หนิงมู่ฉือหันไปส่งยิ้มบางให้แก่จ้าวซีเหอซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างสบายใจ เดินกินลมไปเรื่อยๆ
จ้าวซีเหอยิ้มกับตัวเองขณะมองแผ่นหลังบางของหนิงมู่ฉือ เขาอยากจะเข้าไปกอดนางเสียเดี๋ยวนั้น เขาคิดขณะที่ใจเต้นแรง เดินตามหลังสตรีในชุดสีเหลืองแก่ไปจนถึงห้องครัว
หนิงมู่ฉือหยิบซี่โครงหมูออกมาวางบนเขียง ก่อนจะใช้มีดหั่นเป็ชิ้นๆ
จ้าวซีเหอเลื่อมใสในฝีมือการใช้มีดของหนิงมู่ฉือมาก ยกนิ้วโป้งชมเชยแก่นาง ขณะที่เขากำลังมองดูนางต้มน้ำแกงกระดูกหมูอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น หูพลันได้ยินเสียงะโร้องเรียกชื่อเขามาแต่ไกล
เขาเดินไปที่ประตูอย่างประหลาดใจ เห็นฉีอันวิ่งมาทางห้องครัว หอบด้วยความเหนื่อยขณะเอ่ยรายงาน “ซื่อจื่อ! แย่แล้วขอรับ ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ที่เรือนสวนไผ่เป็ลมขอรับ!”
ครั้นเขาได้ยินประโยคนี้ หันไปมองหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักทันที มือที่กำลังจะวางมีดของหนิงมู่ฉือพลันชะงักค้างไปชั่วครู่ ก่อนจะวางมีดกลับที่เดิม จากนั้นถึงค่อยหันมาส่งยิ้มอ่อนให้เขา “ไปดูนางเถิดเ้าค่ะ”
เขามองหนิงมู่ฉืออย่างเป็ห่วงผาดหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่เรือนสวนไผ่ ทันทีที่จ้าวซีเหอวิ่งออกไป น้ำตาของหนิงมู่ฉือก็ไหลออกมา หยดลงบนกระดูกหมูเต็มไปหมด
นางใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาก่อนจะนำกระดูกหมูที่หั่นเป็ชิ้นแล้วไปล้างในน้ำสะอาด เมื่อน้ำเปลี่ยนเป็สีขาวขุ่นนางถึงค่อยเททิ้ง
นางใส่เมล็ดพริกฮวาเจียว[1] ขิงที่หันแว่น และต้นหอมอีกเล็กน้อยลงในหม้อ ก่อนจะใส่กระดูกหมูลงไป เติมน้ำและเกลือ ก่อนจะจุดไฟเพื่อต้มกระดูกหมู
จ้าวซีเหอรีบวิ่งไปที่เรือนสวนไผ่ด้วยใจร้อนรน เมื่อไปถึงพบว่าฉู่เมิ่งเอ๋อร์ไม่เพียงแค่ไม่เป็ลม ยังยืนยิ้มมองเขาอย่างสงบเสงี่ยมอีกด้วย
เขาหันไปถามฉีอันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “นี่หรือที่เ้าบอกว่านางเป็ลม”
ฉีอันรู้สึกงุนงงไม่น้อย มองฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่ยืนยิ้มอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะหันไปมองจ้าวซีเหอที่มีท่าทางกรุ่นโกรธพร้อมกับเอ่ยตอบ “ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ เมื่อสักครู่สาวใช้ของฮูหยินเป็คนมาบอกข้าขอรับ”
จ้าวซีเหอถลึงตาใส่ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ จากนั้นหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็รีบตรงเข้าไปคว้าแขนเสื้อจ้าวซีเหอไว้อย่างน้อยใจ “ซื่อจื่อ!”
จ้าวซีเหอหันหน้ากลับไปมองฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่ร่ำไห้ออกมา ใบหน้าที่มีน้ำตาอาบแก้มประหนึ่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน แลดูน่าสงสารเหลือจะกล่าว เขามองใบหน้าที่ประทินโฉมอย่างปราณีตและเสื้อผ้าสวยสดของนาง คาดว่าน่าจะใช้เวลาแต่งตัวไปไม่น้อยเพื่อให้เขาได้ยล
เขาถอนหายใจออกมา พยายามดึงแขนนางออก “ข้าบอกเ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ห้ามก่อเื่ในตำหนักอ๋อง”
“เป็เพราะท่านอ๋องไม่ชอบข้าใช่หรือไม่เ้าคะ ท่านถึงได้กักบริเวณข้าอยู่แต่ที่เรือนสวนไผ่เช่นนี้” ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ขณะเอ่ย
เขาได้ยินก็โมโหยิ่ง สะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของฉู่เมิ่งเอ๋อร์ หมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป เวลานี้เองฉู่เมิ่งเอ๋อร์ะโออกมา “ท่านไถ่ตัวเมิ่งเอ๋อร์กลับมาเพื่ออันใดเ้าคะ! ความรู้สึกที่เมิ่งเอ๋อร์มอบให้ท่านเป็ความรู้สึกที่มาจากใจจริงนะเ้าคะ!”
เขาชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปเอ่ยตอบ “ข้านึกว่าทำเช่นนี้จะทำให้เ้ามีชีวิตที่มั่นคงปลอดภัย แต่หากเ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ คิดจะจากไป เ้าสามารถไปได้ตลอดเวลา ข้าไม่ห้ามเ้า”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ได้ฟังรู้สึกราวกับโลกตรงหน้าถล่มลงมา เอ่ยอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง “ท่านจะไล่ข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ” น้ำตานางไหลอาบแก้มไม่หยุด ประหนึ่งฝนที่กำลังตกหนัก
จ้าวซีเหอเอ่ยอย่างเ็า “ข้าคงทำให้เ้าเข้าใจผิดไป คนในใจข้าไม่ใช่เ้า และข้าก็ไม่อยากทำให้คนที่ข้ารักต้องเสียใจ”
เอ่ยจบ เขาไม่สนใจฉู่เมิ่งเอ๋อร์อีกต่อไป มองไปยังกลุ่มควันที่ลอยออกมาจากห้องครัว ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทิศทางนั้น
เขาเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องครัว พบว่าหนิงมู่ฉือกำลังจุดไฟในเตา เมื่อเห็นเขา นางรีบก้มหน้าลงในทันใด พร้อมกับหัวเราะเสียงแห้งออกมา “เมื่อครู่ในห้องครัวมีควันเยอะ ข้าเห็นดังนั้นเลยพยายามไล่ควันออกไป ปรากฏว่ามันดันเข้าตาเข้าจมูกจนทำให้น้ำตาข้าไหล”
เขาเห็นรอยยิ้มเหยเกของนางก็รู้สึกเ็ปในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดเปิดโปงนางออกไป เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นปลาตัวหนึ่งที่อยู่บนเขียง เขาแกล้งทำเป็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “วันนี้เกิดอันใดขึ้นเล่า เหตุใดถึงนึกจะปรุงอาหารจากปลาขึ้นมา”
เขาคิดถึงน้ำแกงเต้าหู้ปลากุ้ยอวี๋ของหนิงมู่ฉือที่สุด ขณะมองปลากุ้ยอวี๋ที่อยู่บนเขียง เขาคิดในใจว่า ในที่สุดเขาก็จะได้ทานน้ำแกงเต้าหู้ปลากุ้ยอวี๋ที่เขาอยากจะทานสักที
หนิงมู่ฉือมองท่าทางตกตะลึงเกินเหตุของจ้าวซีเหอพร้อมกับกลอกตามองบน “หากอยากทานน้ำแกงเต้าหู้ปลากุ้ยอวี๋ เช่นนั้นท่านก็ต้องช่วยข้าทำด้วย”
จ้าวซีเหอตาโตอ้าปากค้าง เอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ให้ข้าช่วยเ้าทำ? แต่ข้าไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ!”
“ท่านอ๋องบอกแล้วว่าให้พวกเราดูแลซึ่งกันและกัน ข้าเพียงแค่ให้ท่านเป็ผู้ช่วยข้าเท่านั้น เหตุใดถึงจะทำไม่ได้” หนิงมู่ฉือเอ่ยด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
“ก็ได้ ข้ายอมแพ้เ้าเลยจริงๆ เช่นนั้นก็บอกมาว่าจะให้ข้าทำอย่างไร” จ้าวซีเหอยอมแพ้ในที่สุด ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างยอมลงให้
หนิงมู่ฉือมองจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าเ้าเล่ห์ “ล้างปลากุ้ยอวี๋ตัวนี้ให้สะอาด ความหมายของข้าคือ ต้องล้างภายในมันให้สะอาดเอี่ยม”
จ้าวซีเหอมองปลากุ้ยอวี๋อ้าปากหวอดิ้นไปมาบนเขียงอย่างไม่กล้าลงมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับหนิงมู่ฉือ “ข้าทำไม่ลง ปลากุ้ยอวี๋ตัวนี้มันยังไม่ตายเลย แล้วจะให้ข้าเอาเครื่องในมันออกได้อย่างไร”
“ท่านไม่รู้จักคำว่าฆ่าปลาหรือ” หนิงมู่ฉือมองท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของจ้าวซีเหอพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา ก่อนจะจับปลากุ้ยอวี๋ที่วางอยู่บนเขียงขึ้นมา แล้วใช่มีดกรีดมัน
“เหตุใดเ้าถึงได้โเี้ปานนี้! นี่เ้าเป็ผู้หญิงแน่หรือ!” จ้าวซีเหอมองหนิงมู่ฉืออย่างรังเกียจ
ครั้นหนิงมู่ฉือได้กลิ่นหอมของกระดูกหมู จึงส่งปลาที่ตัวเต็มไปด้วยเืให้จ้าวซีเหอ ซึ่งจ้าวซีเหอก็รับไปอย่างเดียดฉันท์ปนหวาดกลัว นางเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา
จ้าวซีเหอหลับตาปี๋ ค่อยๆ ควักเอาเครื่องในของปลาออกมาทีละชิ้น หนิงมู่ฉือเห็นท่าทางเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “เป็ถึงบุรุษกลับกลัวปลาเพียงตัวเดียว ไปพูดให้ผู้ใดฟังต้องถูกคนเขาหัวเราะเยาะเป็แน่!”
หนิงมู่ฉือเปิดฝาหม้อขึ้น มองกระดูกหมูซึ่งถูกต้มจนได้ที่ สีสันน่าทาน
จ้าวซีเหอสูดกลิ่นหอมอันยั่วยวนกระเพาะเข้าไปเต็มปอด สายตามองกระดูกหมูซึ่งอยู่ในหม้อไม่ละสายตา ยิ้มแหยพลางเอ่ยกับหนิงมู่ฉือ “รีบตักมาให้ข้าหนึ่งถ้วยเร็ว กลิ่นหอมจนท้องข้าร้องไปหมดแล้ว”
[1] พริกฮวาเจียว เมล็ดพริกไทยเสฉวน หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่าหมาล่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้