เมื่อมองชัดๆ เฟิ่งสือจิ่นก็พบว่าซูกู้เหยียนยืนอยู่ตรงหน้าั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เขาเดินไปยืนอยู่ข้างเฟิ่งสือหนิง แล้วประคองนางลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน นี่เป็ครั้งแรกที่เฟิ่งสือจิ่นได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เช่นนี้จากเฟิ่งสือหนิง ท่าทางตอนทั้งสองพลอดรักกัน ช่างระคายตาเสียจริง
ซูกู้เหยียนถาม “สือหนิง เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
เฟิ่งสือหนิงส่ายหน้าเบาๆ ด้วยการประคองของซูกู้เหยียน ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นมายืนโอนเอนด้วยท่าทางอ่อนแอ “ข้าไม่เป็ไร” ซูกู้เหยียนหันมามองเฟิ่งสือจิ่นด้วยสายตาเย็นะเื เฟิ่งสือหนิงกระตุกแขนเสื้อของซูกู้เหยียนเบาๆ “ข้าไม่เป็ไรจริงๆ อย่าโทษสือจิ่นเลย นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจ...”
ซูกู้เหยียนแตะมือของเฟิ่งสือหนิงเบาๆ เป็เชิงให้นางวางใจ จากนั้นก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า แล้วปรายตามองเฟิ่งสือจิ่นอย่างหยามิ่ อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นยันมือลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกลีบดอกท้อ ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกเสียดสีจนกลายเป็แผลถลอก ให้ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไม่น้อย เฟิ่งสือจิ่นยกฝ่ามือที่เป็แผลขึ้นมาตรวจดู เพียงไม่นานก็ปัดกลีบดอกไม้ที่ติดอยู่บนแผลไปอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น
ชุดที่ซูกู้เหยียนสวมใส่ขาวจนแสบตา ไม่ต่างไปจากดวงตาที่ทั้งเย็นะเืและอัดแน่นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่มากจนไม่อาจมองข้ามไปได้คู่นั้น เฟิ่งสือจิ่นอดคิดไม่ได้ว่า นี่หรือองค์ชายสี่ผู้ใจเย็นและเปี่ยมไปด้วยมารยาทของแคว้นจิ้น?
ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน ซูกู้เหยียนไม่เคยเฉียดใกล้กับคำว่า ‘ใจเย็นและมีมารยาท’ เลย
ซูกู้เหยียนพูดขึ้น “เพิ่งกลับมาก็สร้างเื่สร้างราวไปทั่วจนชาวบ้านอยู่ไม่เป็สุขเลยหรือ? หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ สู้ไม่ต้องกลับมาเลยยังดีเสียกว่า สือหนิงจะได้ไม่ต้องคอยเป็ห่วงเป็ใยเ้าให้เสียเปล่า ทำคุณบูชาโทษ นี่น่ะหรือการตอบแทนบุญคุณของเ้า?” เฟิ่งสือจิ่นจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างใจเย็น ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าเสียงของซูกู้เหยียนก็ยังดังขึ้นไม่หยุด “นอกจากจะทำให้นางเป็ห่วงแล้ว เ้ายังทำให้นางขายหน้าอีก”
เฟิ่งสือจิ่นหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน
เฟิ่งสือหนิงพูดห้าม “กู้เหยียน พอเถอะ ข้าไม่เป็ไรจริงๆ อย่าพูดแบบนั้นเลย สือจิ่นจะเสียใจเอา...”
“เสียใจหรือ?” ซูกู้เหยียนปรายตามองอย่างเหยียดหยาม พลางยกหางเสียงขึ้นสูง “นางมีหัวใจด้วยหรือ? นางหรือจะเสียใจ?” เขาออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจ “เฟิ่งสือจิ่น ขอโทษพี่สาวของเ้าเดี๋ยวนี้”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น นางจ้องตาซูกู้เหยียนอย่างไม่กลัวเกรง เป็เหมือนอาชาจอมทะนงที่แสนดื้อรั้น “เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร? เ้ามาั้แ่เมื่อไร มานานแค่ไหน เ้าเห็นอะไร ได้ยินอะไรบ้าง เ้ามีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับข้า?” เฟิ่งสือจิ่นนวดข้อมือของตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยเล็บสีแดงเข้มที่เรียงเป็แนวยาว เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะอย่างเปิดเผย “ปกติเฟิ่งสือหนิงก็มักจะใช้เล็บจิกเ้าแบบนี้บ่อยๆ สินะ ถ้าเป็แบบนั้นจริง เ้าคงจะเป็พวกวิปริต ชอบความเ็ปขนาดหนักเลย แต่อย่าหวังว่าข้าจะโรคจิตเหมือนเ้า รู้สึกเจ็บก็ต้องดิ้นขัดขืนเป็ธรรมดา ใครๆ ก็ทำกันแบบนี้” ซูกู้เหยียนชะงักอึ้ง “มาถึงขนาดนี้แล้ว เ้าคงไม่คิดว่าข้าจิกแขนตัวเอง แล้วโยนความผิดให้นางหรอกนะ?” นางพูดแดกดัน
“ข้า...” เฟิ่งสือหนิงอธิบายอย่างร้อนรน “สือจิ่น ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ตัวว่าทำให้เ้าเจ็บ... ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็แบบนี้ ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายเ้ามาก่อน ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยจริงๆ...” พูดจบนางก็ทึ้งเล็บมือของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ซูกู้เหยียนจึงรีบเข้าไปห้าม
“ไม่เป็ไร นี่ไม่ใช่ความผิดของเ้า” ซูกู้เหยียนพูดปลอบ
เฟิ่งสือจิ่นยักยิ้มมุมปาก “เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร คนที่ต้องบอกว่า ‘ไม่เป็ไร’ ควรจะเป็ข้ามากกว่า น่าเสียดายที่ข้าไม่มีทางพูดแบบนั้นออกมาแน่”
ซูกู้เหยียนเม้มปากแน่น “เฟิ่งสือจิ่น หากเ้ากลับมาเพื่อแก้แค้น งั้นมาทำที่ข้าแค่คนเดียวก็พอ”
“แค่พวกเ้าอยู่ใครอยู่มัน ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับข้าอีกก็ถือเป็บุญมากแล้ว ข้าไม่ได้ว่างพอจะตามแก้แค้นเ้าให้เสียเวลาหรอกนะ พวกเรามีความแค้นที่ยิ่งใหญ่ต่อกันหรือไง ทำไมต้องพูดให้มันหนักหนาขนาดนี้?” เมื่อเห็นว่าเฟิ่งสือหนิงกับซูกู้เหยียนเงียบไป เฟิ่งสือจิ่นจึงหันหลัง พลางประกายรอยยิ้มกะล่อนออกมา “เฟิ่งสือหนิง เ้าควรตัดเล็บได้แล้วนะ ระวังอย่าให้ข่วนโดนหน้าหล่อๆ ขององค์ชายสี่ตอนที่กำลังจู๋จี๋กันล่ะ”
เื้ัเป็คู่รักชายหญิงที่ยืนแนบชิดกันอย่างหวานซึ้ง หากเฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมอง ภาพหนุ่มสาวใต้ต้นดอกท้อต้องงดงามมากแน่ๆ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางไม่ได้หันกลับไป แต่เลือกที่จะเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปข้างหน้าแทน
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เฟิ่งสือจิ่นก็พบว่าใต้ต้นไป๋ฮว่าที่อยู่ไม่ไกล มีร่างในชุดสีเขียวยืนตระหง่านอยู่ จวินเชียนจี้กำลังมองมาทางนี้อย่างสงบ เขามาตามหาเฟิ่งสือจิ่นนั่นเอง ทว่าเมื่อเจอแล้วกลับไม่ได้เข้าไปหานางในทันที แต่ยืนรออยู่ตรงนี้อย่างสงบ เขาอยากให้นางสังเกตเห็นเอง อยากให้นางรู้ว่าเื้ัยังมีเขาเป็ที่พึ่งเสมอ
เฟิ่งสือจิ่นประกายรอยยิ้มดีใจออกมา “อาจารย์?” นางเรียกด้วยเสียงสดใส
จวินเชียนจี้เดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าหนักแน่น ร่างกายตรงตระหง่าน ชายกระโปรงกับเส้นผมปลิวไสวไปกับสายลม เขาเป็เหมือนต้นไป๋ฮว่าสีขาวที่แม้จะนิ่งสงบและมีแค่สีเดียว ก็โดดเด่นสะดุดตากว่าสีใดๆ ในโลกแล้ว
เฟิ่งสือจิ่นยิ้มตาหยี ในสายตาของนาง จวินเชียนจี้ทั้งสง่างามและสูงส่ง ไม่ต่างไปจากเทพเซียนบนฟ้าเลย
จวินเชียนจี้พยักหน้าเบาๆ เป็การทักทายซูกู้เหยียน จากนั้นจึงปรายตามองเฟิ่งสือหนิงที่ซูกู้เหยียนกำลังกอดอยู่ “ต่อให้สือจิ่นจะมีพละกำลังมหาศาล ก็ผลักจนพระชายาลอยกระเด็นแบบนั้นไม่ได้แน่ ดูจากรอยเล็บที่พระชายาทิ้งเอาไว้บนแขนของสือจิ่นแล้ว ดูเหมือนพระชายาจะมีแรงกว่าสือจิ่นด้วยซ้ำ องค์ชายสี่เพิ่งมาถึงไม่นาน แต่ข้ามายืนอยู่ตั้งนานแล้ว” เขาพูดเปิดโปง
เฟิ่งสือหนิงชะงักอึ้ง ก่อนจะน้ำตาเอ่อ แล้วพูดขึ้นอย่างปลื้มใจ “เห็นสือจิ่นมีท่านราชครูคอยปกป้องเช่นนี้ สือหนิงก็วางใจแล้ว”
ซูกู้เหยียนมองคนทั้งสองที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แผ่นหลังของพวกเขามีขนาดแตกต่างกันมาก แต่เมื่อเดินเคียงกันเช่นนี้ ทั้งสองกลับดูเข้ากันจนน่าเหลือเชื่อ สวมชุดนักพรตสีเขียวขุ่นเหมือนกัน ท่าเดินก็เหมือนกัน คนหนึ่งมัดผมหลวมๆ ไว้ด้านหลังด้วยเชือกเพียงเส้นเดียว อีกคนก็เกล้าผมอย่างเป็ระเบียบด้วยปิ่นไม้เพียงอันเดียว มือใหญ่จับมือเล็กเอาไว้ ทุกอย่างดูเข้ากันเหลือเกิน... เข้ากันจนน่าระคายตา
ระหว่างทาง เฟิ่งสือจิ่นถามด้วยเสียงสดใส “อาจารย์ ท่านมาถึงั้แ่เมื่อไร?”
จวินเชียนจี้ตอบ “หลังออกมาจากท้องพระโรง ข้าเห็นว่าเ้าไม่อยู่ในตำหนักจาวหยวน เลยออกมาตามหาเ้า กลัวว่าเ้าจะสร้างเื่เดือดร้อนตอนที่ข้าไม่อยู่”
เฟิ่งสือจิ่นจามตลอดทาง “อาจารย์ก็เห็นแล้วนี่ ศิษย์ไม่ได้สร้างเื่เดือดร้อนเสียหน่อย แต่เื่เดือดร้อนเป็ฝ่ายมาหาเองต่างหาก หากเฟิ่งสือหนิงไม่จับมือข้าแน่นแถมยังไม่ยอมปล่อยเสียที ข้าคงไม่สะบัดแขนแรงๆ แบบนั้นหรอก”
จวินเชียนจี้หันไปมองเฟิ่งสือจิ่นที่จามจนน้ำมูกน้ำตาไหล พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอก แล้วยื่นไปให้นาง “เช็ดน้ำมูกเสียหน่อย”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ เพราะคัดจมูกจนหายใจไม่ออก น้ำตาอุ่นๆ จึงรื้นขึ้นมาคลอเบ้า น้ำใสๆ เสริมให้แววตาของนางหวานละมุนและเป็ประกายงดงาม ส่วนประกอบเหล่านี้ทำให้รอยยิ้มของนางน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิมเป็ไหนๆ นางบอก “ขอบคุณอาจารย์”
สักพักเสียงของจวินเชียนจี้ก็ดังขึ้น “ทำได้ดี”
“หา?” เฟิ่งสือจิ่นชะงักฝีเท้าลง นางคิดว่าจวินเชียนจี้จะต่อว่าที่ตนสร้างปัญหาเสียอีก
จวินเชียนจี้เดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น ชายกระโปรงปลิวผ่านไปพร้อมกับสายลมอ่อน “ข้าบอกว่า วันหลัง อย่าสร้างปัญหาในวังหลวงอีก”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักค้างอยู่นาน ก่อนดวงตาจะเป็ประกายสดใสกว่าครั้งไหนๆ นางวิ่งเข้าไปหาจวินเชียนจี้ด้วยรอยยิ้ม แล้วจับมือของเขาเอาไว้อีกครั้ง “ศิษย์รู้แล้ว ข้าจะระวังมากขึ้น” นางพูดอย่างอารมณ์ดี
เมื่อกลับไปที่ตำหนักจาวหยวน อาจารย์ก็จัดการเื่ทุกอย่างต่อจนหมด เฟิ่งสือจิ่นได้นอนหลับจนเต็มอิ่ม อาการหวัดก็ดีขึ้นมากแล้ว แม้จะยังคัดจมูกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เวียนหัวเหมือน่เช้าที่ผ่านมา