นึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ยามนี้กลัวก็แต่ไม่รู้ว่าเหนียนยวี่จะเป็หรือตายในสวนร้อยสัตว์ ทว่ากลับไม่กลัวที่จะเปิดเผยให้หนานกงฉี่รับรู้
“เป็นางที่เข้าไปในสวนร้อยสัตว์เอง ส่วนข้า...” รอยยิ้มของเหนียนอีหลานลุ่มลึกขึ้น ตัดเื่ฮองเฮาอวี่เหวินทิ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ข้าเพียงแค่เห็นฟางเหอปิดประตูสวนร้อยสัตว์ และแค่ไม่ได้เข้าไปขัดขวาง”
ด้วยวิธีเช่นนี้ สุดท้ายแม้เหนียนยวี่จะตายไปในสวยร้อยสัตว์ ก็มิอาจกล่าวโทษนางได้มิใช่หรือ
ทว่าหนานกงฉี่โง่ที่ไหนกัน
นางไม่ได้ขัดขวางหรือ
ไม่ใช่นางเป็คนชี้นำสาวใช้ฟางเหอนางนั้นไปปิดประตูหรอกหรือ
ทว่าสวนร้อยสัตว์...
ความน่ากลัวของสวนร้อยสัตว์ เขาเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนั้นเป็สถานที่ต้องห้าม ถ้าเหนียนยวี่เข้าไปในสวนร้อยสัตว์...
หนานกงฉี่หรี่ตาลงเล็กน้อย นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน เหนียนอีหลานพลันหัวเราะออกมา “เปี่ยวเกอคงไม่ใช่ว่าคิดจะไปช่วยนางหรอกนะ หึ สวนร้อยสัตว์นั่นคือที่แบบใด เปี่ยวเกอน่าจะรู้ดีกว่าข้า อีกอย่าง สวนร้อยสัตว์นั่นยังมีกำแพงวังสูงตระหง่านกั้นทั้งข้าและท่านไว้ ไหนเลยจะเข้าไปได้ง่ายๆ”
หนานกงฉี่เข้าใจความหมายของเหนียนอีหลาน
ในเมื่อเื่ราวเป็เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็ไปตามนั้น
ทว่า...ฝีมือของเหนียนยวี่ผู้นั้น นางสามารถฆ่าฉินอันได้ สวนร้อยสัตว์...นางก็น่าจะหนีออกมาได้กระมัง
หนานกงฉี่ลุกยืนขึ้น ไม่เอ่ยอะไรอีกและเดินออกจากห้องไป
ส่วนเหนียนอีหลาน...ครั้นเห็นร่างนั้นเลือนลับหายไป ดวงตาฉายแววพึงพอใจ
เปี่ยวเกอเป็คนฉลาด เขาไม่มีทางหาเื่ใส่ตัวแน่ ทว่า...เหนียนอีหลานมองรอบห้องอันว่างเปล่า หนานกงฉี่ออกไปแล้ว ทว่าประตูนั้นยังคงเปิดอ้า ลมแรงพัดเข้ามา ทำให้รู้สึกเย็นสบายเล็กน้อย
“ฟางเหอหรือ?” เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว โดยปกติแล้วฟางเหอจะเฝ้าอยู่นอกห้อง เพียงแค่นางะโเรียก นางก็จะมาคอยปรนนิบัติ ทว่าเหตุใดวันนี้ถึง...
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้เสียงดังเยี่ยงนั้น เหตุใดกลับไม่เห็นสาวรับใช้น่าตายเลยเล่า
“ฟางเหอ?” เหนียนอีหลานเรียกหาอีกครั้ง ทว่ายังคงไม่มีเสียงขานรับตอบกลับมา เมื่อนึกถึงสีหน้าของฟางเหอสองสามวันนี้ เหนียนอีหลานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
นางลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง บนเตียงนอนเล็กๆ ที่ฟางเหอนอนในตอนกลางคืนเป็ประจำกลับไม่มีใครอยู่
"นางไปไหน?" เหนียนอีหลานยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น แต่เพราะอาการง่วงนอนจึงไม่ได้ค้นหาต่อ นางปิดประตู สาวเท้ากลับไปที่เตียงและนอนต่อ
ในใจครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้ต้องสั่งสอนสาวใช้ฟางเหอนางนี้เสียหน่อยแล้ว ทว่านางกลับไม่รู้เลยว่า ฟางเหอในยามนี้ กำลังเดินอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็และความตาย
เช้าวันรุ่งขึ้น
เหนียนอีหลานตื่นขึ้นมา ยังคงไม่เห็นฟางเหอเช่นเดิม จนกระทั่ง่บ่าย ฟางเหอยังคงไม่ปรากฏตัว เหนียนอีหลานตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แค่สาวใช้คนเดียวหายไป เหนียนอีหลานเดิมทีไม่ได้รู้สึกกังวลใจนัก ทว่าไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป เหนียนอีหลานกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
นางกระสับกระส่าย ครั้นพลบค่ำมาถึง ในที่สุดเหนียนอีหลานมิอาจทนต่อไปได้ เรียกคนใช้ในจวนมาถาม ทว่าต่างบอกเป็เสียงเดียวกันว่า ไม่เห็นฟางเหอมาั้แ่เมื่อวานบ่ายแล้ว
ผ่านไปแล้วคืนหนึ่ง เข้าวันที่สองยังคงไม่พบตัวฟางเหอ
การเคลื่อนไหวในลานเซียนหลาน มิอาจปิดบังบรรดาอนุในจวนเหนียนได้ ทั้งยังมิอาจปิดบังคนผู้หนึ่งในเรือนหรูอี้ได้
ณ เรือนหรูอี้
จ้าวอิ้งเสวี่ยนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้า ทั้งยังปิดบังสีหน้าทั้งหมดของนาง
ข้างกายมีผิงเอ๋อร์คอยปรนนิบัติ จ้าวอิ้งเสวี่ยไม่เอ่ยคำใด ผิงเอ๋อร์ก็มิเอ่ยปากสิ่งใดเช่นกัน บางคราได้ยินเสียงร้องเ็ปของเหนียนเฉิงดังลั่นมาจากหออี๋ชุนด้านข้าง ตามมาด้วยคำสาปแช่งสาปส่งตามมา สองนายบ่าวเฉยเมยมิใคร่ใส่ใจ สงบเงียบประหนึ่งสื่อถึงกันได้โดยมิต้องเอื้อนเอ่ย
“คุณหนูรองยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
ผ่านไปสักพัก จ้าวอิ้งเสวี่ยเอ่ยปาก แม้ผ่านมาสองเดือนแล้ว ลำคอที่สูดควันจำนวนมากเข้าไป อาการก็ยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อพูดออกมา เสียงนั้นยิ่งทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัว
“ยังเ้าค่ะ ข้าเพิ่งจะไปสอดส่องดูอย่างเงียบเชียบเมื่อครู่ คุณหนูรองไม่ได้อยู่ในลานเซียนหลาน ในงานฉีเฉี่ยวในพระราชวังก็ไม่ได้ไปอีก” ผิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว และรู้สึกว่าเื่นี้แปลกนัก “ท่านหญิง ท่านคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับคุณหนูรองหรือไม่?”
“เกิดเหตุร้าย?” จ้าวอิ้งเสวี่ยขมวดคิ้วที่อยู่ภายใต้หน้ากาก ในหัวก็ปรากฏภาพของเหนียนยวี่ เกิดเหตุร้ายหรือ? นางกลับรู้สึกว่าสตรีนางนั้น แม้ว่าเกิดเื่อะไร ก็สามารถจัดการได้โดยที่ไม่รีบร้อน แต่...
สองสามวันนี้ มู่อ๋องที่หนีจากจวนเหนียน ก็ไม่กลับมาอีกเลย
นี่...หมายความว่าอย่างไร?
วันนั้นในพระราชวังยังเกิดไฟไหม้ใหญ่ที่แปลกประหลาด เื่นี้มีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่?
สายตาของจ้าวอิ้งเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางได้กลิ่นอายน่าสงสัย
เหนียนยวี่...ไปไหน?
“จวนเหนียน ไม่พบคุณหนูรองและยังไม่พบสาวรับใช้ พี่ใหญ่ที่จิตใจดี สงสารคุณหนูรองแต่ไหนแต่ไรคนนั้นกลับไม่สนใจเื่นี้ ช่างแปลกยิ่งนัก” จ้าวอิ้งเสวี่ยหัวเราะออกมาเบาๆ
“นั่นน่ะสิเ้าคะ พี่ใหญ่นางนั้น ในสองสามวันนี้รู้สึกจะอารมณ์ดีอย่างมาก” ผิงเอ๋อร์นึกอะไรออก และชะงักไปครู่หนึ่ง “ถ้าว่ากันตามเหตุตามผล คืนนั้นนิ้วมือของพี่ใหญ่นางนั้นได้รับาเ็ในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยว และยังเสียหน้าอีกด้วย นางควรที่จะอารมณ์ไม่ดีไม่ใช่หรือ แต่ทำไมถึง...ใช่แล้ว อี๋เหนียงสี่เพิ่งจะมาเข้าขอพบท่านหญิง สาวใช้บอกว่าท่านหญิงพักผ่อนอยู่ และก็ไล่ให้นางกลับไป”
“อนุสี่?” จ้าวอิ้งเสวี่ยหรี่ตาลง แววตาดูเหยียดหยาม “สองสามวันมานี้นางกลับขยันมาหาข้าที่นี่”
"แต่นางเป็คนสนิทของหนานกงเยวี่ยที่มาขอความเมตตา" ผิงเอ๋อร์เองก็เข้าใจเื่นี้ วันนั้นหนานกงเยวี่ยตบหน้าท่านหญิง แต่ก็ไม่ได้เกิดเื่อะไรขึ้น
“ขอความเมตตา?” จ้าวอิ้งเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ “นางไม่ใช่ให้ของขวัญแสดงความยินดีกับคุณหนูรองหรือ? เหตุใดถึงกลายเป็ผู้ประนีประนอมของหนานกงเยวี่ยไปแล้วเล่า เฮ้อ คนในจวนเหนียนช่างน่าสนใจจริงๆ ครั้งต่อไปที่อี๋เหนียงสี่กลับมา เ้าบอกนางว่าถ้า้าขอความเมตตา ให้คนผู้นั้นที่หลบอยู่หลังนางมาด้วยตนเอง อย่าให้คนอื่นมาแทน ท่านหญิงไม่รู้จัก”
หนานกงเยวี่ยจะมาขอความเมตตาด้วยตนเองหรือ?
หนานกงเยวี่ยผู้นั้นเคยชินกับความหยิ่งยโส จะมาก้มหัวได้อย่างไรกัน
แต่เพราะว่าไม่ยอมลดตัวลงมา ยิ่งต้องทำให้นางก้มหัวลงให้ได้!
“ผิงเอ๋อร์ เ้าไปจวนมู่อ๋อง ครั้งนี้ไปถามมู่อ๋องว่ารู้จักสถานที่ที่คุณหนูรองไปหรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวอิ้งเสวี่ยก็ออกคำสั่ง ยิ่งนางคิดเื่นี้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้มีความผิดปกติอยู่
ผิงเอ๋อร์รับคำสั่ง และออกจากเรือนหรูอี้ ทิ้งให้จ้าวอิ้งเสวี่ยอยู่คนเดียวภายในลาน
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผิงเอ๋อร์ก็กลับมาอย่างเร่งร้อน เข้าไปภายในลานและเห็นจ้าวอิ้งเสวี่ย จึงหยิบซองจดหมายออกมาจากอ้อมแขนของนางทันที “ท่านหญิง ข้าเพิ่งจะเข้าไปในจวนเหนียนได้ไม่นาน ก็ได้พบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นยัดจดหมายนี้ให้ข้า แล้วบอกว่าต้องนำไปให้ท่านหญิง ข้ากำลังคิดว่าจะควรนำจดหมายมาส่ง แล้วค่อยไปจวนมู่อ๋อง ถ้าเกิดจดหมายฉบับนี้มีอะไรเร่งด่วนเล่า ท่านหญิง ท่านอ่าน...”
ผิงเอ๋อร์นำจดหมายส่งให้จ้าวอิ้งเสวี่ย จ้าวอิ้งเสวี่ยเปิดออกอ่านเนื้อหาด้านใน และเบ้ปากเล็กน้อย