จวินเชียนจี้เพิ่งตรวจโรค และให้ยาชนิดใหม่แก่พระสนมอวี๋เสร็จสิ้น มันเป็ยาสำหรับแก้พิษที่เกิดจากยาห้าสหายโดยเฉพาะ แต่หลังดื่มยาไปแล้ว อาการของพระสนมกลับไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งสือจิ่นได้ยินเสียงแตกร้าวดังออกมาจากตำหนักของพระสนมอวี๋ คล้ายมีบางอย่างตกแตกเช่นนั้น จึงเดินเข้าไปดู เป็จังหวะเดียวกับที่ซวงเอ๋อร์วิ่งออกมาจากตำหนักพอดี ซวงเอ๋อร์ยกถาดออกมาด้วย ซึ่งในถาดเป็เศษเครื่องปั้นที่ตกแตกนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ที่หลังมือของนางก็มีรอยแผลขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมา จนถึงตอนนี้เืยังไม่หยุดไหลเลย
เฟิ่งสือจิ่นถาม “เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?”
ซวงเอ๋อร์ตอบ “เดิมที บ่าวอยากพักถ้วยยาของพระสนมไว้ที่โต๊ะเพื่อรอให้มันเย็นเสียก่อน แต่กลับไม่ระวัง ทำถ้วยแตกแบบนี้”
“แล้วแผลที่มือของเ้าล่ะ?”
“แค่ถูกเศษแก้วบาดนิดหน่อย ไม่เป็ไรมากเ้าค่ะ”
เฟิ่งสือจิ่นมองแผลนั้นอย่างละเอียด พลางพึมพำขึ้น “เป็แผลจากเศษแก้วจริงๆ หรือ?”
คืนวันต่อมา เฟิ่งสือจิ่นเพิ่งเข้านอนได้ไม่นาน พระสนมอวี๋ก็เดินออกมาจากตำหนักกลางดึกอีกแล้ว นางพูดจาวกวนไม่รู้เื่ ท่าทางราวกับคนเสียสติ เฟิ่งสือจิ่นสวมชุดคลุมแล้วออกมาตรวจดู พบว่าพระสนมอวี๋กำลังเดินวนไปวนมาอย่างไร้ทิศทาง แถมยังชนนั่นชนนี่ไปทั่วไม่ต่างจากคนบ้า ข้างๆ กัน ซวงเอ๋อร์เดินตาม และคอยดูแลนางอยู่ไม่ห่าง ด้วยเกรงว่าเ้านายของตนจะหกล้ม หรือชนโดนของมีคมที่อาจทำให้าเ็
พระสนมอวี๋พึมพำทำนองว่า ‘ผีร้าย’ หรือ ‘ิญญาอาฆาต’ ออกมาไม่หยุด ใบหน้าของพระสนมในตอนนี้แฝงไปด้วยความเหี้ยมเกรียม ซึ่งแตกต่างไปจากตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง เหมือนถูกผีเข้าสิงอย่างไรอย่างนั้น เฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าไปหา นางเตรียมจะพูดบางอย่างออกมา แต่ซวงเอ๋อร์ก็ส่งสัญญาณให้นางเงียบไว้
เมื่อพระสนมอวี๋อาละวาดจนหมดแรง ซวงเอ๋อร์จึงประคองพระสนมกลับเข้าไปพักในตำหนักอย่างระมัดระวัง เฟิ่งสือจิ่นยืนอยู่นอกตำหนักเพื่อรอให้ซวงเอ๋อร์กลับออกมา นางมั่นใจว่าซวงเอ๋อร์ต้องกลับออกมาแน่ เพราะหากซวงเอ๋อร์ไม่ยอมออกมา เฟิ่งสือจิ่นก็จะเป็ฝ่ายเข้าไปเอง
ไม่นาน ซวงเอ๋อร์ก็เดินย่องออกมาจากตำหนักแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ ทั้งสองยืนอยู่กลางราตรี ซวงเอ๋อร์สูงและมีร่างกายบึกบึนกว่าเฟิ่งสือจิ่นเล็กน้อย หลังเงียบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดซวงเอ๋อร์ก็พูดขึ้น “แม่นางอยากถามอะไรก็ถามมาเถิด”
เฟิ่งสือจิ่นจึงพูด “หากพระสนมอวี๋ยังเอาแต่ดื้อรั้น ไม่ยอมกินยาที่ท่านอาจารย์จ่ายให้ละก็ รอให้พิษของยาห้าสหายแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายใน พระสนมคงไม่ทำแค่เดินละเมอแบบนี้แน่”
ซวงเอ๋อร์ชะงักอึ้ง นางมองเฟิ่งสือจิ่นอย่างตกตะลึง “เ้ารู้?”
พระสนมอวี๋ตื่นแล้ว นางไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไปบ้างระหว่างละเมอ รู้แค่ว่าร่างกายร้อนระอุ ใบหน้าแดงก่ำ ในราตรีที่หนาวเย็นเช่นนี้ นางกลับสวมชุดคลุมบางๆ แค่ชั้นเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังบ่นว่าร้อนไม่หยุด
ยาห้าสหายมีฤทธิ์ร้อน ยิ่งกินมาก ร่างกายก็ยิ่งร้อนรุ่ม และยากจะระบายความร้อนได้ สตรีในวังหลังมักยอมเสี่ยงใช้ยาที่มีอันตรายนี้เป็ตัวช่วยเพื่อให้ฮ่องเต้หันมาโปรดปราน แต่กับพระสนมอวี๋ นางมีรูปโฉมงดงามมาแต่กำเนิด แต่กลับยังใช้ยาอันตรายนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อให้นางจะสวยขึ้น แต่หากร่างกายทรุดหนัก ก็ไม่มีทางได้รับความโปรดปรานอยู่ดี ดังนั้น นางไม่มีทางทำเช่นนี้เพื่อให้ฮ่องเต้หันมาโปรดปรานแน่ กลับกัน นางอยากหลีกเลี่ยงความโปรดปรานของฝ่าาต่างหาก
ซวงเอ๋อร์เกรงว่าพิษของพระสนมอวี๋จะรุนแรงจนเกินจะเยียวยา จึงรีบต้มยาแล้วนำไปให้พระสนมอวี๋กลางดึก ในขณะเดียวกัน พระสนมอวี๋นั่งพับเพียบอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ใบหน้างามดั่งบุปผา เส้นผมสยายปานน้ำตก สตรีที่ทั้งบอบบางแถมยังงดงามเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็อยากเฝ้าทะนุถนอมทั้งนั้น ทว่าบัดนี้ นางกลับดันถ้วยยาออกห่าง แล้วพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “เอาออกไป ข้าไม่ดื่ม ข้าไม่อยากหายดี! ข้าคิดว่าตัวเองในตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็ต้องดื่มยาพวกนี้!”
ซวงเอ๋อร์เกลี้ยกล่อม “หากยังไม่ดื่มยา พิษจะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย พระสนมอาจตายได้นะเพคะ”
“ป่วยแบบนี้ต่อไปก็ดี...” พระสนมอวี๋หันไปมองซวงเอ๋อร์อย่างจริงจัง ความรู้สึกลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นทำให้เฟิ่งสือจิ่นขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ พระสนมอวี๋เอนกายไปพิงไหล่ของซวงเอ๋อร์อย่างอ่อนแรง “อย่างมากก็แค่ตาย ป่วยตายก็ยังดีกว่าหายดี... เ้าก็รู้ว่าข้าคิดยังไง ข้าไม่มีทางทอดกายให้กับ...”
“เอาล่ะ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม ข้าดื่มเองก็ได้” ซวงเอ๋อร์พูดกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน ราวไม่อาจทนเห็นนางเสียใจ หรือหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ซึ่งทั้งหมดนั้น ทำให้เฟิ่งสือจิ่นใจนแทบจะอ้าปากค้าง
พูดจบซวงเอ๋อร์ก็ยกถ้วยยาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะจับคางของพระสนมอวี๋เอาไว้ ไม่ว่าพระสนมอวี๋จะขัดขืนอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ใช้ปากประกบป้อนยาพระสนมอวี๋อย่างไม่ลังเล
เมื่อทำเสร็จ ซวงเอ๋อร์จึงพูดขึ้น “ทนเห็นเ้าถวายตัวให้ฝ่าา ก็ยังดีกว่าทนเห็นเ้าตายไปต่อหน้าต่อตา” นางหันไปมองที่หน้าประตู เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกคล้ายยืนไม่ไหว จึงพิงกับขอบประตูอย่างหมดแรง มีตรงไหนผิดพลาดไปกันแน่?
เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกกลัดกลุ้มเป็อย่างมาก รู้สึกเหมือน... ฮ่องเต้ต่างหากที่เป็มือที่สาม
พระสนมอวี๋กินยาห้าสหายเพราะไม่อยากถวายตัวให้ฝ่าา เพราะคนที่นางมีใจให้คือซวงเอ๋อร์ต่างหาก เฟิ่งสือจิ่นไม่ต่อต้านเื่ความรักระหว่างเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงก็ตาม แต่เมื่อเื่มันเกิดขึ้นต่อหน้านางจริงๆ นางก็อดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
วินาทีนั้น เฟิ่งสือจิ่นคิดไปต่างๆ นานา รู้สึกเหมือนบางสิ่งตีกันอยู่ในสมองจนจิตใจวุ่นวายไปหมด
ซวงเอ๋อร์พูดเข้าประเด็นอย่างเปิดเผย “ในเมื่อเื่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ เ้าเองก็เห็นจนหมดแล้ว พระสนมไม่อยากปรนนิบัติฝ่าา จึงทำให้ตัวเองป่วยมาจนถึงตอนนี้ หากเ้ายังพอมีใจสงสารอยู่บ้าง โปรดอย่าเปิดโปงเื่นี้เลย”
เฟิ่งสือจิ่นลูบจมูกตัวเองเบาๆ “ไม่ว่าข้าจะเปิดโปงหรือไม่ สักวันโรคของพระสนมก็ต้องหายอยู่ดี และวันนั้นก็คงมาถึงในอีกไม่ช้า ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้นอยู่ดี อีกอย่าง...” เฟิ่งสือจิ่นหันไปยิ้มให้ซวงเอ๋อร์ “เมื่อคืน ตอนที่ใครบางคนไล่ฆ่าข้าไปทั่ววัง คนคนนั้นก็ไม่เห็นจะสงสารข้าเลยนี่”
ซวงเอ๋อร์ชะงักนิ่งลง นางเม้มปากและเงียบ หลังเก็บถ้วยยาจนเรียบร้อยแล้ว ก็กล่อมพระสนมอวี๋เข้านอนอย่างอ่อนโยน
เฟิ่งสือจิ่นเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว จึงเดินออกมาพร้อมกับซวงเอ๋อร์ซึ่งเตรียมจะยกถ้วยยาออกไปจากห้อง “ข้าเองก็จะกลับไปนอนแล้ว คืนนี้ เ้าดูแลพระสนมให้ดีเถอะ”
ซวงเอ๋อร์ตอบ “เื่นั้นบ่าวรู้ดี แม่นางไม่ต้องเตือนให้ลำบากหรอก”
เฟิ่งสือจิ่นกลับไปที่ห้องของตนเอง นางปิดประตูลงเบาๆ ภายใต้ความมืดของราตรี นางซ่อนตัวอยู่หลังประตู พลางมองออกไปทางซอกขนาดเล็กระหว่างประตู ซวงเอ๋อร์เดินออกไปจากตำหนักเพื่อนำถ้วยยาไปส่งคืน เฟิ่งสือจิ่นมองประตูตำหนักของพระสนมอวี๋ไม่วางตา จนเมื่อซวงเอ๋อร์เดินหายไป นางจึงรีบวิ่งออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูลงอีกครั้ง จากนั้นก็แอบย่องเข้าไปในห้องบรรทมของพระสนมอวี๋ แล้วซ่อนตัวอยู่หลังม่านในมุมลับตาแห่งหนึ่ง
พระสนมอวี๋หลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ เฟิ่งสือจิ่นพยายามเดินย่องให้เบาที่สุด จึงไม่ทำให้พระสนมอวี๋สะดุ้งตื่น ระหว่างนี้ ต่อให้เฟิ่งสือจิ่นจะก่อเสียงเบาๆ ขึ้นมาบ้าง พระสนมอวี๋ก็คงคิดว่านั่นเป็เสียงของซวงเอ๋อร์ และไม่รู้สึกสงสัยอยู่ดี
เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้มีนิสัยชอบแอบดูเื่ลับส่วนตัวของคนอื่นหรอกนะ แต่นางรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจริงๆ เหตุใดสตรีที่มีรูปงามราวกับนางฟ้าอย่างพระสนมอวี๋ถึงหลงรักหญิงรับใช้ของตนเอง? ชอบถึงขั้นปฏิเสธความโปรดปรานจากฝ่าาเช่นนี้ อย่าลืมว่าผู้หญิงเกือบทุกคนที่ถูกเลือกเข้ามาในวัง ล้วนอยากได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาทั้งนั้น มีคนตั้งมากมายที่ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่าาหันมาเหลียวแล
เพียงไม่นาน ร่างบนเตียงก็ขยับตัวเล็กน้อย พระสนมอวี๋ค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล แล้วลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง