ขี่อสูรอาชาครั้งแรก ได้นั่งอยู่บนหลัง ััถึงเสียงลมพัดผ่านที่ดังหวีดหวิวและความเร็วยามวิ่งอันน่าตะลึง สีหน้าของเฉียวรุ่ยก็พลันตื่นเต้น
“เทียนฉี เ้าขาววิ่งเร็วมากเลย!”
“ใช่แล้ว มันวิ่งเร็วนักล่ะ เพราะอย่างนั้นเ้าต้องจับบังเหียนให้แน่นๆ นะ” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยพลางกอดคนในอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม
เฉียวรุ่ยรู้สึกว่าสองมือใหญ่กอดเอวแน่นขึ้นก็หน้าแดง “อย่า อย่ากอดแน่นขนาดนั้นสิ!”
“ข้ากลัวเสี่ยวรุ่ยตกลงไปนี่! ถ้าเ้าาเ็ ข้าคงปวดใจ”
ได้ยินบุรุษเอ่ยเช่นนี้ เฉียวรุ่ยก็ก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงระเรื่อ ในใจรู้สึกอบอุ่น
ทั้งสองขี่อสูรอาชากลับตลอดทาง จึงเดินทางมาถึงฝูเฉิงอย่างรวดเร็วยิ่ง
หลังเข้าเมือง หลิ่วเทียนฉีเก็บอสูรอาชา เขาไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านแต่พาเฉียวรุ่ยเดินเที่ยวถนนของเมือง
“เ้ามาที่ฝูเฉิงบ่อยไหม?”
“อืม หากล่าสัตว์ได้ ข้าจะแล่เนื้อสัตว์อสูรออกมาแล้วเอาไปขายที่ร้านอาหารเหลา จากนั้นค่อยเอาหนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูรไปขายที่ร้านขายของชำ แยกขายเช่นนี้ถึงจะขายได้ศิลาทิพย์มากขึ้นหน่อย!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า ตอบกลับตามความจริง
“อ้อ!” หลิ่วเทียนฉีฟังจบก็พยักหน้ารับ
เฉียวรุ่ยเสียพ่อแม่บุญธรรมไปั้แ่เล็ก พึ่งพาการล่าสัตว์ในการเลี้ยงชีวิต เป็เด็กน้อยลำบากย่อมต้องคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วน
“ด้านหน้ามีร้านตัดเสื้ออยู่ พวกเราไปดูกันเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีจูงมือเฉียวรุ่ยเข้าไปในร้านตัดเสื้อ
“โอ๊ะ นายน้อยเจ็ด ท่านมาแล้ว!” เฒ่าแก่เห็นหลิ่วเทียนฉีมาเยือนก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาทักทาย
“เลือกสักหลายชุดให้คุณชายท่านนี้ซิ เอาสีขาวนะ!”
“ขอรับ นายน้อยเจ็ด” ผู้จัดการร้านมองขึ้นมองลง ประเมินขนาดตัวของเฉียวรุ่ยครู่หนึ่งจึงไปหาชุดสีขาวรูปแบบต่างๆ ออกมาหกชุดให้เฉียวรุ่ยลองสวม
“เทียนฉี ชุดนี้แพงมาก!” เฉียวรุ่ยเขยิบตัวชิดใบหูเขาพลางเอ่ยเสียงเบา
“วางใจเถอะ ไปลองดู!” หลิ่วเทียนฉีไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเล็กน้อยแล้วผลักเฉียวรุ่ยเข้าไปลองเสื้อผ้าด้านใน
หลังสวมเสื้อผ้า หลิ่วเทียนฉีก็จ่ายศิลาทิพย์เพื่อซื้อ ก่อนจะพาเฉียวรุ่ยไปซื้อขนมอีกมากมาย ทั้งเป็ดย่าง เนื้อพะโล้ ผลไม้ทิพย์ และของอร่อยอื่นๆ
“เทียนฉี อย่าซื้ออีกเลย เ้าใช้ศิลาทิพย์ไปหนึ่งร้อยสามสิบห้าก้อนแล้วนะ!” แม้ได้รับของขวัญมากเช่นนี้จะทำให้เฉียวรุ่ยดีใจเป็อย่างยิ่ง เพราะเป็ครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสการถูกผู้อื่นตามใจ แต่เขาทนเห็นหลิ่วเทียนฉีจ่ายศิลาทิพย์เพื่อตนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“กลัวอันใดเล่า แค่ศิลาทิพย์หนึ่งร้อยกว่าก้อน ข้าขายยันต์วิเศษขั้นสองแผ่นหนึ่งก็ได้มาแล้ว!” หลิ่วเทียนฉียิ้มหยอกคนข้างกาย เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
ตอนนี้เขาเป็ถึงผู้ใช้ยันต์ขั้นสอง แม้ยันต์ขั้นสองระดับต่ำสุดแผ่นหนึ่งก็ยังขายได้ศิลาทิพย์หนึ่งร้อยก้อนเลยนะ? ดังนั้น แค่ศิลาทิพย์หนึ่งร้อยกว่าก้อนไม่นับเป็เื่ใหญ่อะไร
ฟังคำพูดนั้น เฉียวรุ่ยก็กะพริบตาปริบๆ “ยันต์วิเศษมีราคาขนาดนี้เชียว?”
“ใช่แล้ว ฉะนั้นเ้าอย่าได้กังวล ชอบอะไรก็ซื้ออันนั้น ข้างหน้ามีร้านรองเท้าร้านหนึ่ง ข้าซื้อรองเท้าให้เ้าอีกสักหลายคู่ดีกว่า เ้าจะได้มีเปลี่ยนใส่”
ได้ยินหลิ่วเทียนฉีว่าเช่นนี้ เฉียวรุ่ยรู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งหัวใจอีกครั้ง แต่เมื่อคิดถึงรองเท้าก็อดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ขึ้นมาอีกหน
“เ้า เ้าคงไม่คิดจะซื้อรองเท้าสีขาวกองหนึ่งให้ข้าอีกเพื่อให้เข้าคู่กับเสื้อผ้าสีขาวพวกนั้นหรอกนะ?”
“ทำไมเล่า? เ้าไม่ชอบหรือ?” หลิ่วเทียนฉีเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายก็ยิ้มถาม
“ก็ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เสื้อผ้ากับรองเท้าสีขาวสกปรกง่ายยิ่งนัก ถ้าข้าออกไปล่าสัตว์ สวมเสื้อผ้าที่เ้าซื้อให้ ข้ากลัวจะทำเปื้อนทั้งตัวไปเสียก่อน” เสื้อผ้าเนื้อดีปานนี้ แล้วยังเป็ของขวัญที่เทียนฉีซื้อให้ตนครั้งแรกอีก หากทำสกปรกหรือเสียหายขึ้นมา เฉียวรุ่ยคงปวดใจนัก
“ไม่ต้องกลัว ตอนอยู่ที่บ้านสวมสีขาว ออกไปล่าสัตว์ก็สวมสีน้ำเงิน อีกประเดี๋ยวข้าจะซื้อชุดสีน้ำเงินอีกสักหลายชุดให้เ้าไว้ใส่ตอนออกไปล่าสัตว์”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องใช้ศิลาทิพย์แล้ว!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ ทนเห็นอีกฝ่ายใช้จ่ายศิลาทิพย์ต่อไปไม่ไหว
“ฮ่าๆๆ เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเท่านั้นเอง ไม่เป็ไรหรอก! แต่พูดตามตรง ข้ายังคิดว่าเ้าสวมสีขาวน่ามองมากกว่า คนงามเช่นเ้าสวมมันยิ่งดูมีกลิ่นอายเซียน!” หลิ่วเทียนฉีรู้สึกว่า มีเพียงเนื้อผ้าสีขาวพิสุทธิ์ที่เข้ากับรูปลักษณ์งามผ่องของเฉียวรุ่ย
เฉียวรุ่ยเห็นบุรุษชื่นชมตนจริงจังก็หน้าแดง “พูดเหลวไหลทั้งเพ ข้าดุร้าย มีกลิ่นอายเซียนอะไรที่ไหนเล่า?”
“เสี่ยวรุ่ย...” เห็นเฉียวรุ่ยเขินอายหันหน้าวิ่งหนี หลิ่วเทียนฉีก็หัวเราะแล้วไล่ตามไป