหนูเวินซี ในยามเหม่า [1] ของวันนี้ คุณชายต้วน ต้วนจิงเย่เข้ามาถึงเมืองเพียงคนเดียวขอรับ ยามนี้เขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง” ทหารลับพูดด้วยความเคารพ
“เขาเข้ามาได้เช่นไร?”
“ประตูเมืองมิได้ปิดขอรับ เขาเดินเข้ามา”
คำพูดของทหารลับทำให้เวินซีขมวดคิ้ว
“ยังมีเื่ใดอีกหรือไม่?” นางยังคงถามต่อ
“เราได้แอบไปที่บ้านของผู้ติดเชื้อทุกคนมาเมื่อคืนขอรับ เราพบว่าบ้านของพวกเขาล้วนอยู่ที่ด้านประจิมของเมืองขอรับ”
“ทราบแล้ว ฟ้าจะสว่างแล้ว พวกเ้ารีบกลับไปเถิด หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะออกไปยาก”
“ขอรับ คุณหนูเวินซี”
ทหารลับสองคนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเวินซีก็บดยาต่อจนกระทั่งจ้าวต้านตื่นขึ้นมา
“ง่วงหรือไม่? จะพักผ่อนต่อหรือไม่?” หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ จ้าวต้านก็เดินไปข้างๆ นางพลางถามด้วยความเป็ห่วง
“ไม่ง่วง ท่านกลับไปนั่งบนเตียง ถอดเสื้อผ้าออกหน่อยเ้าค่ะ”
หลังจากที่บดยาเสร็จ เวินซีก็นำผงยาทั้งหมดผสมกับน้ำ แล้วเอ่ยปากบอกเขา
จ้าวต้านทำตามอย่างเชื่อฟัง สายตาของเขาคอยเฝ้าดูนางตลอด
นางลุกขึ้น เมื่อล้างมือเสร็จก็หยิบเข็มเงินแล้วเดินไปหาเขา
“เพื่อป้องกันมิให้เนี่ยนหานกู่แผลงฤทธิ์ตอนต่อสู้ ข้าจะยับยั้งมันไว้ก่อน เจ็บหน่อยนะเ้าคะ อดทนหน่อย”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็ปักเข็มเงินเข้าไปในจุดฝังเข็ม คิ้วของจ้าวต้านขมวดเล็กน้อย
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นนางฝังเข็มให้ในตอนที่ตนเองยังมีสติ เขาไม่หลุดเสียงร้องใดออกมาเลยตลอดกระบวนการ ยินยอมให้นางรักษาแต่โดยดี
จ้าวต้านถูกนางฝังเข็มราวกับเม่นที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง
เวินซีเดินไปที่โต๊ะ หยิบส่วนผสมของยาจำนวนหนึ่งออกมา ปั้นเป็ก้อนแล้วยัดใส่ถุงหอมสีดำ จากนั้นวางลงในเสื้อผ้าของเขา
“ถุงหอมนี้จะช่วยให้ท่านยังรักษาสติไว้ได้ในตอนที่หนอนกู่แผลงฤทธิ์ และช่วยร่างกายของท่านได้บ้าง พกไว้นะเ้าคะ”
“อื้ม” จ้าวต้านมองนางด้วยรอยยิ้ม
ของที่นางมอบให้เขา แม้นางจะไม่บอก แต่เขาก็จะรักษามันไว้ราวกับเป็ของล้ำค่าอยู่แล้ว
“ทำอันใดน่ะ!” ขณะนั้นจ้าวต้านเห็นเวินซีใช้มีดกรีดฝ่ามือก็รีบทักท้วงออกมา เขาพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง
“อย่าขยับ อยากตายหรือเ้าคะ?” เวินซีเอ่ยเสียงแข็ง ทำให้เขาไม่กล้าขยับ
นางมองเขาด้วยคิ้วที่ขมวดกันแน่น
การฝังเข็มเงิน หากคลาดเคลื่อนไปเพียงเล็กน้อยก็อาจถึงตายได้เลย เขาไม่รู้หรืออย่างไร?
“เ้าทำอันใดน่ะ?” น้ำเสียงของจ้าวต้านอ่อนลงเล็กน้อย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเ็ป
เวินซีไม่ตอบ เพียงหยดเืลงที่ชามใส่ยาแล้วยกมาไว้เบื้องหน้าของเขา
“ดื่มเ้าค่ะ” นางพูดด้วยเสียงเ็า
จ้าวต้านมองด้วยสีหน้านิ่ง แต่ไม่ได้รับยาไป
“ก็แค่แผลเล็กๆ ไม่มีอันใดหรอกเ้าค่ะ หากท่านไม่ดื่ม วันพรุ่งหนอนกู่แผลงฤทธิ์ขึ้นมา แล้วท่านร่วมมือกับหลานเยว่เฉิงมาตามฆ่าข้า ข้าจะทำเช่นไร?”
“ไม่มีทาง”
“ท่านแน่ใจหรือ? ข้าเกือบตายคามือท่านมาหลายคราแล้ว คิดเสียว่าทำเพื่อข้า ดื่มเถิดเ้าค่ะ”
คำพูดของเวินซีแทงใจจ้าวต้านเป็อย่างยิ่ง เขาลดสายตาลง อ้าปากดื่มยาจนหมด ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ยาที่ดื่มนี้ถึงได้ขมจับใจ
“เหมือนว่าหลานเยว่เฉิงจะรู้วิธีปลุกเนี่ยนหานกู่ คราก่อนที่มันแผลงฤทธิ์ก็เพราะเขา” จากนั้นเวินซีก็พลันเอ่ยต่อว่า
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็อย่าให้เขามีโอกาส ข้าจะจัดการหลานเยว่เฉิงเอง ท่านไปจัดการทหารลับของเขา วางใจเถิด หลานเยว่เฉิงในยามนี้มิใช่ศัตรูของข้า”
“ได้สิ” จ้าวต้านพยักหน้า
สำหรับตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ เวินซีถอดเข็มเงินออกพลันยื่นเสื้อผ้าให้เขาสวมใส่
“ทหารลับเพิ่งมารายงานว่าต้วนจิงเย่ได้เข้ามาในเมืองแล้ว”
เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้มือของจ้าวต้านที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ต้องหยุดชะงัก เขาเงยหน้ามองเวินซี สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ต้วนจิงเย่เข้าเมืองมา เหตุใดถึงไม่ติดต่อเขาก่อน?
เชิงอรรถ
[1] ยามเหม่า 卯时 คือ เวลาที่พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น ่เวลาประมาณตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า