เห็นเฉียวรุ่ยหลบสายตา ไม่เอ่ยวาจาเป็เวลานาน หลิ่วเทียนฉีก็ขมวดคิ้ว “หากเ้ารู้สึกว่าการแต่งงานมันฉุกละหุกเกินไป เช่นนั้นพวกเราก็หมั้นกันไว้ก่อน ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้กันให้มากขึ้นหน่อยแล้วค่อยแต่งงานกันดีกว่าไหม?”
“หมั้น?” เฉียวรุ่ยช้อนสายตามอง
“ใช่แล้ว หมั้นไว้ก่อน รอสองปีให้หลังค่อยแต่งงานกัน! เ้าเห็นว่าอย่างไร?”
“นี่...” คิ้วน้อยขมวด ยังคงลังเล
“รับปากข้าเถอะ นะ?” หลิ่วเทียนฉีก้มศีรษะ จุมพิตหลังมือเฉียวรุ่ยอย่างแ่เบา
“บุรุษสองเพศมีความสามารถในการให้กำเนิดต่ำมาก ที่จริง ที่จริงเ้าก็ช่วยชีวิตของข้าไว้ ไม่จำเป็ต้องแต่งกับข้าก็ได้” เฉียวรุ่ยเห็นบุรุษ้าจะตบแต่งตนอย่างจริงใจก็ซาบซึ้งเป็อย่างยิ่ง คิดว่าอีกฝ่ายเป็คนที่กล้าทำกล้ารับ คงไม่มีทางเป็คนเลวเด็ดขาด
“ข้า ข้ากลัวว่าเ้าจะคิดไม่ตก ทำเื่โง่ๆ” สตรีมากมายในยุคโบราณล้วนแขวนคอตายเพราะเื่นี้
“ไม่ ข้าไม่มีทางทำหรอก!” เฉียวรุ่ยตอบอย่างขึงขัง
แม้เื่นี้ทำให้เขารู้สึกอดสูอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็เป็บุรุษ ยังไม่ถึงขั้นต้องผูกขื่อแขวนคอเฉกเช่นสตรีหรอก
“รับปากข้า ให้ข้าสบายใจเถิด นะ?” หลิ่วเทียนฉีลูบใบหน้าของเฉียวรุ่ยพลางอ้อนวอนเสียงเบา ต้องคว้ากลับบ้านให้ได้ หากรอหลังเฉียวรุ่ยพบพระเอก ตนคงไม่มีโอกาสแล้ว
“ได้ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น พวกเราหมั้นกันก่อนนะ!” เฉียวรุ่ยถูกหลิ่วเทียนฉีเกลี้ยกล่อมและตะล่อมอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงหมั้นกับอีกฝ่าย
ในฐานะบุรุษสองเพศหัวโบราณ ในเมื่อเป็สามีภรรยาทางกายกับอีกฝ่ายแล้วย่อมเป็คนของอีกฝ่าย เช่นนั้นการหมั้นหรือแต่งงานล้วนเป็เื่เหมาะสม เพียงแต่จะมากน้อยก็ยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายอยู่บ้าง อย่างไรบุรุษตรงหน้าก็ทำเพื่อช่วยชีวิตตน แต่สุดท้ายกลับต้องลงเอยเช่นนี้
“อืม ดี ดีเหลือเกิน!” หลิ่วเทียนฉีได้รับคำยินยอมจากอีกฝ่ายก็ดีใจอย่างคุมไม่อยู่
“เ้า เ้าเอายันต์ที่หน้าอกข้าออกก่อนเถอะ! ข้าไม่ตีเ้าแล้ว!” นอนร่างเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเบื้องหน้าบุรุษ อย่างไรก็ทำให้เฉียวรุ่ยรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
“อย่ารีบร้อนเลย เดี๋ยวข้าเปลี่ยนน้ำในถัง อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เ้าก่อน ยันต์นี่สะกดได้แค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น เมื่อครบเวลาเ้าก็ขยับได้เอง!” หลิ่วเทียนฉีส่ายศีรษะ ไม่คิดจะเอายันต์ออก
“ไม่ ไม่ต้อง ข้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้!” เฉียวรุ่ยรู้สึกแปลกพิกล รีบส่ายศีรษะปฏิเสธ
“พูดอะไรโง่ๆ นี่เป็สิ่งที่ข้าควรทำ!” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยอย่างอ่อนโยน ลุกขึ้นยืนแล้วมาตรงหน้าถังอาบน้ำ
เฉียวรุ่ยเห็นหลิ่วเทียนฉีหมุนปลายนิ้วทีหนึ่ง น้ำในถังอาบน้ำก็ผนึกรวมเป็ลูกบอลน้ำที่ถูกหลิ่วเทียนฉีโยนออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นอีกฝ่ายจึงกรอกน้ำใสสะอาดเข้าไปในถังอีกครั้ง เขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“เ้ามีชีพจรทิพย์สายวารีหรือ?”
“อืม ข้าสายวารี ระดับฝึกปราณขั้นเก้า!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าพลางกลับมาข้างเตียง ก้มตัวอุ้มคนบนเตียงขึ้นมา
“ขั้นเก้า? สามปีก่อนตอนที่พบเ้า เ้าระดับฝึกปราณขั้นสามเองนี่?” เฉียวรุ่ยกะพริบตา เอ่ยถามด้วยความสับสน
“สามปีที่ผ่านมาข้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ตลอด ไม่นานก็ออกมาฝึกวิชาข้างนอกอีกครึ่งปี ขณะกำลังกลับก็พบเ้าที่หน้าหมู่บ้านเข้า!” พูดไปพลางวางเขาลงในถังอาบน้ำอย่างแ่เบา เอายันต์เก็บของออกมาหยดน้ำพุบรรณมาศสามหยดลงไปในน้ำอีกหน
“ปราณทิพย์เข้มข้นนัก!” เฉียวรุ่ยแสดงสีหน้าตื่นตะลึง มองไปทางหลิ่วเทียนฉี
“เป็โชควาสนาเล็กน้อยที่ข้าหาพบข้างนอก เ้าแช่น้ำในนี้สักพัก ร่างกายจะได้สบายขึ้นบ้าง” พูดพลางวางสองมือบนบ่าของเฉียวรุ่ย บีบนวดเบาๆ
“ไม่ ไม่ต้องนวดหรอก!” รู้สึกถึงััของบุรุษ หน้าของเฉียวรุ่ยก็แดงทันที
“อย่าพูดโง่ๆ สิ ครั้งแรกของเ้า ร่างกายคงปวดอย่างร้ายกาจ ข้าบีบๆ นวดๆ ให้เ้า ให้แช่น้ำพุปราณทิพย์เข้มข้นนี่อีกสักหน่อย ร่างกายจะได้ไม่ทรมานมาก!”
“อือ ขอบคุณ ขอบคุณเ้ามาก!” เฉียวรุ่ยหลบสายตา ใบหน้าแดงจัด ปากเอ่ยขอบคุณ ความอ่อนโยนและเอาใจใส่ของบุรุษทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานาน
อาบน้ำให้เฉียวรุ่ยจนสะอาดเอี่ยม นวดเฟ้นทั้งร่างไปรอบหนึ่ง หลิ่วเทียนฉีถึงอุ้มกลับมาบนเตียง เช็ดร่างกายอีกฝ่ายให้แห้ง หยิบชุดตัวในสีขาวบริสุทธิ์ชุดหนึ่งออกมาสวมให้
“ข้า ข้ามีเสื้อผ้าของตัวเอง!” เฉียวรุ่ยมองบุรุษที่กอดตนไว้ในอ้อมแขนแล้วนอนลงบนเตียงด้วยกันอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงเบา
“เสื้อผ้าของเ้าไม่สวย ส่งผลกับความงามของเ้า” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยเหมือนเป็เื่สมควร จุมพิตบนใบหน้าอีกฝ่ายทีหนึ่ง
“เ้า!” ถูกบุรุษลอบจู่โจม เฉียวรุ่ยหน้าแดงทันที
“เสี่ยวรุ่ย เ้าเป็บุรุษสองเพศผู้งดงามที่สุดที่ข้าเคยพบ หน้าตางามล่มเมืองยิ่งนัก!” ปลายนิ้วของหลิ่วเทียนฉีไล้ผ่านใบหน้างามเหมาะเจาะแ่เบา เอ่ยอย่างหลงใหล
“แต่ แต่คนในหมู่บ้านบอก บอกว่าข้าดุร้าย บอกว่าข้าหยาบคาย แล้วยังบอกว่าข้าดวงพิฆาตบิดามารดา ทั้งชีวิตคงไม่ได้ออกเรือนหรอก” เฉียวรุ่ยนึกถึงคำพูดที่พวกชาวบ้านเคยบอกก็เศร้านิดๆ หากคนที่บ้านอีกฝ่ายรู้ว่าชื่อเสียงของตนเลวร้ายเช่นนี้ ทั้งยังดวงพิฆาตบิดามารดาอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมให้ตนแต่งเข้าบ้านหรือไม่
“เหลวไหล เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ คนในครอบครัวล้วนถูกดวงพิฆาตของเด็กฆ่างั้นหรือ? ถ้าเด็กคนหนึ่งมีความสามารถเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรายังฝึกตนเพื่ออะไรเล่า?”
ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ย เฉียวรุ่ยก็กะพริบตาปริบๆ “เ้า เ้าไม่รังเกียจข้าหรือ?”
“จะเป็ไปได้อย่างไรเล่า? ข้าชอบเ้าจนไม่รู้จะชอบอย่างไรแล้ว ไยจะรังเกียจเ้ากัน?” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยพลางจูบบนริมฝีปากของเฉียวรุ่ยอีกครั้งหนึ่ง
“เ้า เ้า...” ถูกจูบอีกแล้ว ใบหน้าเฉียวรุ่ยแดงไปทั้งหน้า เขินอายอยู่บ้าง
“ข้าชื่อหลิ่วเทียนฉี เ้าเรียกข้าว่าเทียนฉีก็พอ!”
“อืม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า จดจำไว้ในใจ
“ท้องหิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวข้าไปหาของกินให้เ้าสักหน่อย” พูดพลางอุ้มคนในอ้อมแขนให้ลุกขึ้นนั่ง เอาข้าวต้มชามหนึ่งและซาลาเปาหนึ่งเข่งออกมาจากในแหวนมิติ
“ข้า ให้ข้ากินเองเถอะ เ้าไม่ต้องป้อน!” เห็นหลิ่วเทียนฉีถือข้าวต้มเตรียมป้อนตนก็รีบร้อนปฏิเสธ
“ป้อนก่อนคำหนึ่งแล้วเ้าค่อยกินเอง!” หลิ่วเทียนฉีพูด ดื้อดึงตักข้าวต้มมาช้อนหนึ่ง ขยับชิดริมฝีปากและเป่าให้อย่างใส่ใจ แล้วถึงนำมาป้อนที่ริมฝีปากของเฉียวรุ่ย
เฉียวรุ่ยได้กลิ่นหอมของอาหารก็อ้าปากอย่างเขินอาย กินข้าวต้มที่อีกฝ่ายป้อนลงไป
หลิ่วเทียนฉีนับว่าพูดคำไหนคำนั้น เห็นเขากินข้าวต้มคำแรกอย่างว่าง่ายก็เอายันต์ออกจากหน้าอกให้
พอได้อิสระ เฉียวรุ่ยก็ขยับแขนขา ยื่นมือรับข้าวต้มกับซาลาเปาในมือหลิ่วเทียนฉีไป
ข้าวต้มชามน้อยบวกกับซาลาเปาหนึ่งเข่ง ภายในสองสามคำเฉียวรุ่ยก็จัดการหมด หลังกินเสร็จยังใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำทีหนึ่ง
หลิ่วเทียนฉีกะพริบตาพริบๆ อย่างอับจนคำพูดพลางคิด ‘ซาลาเปาลูกหนึ่งในสองคำ ข้าวต้มคำเดียวหมดไปครึ่งชามได้นี่ ท่าทางการกินช่าง ช่างไม่ประดิดประดอยจริงเชียว!’
เฉียวรุ่ยวางชามในมือลง หันไปเห็นหลิ่วเทียนฉีอึ้งก็รู้สึกกระดากอายยิ่งนัก หน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ได้แต่คิด ‘เห็นตนกินข้าวไร้มารยาทเช่นนี้ เทียนฉีจะ จะไม่อยากหมั้นกับตนแล้วหรือเปล่านะ?’
“กินอิ่มแล้วหรือ? อยากกินอย่างอื่นอีกหรือไม่?” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากให้เฉียวรุ่ย จับมืออีกฝ่ายขึ้นมาเช็ดต่อ
“เ้า ไม่รู้สึกว่าข้าไร้มารยาทบ้างเลยหรือ?” เฉียวรุ่ยจับชายเสื้ออย่างวิตก เอ่ยถามเสียงเบา
“จะเป็ไปได้อย่างไรเล่า? เห็นเ้ากินเร็วปานนั้น คงจะหิวล่ะสิ ข้ายังมีเนื้อพะโล้อีก เ้ากินอีกหน่อยเถอะ!” พูดพลางนำเนื้อพะโล้ชิ้นใหญ่ส่งให้
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเ้าไม่กินหรือ?” เฉียวรุ่ยมองอีกฝ่าย ไม่รับมาแต่ถามต่อ
“เมื่อวานข้ากินเ้าแล้ว ตอนนี้ไม่หิวเลย!” หลิ่วเทียนฉีจับมือเฉียวรุ่ย วางเนื้อพะโล้บนมืออีกฝ่าย
“เ้า...” ได้ยินคำนี้ ไม่ใช่แค่หน้า กระทั่งลำคอก็แดงไปแล้ว
“รีบกินเถอะ กินเสร็จพวกเราค่อยกลับเมืองฝูเฉิง ข้าจะพาเ้าไปพบท่านพ่อ”
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รับเนื้อพะโล้ไปแล้วเริ่มกินคำโต
หลิ่วเทียนฉีมองดูเฉียวรุ่ย เพียงไม่กี่คำก็เขมือบเนื้อพะโล้หนักสามชั่งชิ้นหนึ่งเกลี้ยง ภายหลังถือผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดปากอยู่ เขาคิดในใจ ‘ดูท่าหลังจากนี้ต้องวาดยันต์เพิ่มสักหน่อย หาศิลาทิพย์เพิ่มสักนิด ไม่เช่นนั้นเขาคงเลี้ยงภรรยาไม่ไหว!’
หลังเฉียวรุ่ยกินอิ่ม หลิ่วเทียนฉีนำอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ลายกลีบดอกท้อประดับประปรายกับรองเท้าบูทสีขาวคู่หนึ่งออกมาให้อีกฝ่าย
“ชุดกับรองเท้านี่ บิดาเตรียมให้ข้าตามขนาดก่อนข้าออกมาฝึกวิชาจึงล้วนเป็ของใหม่ เ้าลองสวมดูสิ?” ก่อนออกมาฝึกวิชาข้างนอก นอกจากเตรียมยันต์วิเศษ อุปกรณ์อาคมกับโอสถให้แล้ว เสื้อผ้าผลัดเปลี่ยน รองเท้าและอาหารทั้งหมด บิดาก็ตระเตรียมให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า หยิบอาภรณ์ผ้าไหมขึ้นมาสวมอย่างระมัดระวัง
หลิ่วเทียนฉีเห็นเฉียวรุ่ยสวมเสื้อผ้ากับรองเท้าของตนได้พอดีก็พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ “ใช้ได้ สวมชุดนี้แหละ! รอกลับเมืองฝูเฉิง ข้าจะซื้ออีกสักหลายชุดให้เ้าผลัดเปลี่ยน”
“ไม่ ไม่ต้องหรอก ข้ามีเสื้อผ้าอยู่ ไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองศิลาทิพย์เลย!”
“วางใจเถิด อย่างไรข้าก็เป็ผู้ใช้ยันต์ขั้นสอง ข้าเลี้ยงคู่หมั้นได้!” พูดพลางลูบจมูกของอีกฝ่าย
“ไม่ ไม่ต้องให้เ้าเลี้ยงข้า ข้าล่าสัตว์ได้ แถมข้ายังเลาะกระดูกได้ด้วย ข้าเลี้ยงเองได้ ต่อให้เ้ากับข้าหมั้นกัน ข้าก็จะไม่เป็ภาระของเ้า” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“อืม ข้ารู้ ข้ารู้ว่าเ้าระดับฝึกปราณขั้นเจ็ด เก่งกาจยิ่งนัก!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ายิ้มพลางโอบเอวเฉียวรุ่ย พาเขาออกไปข้างนอก
เฉียวรุ่ยหน้าแดง เดินตามหลิ่วเทียนฉีออกจากบ้านไปด้วยกัน
ถึงแม้ในบ้านจะไม่มีของมีค่าอะไร แต่เขาก็ยังลงกลอนอย่างแ่าเมื่อต้องจากไป
หลิ่วเทียนฉีมาถึงนอกเรือนก็ปล่อยอสูรอาชาออกมาทันที
“ว้าว อสูรอาชาสวยยิ่งนัก สีขาวปลอดเชียว ขนสีต่างสักเส้นก็ไม่มี” เฉียวรุ่ยเห็นอสูรอาชาก็อุทานใ ดวงตาที่มองเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
“ไปกันเถอะ พวกเราขี่อสูรอาชากลับ ครึ่งชั่วยามก็ถึงเมืองฝูเฉิง!”
“ครึ่งชั่วยาม เร็วปานนี้เชียว? ข้าเดินเท้าต้องเดินตั้งสองชั่วยามกว่าจะถึง!”
“ครึ่งชั่วยามคือความเร็วอสูรอาชาวิ่งกลับ หากบินกลับไป เวลาดื่มชาหนึ่งถ้วยก็เพียงพอ!”
“ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียว? ได้ยินมานานว่าคนรวยล้วนขี่อสูรอาชา ที่แท้ก็ดีเช่นนี้นี่เอง!” เฉียวรุ่ยเดินวนอสูรอาชาอยู่หลายรอบ ลูบแล้วลูบอีกอย่างดีอกดีใจ
หลิ่วเทียนฉีะโขึ้นไป “เสี่ยวรุ่ย ขึ้นมาสิ!”
เฉียวรุ่ยเห็นบุรุษส่งมือมาตรงหน้าก็พยักหน้าอย่างเอียงอาย จับมือหลิ่วเทียนฉีขึ้นอสูรอาชา เข้าไปนั่งในอ้อมแขน
“ไปได้เ้าขาว!” หลิ่วเทียนฉีตบบนหัวอสูรอาชาแล้วเอ่ยเสียงเบา
อสูรอาชาได้รับคำสั่งของเ้านาย สี่กีบเท้าพลันโลดแล่นวิ่งไปข้างหน้า