เป็ดั่งมีดแหลมที่แทงเข้ามาในหัวใจ เป็ดาบแหลมที่แทงเข้าไปถึงิญญา
หัวใจของมู่หรงฉางถูกแทงจนเืไหลออกมา ราวกับร่างกายแหลกสลาย เ็ปไปทั้งตัวน้ำตาพาลจะไหลออกมา ทว่านางกลับเกร็งคอเชิดหน้า ให้น้ำตายิ่งคลออยู่ที่ขอบตา น้ำตาจะไหลลงมาไม่ได้ ฝืนแสดงความมั่นใจออกมา ยิ่งเพิ่มความน่าสงสารมากขึ้นอีกหลายส่วน
น้ำตาของคนงามคลอหน่วยอยู่ที่แพขนตาชื้นจนเป็ดั่งม่านน้ำ มองอะไรไม่ชัด สายตาพร่ามัวราวขนนกแตก หัวใจแหลกสลายอยู่ในมุมมืดของตำหนัก
ท่าทางอ่อนแอนี้ หากบุรุษในใต้หล้าเห็นเข้า ไม่มีใครที่ไม่สงสารหรือไม่เกิดความรู้สึกอยากปกป้องทะนุถนอม
มีเพียงเขาที่ยังคงเ็าเหมือนเดิม ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องมั่นคง หัวใจแข็งแกร่งดั่งเหล็กหรือ?” มู่หรงฉางยังไม่ยอมตัดใจ ค่อยๆ เก็บน้ำตากลับไป “แต่ไหนแต่ไรคู่ครองขององค์หญิงนั้นต้องไม่มีอำนาจ ไม่มีความสามารถ แต่ก็มีข้อยกเว้น ท่านอ๋องเก่งกาจ หากพูดถึงเื่การบริหารราชสำนัก ใครมีความสามารถมากที่สุด? หากท่านอ๋องบอกว่าตัวเองคือที่สอง เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดเป็ที่หนึ่งแล้ว ขอแค่เปิ่นกงพูดต่อหน้าเสด็จพ่อไม่กี่ประโยค ท่านอ๋องก็จะยิ่งได้ความดีความชอบ อำนาจก็จะยิ่งเพิ่มพูน ไม่มีทางเปลี่ยนมาเป็ราชบุตรเขยที่พึ่งอำนาจผู้อื่นและถูกมองว่าไร้ประโยชน์แน่”
“ที่องค์หญิงพูดมา เปิ่นหวางไม่ได้กังวลใจเลย อีกอย่าง หากเปิ่นหวาง้าอำนาจก็พึ่งแต่สองมือของตัวเองมาตลอด ไม่มีทางพึ่งสตรีเพื่อให้ได้ประโยชน์มา” ร่างแข็งแกร่งกำยำของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส หางตามีความไม่พอใจฉายออกมา
“เป็เปิ่นกงพูดผิดไป” นางสูดจมูก นางยอมอดสูเพียงเพราะอยากจะได้ความรู้สึกจากเขา “หากสู่ขอเปิ่นกง ท่านอ๋องก็จะเหมือนได้เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอ[1] เกียรติยศก็ยิ่งรุ่งเรือง หลังจากแต่งงานไปหากท่านอ๋องอยากจะรับเจ๋อเฟย หรืออนุเข้ามาเท่าไหร่ เปิ่นกงไม่มีปัญหา แม้ว่าท่านอ๋องจะให้ความรักความชอบกับสตรีที่พึงใจผู้นั้น เปิ่นกงก็จะไม่มีทางพูดแม้แต่ครึ่งคำ”
“องค์หญิงยอมลดเกียรติของตนเอง พยายามร้องขอขนาดนี้ต้องลำบากเพียงใด? เปิ่นหวางเชื่อว่ายังมีราชบุตรเขยที่เหมาะสมกับองค์หญิงยิ่งกว่าเปิ่นหวางอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องไม่คิดจะทบทวนอีกครั้งจริงๆ หรือ?”
มู่หรงฉางจ้องเขา ใบหน้าหล่อเหลาเป็อันดับต้นๆ ของเมืองหลวงปกคลุมไปด้วยความเ็าที่ผลักไสคนอื่นให้อยู่ห่างออกไปพันลี้ ดวงตาดำทั้งสองไม่เคยมองมาที่ตน ตนลดเกียรติมาขอร้องเขา วางความเย่อหยิ่งลง ขอเพียงได้แต่งกับเขา นางยอมได้แต่ตัวไม่ร้องขอหัวใจ แต่เขาก็ยังคงไม่มีท่าทีใด
ความสิ้นหวังแผ่คลุมไปทั่วทั้งหัวใจของนาง
มู่หรงอวี้ส่ายหน้าน้อยๆ “องค์หญิงมีค่าคู่ควรกับบุรุษที่ยอดเยี่ยมให้ทุ่มเททั้งหัวใจเพื่อรักและปกป้องพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
นางหมุนตัวจากไป น้ำตารินไหลออกมาราวสายฝนและหิมะโปรยปราย
แต่กลับหยุดฝีเท้าอยู่ที่ประตู สองมือปิดประตูลง
นางเช็ดน้ำตา พรูลมหายใจพลางดึงผ้ามัดเอวออก เปิดเสื้อคอดอกบัวแล้วหันตัวไปช้าๆ
ใบหน้าน่าสงสารกลับย้อมไปด้วยแสงอาทิตย์อัสดง แสงสีแดงงดงามสาดส่องลงบนพวงแก้มของนาง
ลำคอขาวผ่องโค้งมน บ่าลาดสวย ไหปลาร้าที่งดงามราวกับหยก ดวงตาคู่งามแฝงความอึมครึมของฤดูหนาวค่อยๆ ปลดปล่อยโทสะ แววตาบีบคั้นจนแทบจะแผดเผานางทั้งเป็
เขาหันกลับมานิ่งๆ พลางพูดเสียงเบา “องค์หญิงโปรดอย่าเลอะเลือน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบังคับเปิ่นหวางได้”
“เปิ่นกงเสียชื่อเสียงไปแล้ว ไม่สามารถแต่งกับผู้อื่นได้แล้ว ท่านอ๋องโปรดทบทวนอีกครั้งเถิด”
เสียงของมู่หรงฉางกลับมาเป็ปกติ สดใสราวไข่มุก
ผิวขาวเนียนละเอียดปรากฏขึ้นในเงามืดสลัวที่หนาวเหน็บราวหิมะ ราวกับกลีบดอกไม้ลอยอยู่บนน้ำเย็นที่ทำให้ใจคนเย็นวาบ
ต่อมา นางก็จัดเสื้อผ้าตัวเอง ก่อนจะจากไป
ั์ตาเ็าของมู่หรงอวี้หรี่ลง ก่อนจะสาวเท้าออกไป
…
ตำหนักชิงหยวน
มู่หรงเฉิงฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนกำลังพักกลางวันเพิ่งจะตื่นจากบรรทม ก็ได้รู้ว่าองค์หญิงจาวฮวามารออยู่ที่ตำหนักใหญ่ จึงให้นางเข้ามา
เห็นดวงตาสวยของบุตรสาวบวมแดง สีหน้าแปลกๆ ทั้งยังไม่สดใสร่าเริงเหมือนปกติ เขาก็คิดอย่างปวดใจว่าจาวฮวาเป็อะไรไป?
“จาวฮวา ใครทำให้เ้าโกรธหรือ?” เขาถามอย่างรักใคร่
“เสด็จพ่อ เื่การแต่งงานของลูกเกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของลูก ลูกไม่อยากจะแต่งงานกับบุรุษที่ลูกไม่ได้ชอบเพคะ” มู่หรงฉางพูดด้วยความน้อยใจ น้ำตาคลอหน่วยท่าทางน่าสงสาร
“เื่การแต่งงานเป็เื่ใหญ่ ปกติบิดามารดาเป็ผู้เลือกให้ จาวฮวา อย่าดื้อเลย เจิ้นจะต้องเลือกคู่ครองที่เ้าถูกใจแน่นอน” มู่หรงเฉิงสีหน้าเ็า พูดออกมาอย่างหนักแน่นมีความนัย เื่นี้เขาไม่มีทางยินยอม
“หากจะให้ลูกพอใจ ก็ให้ลูกเลือกเองเถิดเพคะ ไม่เช่นนั้นลูกก็ไม่พอใจ” นางโกรธจนแก้มพอง เผยท่าทางขี้งอนของบุตรสาว
พูดไปพูดมานางก็ยังจะแต่งงานกับคนผู้นั้น!
เขาเริ่มไม่พอใจ ขมวดคิ้ว “จาวฮวา เจิ้นทำเพื่อเ้า เ้าเป็เช่นนี้ไม่รู้จักที่เหมาะที่ควร เจิ้นจะโกรธแล้วนะ”
นางมองออกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่มีทางยินยอม
เงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของนางมุ่งมั่น แล้วพูดออกมาอย่างตัดสินใจ “ลูกกับอวี้หวางเรารักกัน...”
ทันใดนั้นด้านนอกตำหนักก็มีเสียงดังกังวานขึ้น “ฝ่าา กระหม่อมรู้สึกผิดต่อฝ่าา เมื่อครู่กระหม่อมจัดการงานอยู่ที่ห้องหนังสือ องค์หญิงจาวฮวามาพบกระหม่อม พร้อมเอาผลไม้แช่เย็นมาให้ลองชิม กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงเพียงแค่ผ่านมาเยี่ยมกระหม่อม จึงเอาผลไม้แช่เย็นมาให้ในอากาศร้อนๆ เช่นนี้ องค์หญิงเข้าใจผิดคิดว่ากระหม่อมมีใจต่อองค์หญิง ฝ่าา กระหม่อมถูกใส่ร้าย กระหม่อมบังอาจพูดจาล่วงเกินองค์หญิง กระหม่อมบอกว่าเห็นองค์หญิงเป็น้องสาวมาโดยตลอด ไม่เคยมีความรักเชิงชู้สาวแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้มองไปยังนางด้วยท่าทางสัตย์จริงยิ่ง “องค์หญิง กระหม่อมไม่รู้ว่ากระหม่อมทำสิ่งใดผิดพลาด ถึงได้ทำให้องค์หญิงเข้าใจผิด กระหม่อมสมควรตาย เพียงแต่องค์หญิงโปรดวางใจ องค์รัชทายาทจะต้องเลือกคนที่เก่งทั้งบุ๋นบู๊และเหมาะสมให้องค์หญิงอย่างแน่นอน”
คำพูดที่มู่หรงฉางเตรียมเอาไว้คาอยู่ในลำคอ ทั้งอัดอั้นทั้งโกรธเคือง
เขาพูดประโยคนี้ออกมา นางยังจะสามารถพูดอะไรอีก?
เดิมคิดว่าหากประกาศออกไปว่าพวกเขาแตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว ลอบมีความสัมพันธ์กันก็จะผูกมัดเขาเอาไว้ได้ แล้วค่อยให้เสด็จพ่อจัดการ แต่เขากลับคาดเดาความคิดของนางออกแล้วรีบร้อนเข้ามา
นางได้แต่กัดฟันแทบแตกแล้วกลืนเืลงไป
ใบหน้าของนางซีดราวขี้เถ้า แม้จะไม่พอใจเพียงใดก็ไม่อาจทำอะไรได้ ถึงแม้นางจะพูดคำพูดพวกนั้นออกมา เสด็จพ่อก็ไม่มีทางเข้าข้างนาง
มู่หรงฉางถลึงตาใส่บุตรสาวสุดที่รัก โมโหจนใบหน้าขาวซีด
บุตรสาวคนนี้ถูกตามใจจนเคยตัวแล้วจริงๆ
“ฝ่าา บางทีอากาศอาจจะร้อนจัด องค์หญิงตากแดดมากเกินไป ถึงได้พูดจาและกระทำการไม่เหมาะสมนัก” มู่หรงอวี้พูดอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“จาวฮวา แต่ก่อนเจิ้นตามใจเ้าเอาใจเ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเื่การแต่งงานจะให้เ้ามาก้าวก่ายวุ่นวายได้”
มู่หรงเฉิงหน้าเขียวปั๊ด ยังคงโมโหไม่หาย ถึงแม้จะรู้ว่าบุตรสาวสุดที่รักปกติจะเย่อหยิ่งยโสโอหัง ครั้งนี้บางทีอาจจะหลงรักมู่หรงอวี้เข้าแล้วจริงๆ แต่ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อนาง ต่อไปนางจะเข้าใจเอง
คิดถึงตรงนี้ เขาก็แข็งใจขึ้นมา สั่งเสียงดุ “อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ต่อไปเ้าไม่ต้องวิ่งไปไหนมาไหนอีก จงอยู่ในตำหนักทบทวนตนเองให้ดี ในวันประลองการต่อสู้เ้าจะต้องไปที่สนาม จาวฮวา หากยังทำเื่น่าขันให้เจิ้นผิดหวังอีก เจิ้นจะไม่ปล่อยไว้ง่ายๆ อีกต่อไป!”
มู่หรงฉางจ้องมู่หรงอวี้นิ่ง เหมือนจะไม่ได้ฟังวาจาของพระบิดา ดวงตาคู่งามสั่นไหว รื้นไปด้วยน้ำตาอุ่นร้อน น้ำตาที่เอ่อออกมาผสมปนเปไว้ด้วยความโกรธเกลียด เ็ป รัก เต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อเขาทั้งหมด
ท่าทางนี้ ความหลงใหลนี้ทำให้คนหวั่นไหว
“เป็อะไร? เ้าโกรธเจิ้นอย่างนั้นหรือ?” มู่หรงเฉิงเห็นท่าทางของนางก็โกรธยิ่งนัก ตวาดเสียงดุ “เจิ้นไม่ควรเอ็นดูเ้าเลย! กลับไปเก็บตัวคิดให้ดี อย่าได้ออกมาจากตำหนักแม้แต่ครึ่งก้าว!”
“ลูกทูลลา” นางมองเสด็จพ่อ จากนั้นก็มองไปทางมู่หรงอวี้ สุดท้ายก็หน้าซีดตาแดงก่ำเดินออกไป
พริบตาที่หมุนตัวฝนแห่งน้ำตาก็พลันพรั่งพรูหยดเต็มพื้นในตำหนัก
มู่หรงฉางถอนหายใจยาว “ถูกตามใจเกินไปแล้ว นางจึงมาทิ่มแทงใจเช่นนี้”
มู่หรงอวี้พูดเสียงหนักแน่น “ฝ่าาโปรดวางใจ องค์หญิงจะต้องคิดได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงเฉิงพยักหน้า ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกับการกระทำและคำพูดของมู่หรงอวี้สักเท่าไหร่ เขาแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งชาญฉลาด เก็บซ่อนความทะเยอทะยานเอาไว้ เหตุใดถึงได้ยืนยันหนักแน่นที่จะไม่แต่งงานกับจาวฮวา ราชบุตรเขยเป็ตำแหน่งที่มีเกียรติสูงส่ง เช่นนั้นอำนาจก็จะยิ่งเพิ่มพูน จนกระทั่งเขาสามารถใช้จาวฮวามาเอาใจตนที่เป็ฮ่องเต้ ทว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น
มู่หรงอวี้คนนี้ เขายิ่งมองไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่มู่หรงอวี้เคยบอกกับเขาเอาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้องค์หญิงจาวฮวาแต่งงานกับเขา ฮ่องเต้ตระหนักรู้ในเื่นี้ดี
...
หลังจากเตรียมตัวกันมาหลายวัน การแข่งขันคัดเลือกราชบุตรเขยด้านวิชาการในรอบแรกก็ได้จัดขึ้นที่ตำหนักอู่อิง
ยังไม่ถึงเวลาเริ่ม ผู้เข้าร่วมทั้งสามสิบหกคนต่างกระจายตัวยืนพูดคุยกันรออยู่ด้านนอกตำหนัก
ครั้นกวาดสายตามองไป ทุกคนล้วนสวมชุดผ้าไหม สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจัง มารยาทไม่ธรรมดา พูดคุยความรู้ระดับสูง มีความรอบรู้ยิ่งนัก
มีคนที่เย่อหยิ่งมาแต่กำเนิด ดวงตาทั้งสองกลอกขึ้นอย่างไม่พอใจที่จะต้องเสวนาพูดคุยกับคนอื่น มีคนที่พูดคุยสนุกสนานไม่หยุด มีคนที่อ่อนโยนสง่างามราวกับต้นไม้พลิ้วไหวตามสายลม...สรุปแล้ว เป็คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊สูงส่ง นิสัยดีที่สุดจากทั่วทั้งเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่
มู่หรงฉือกับเ้ากรมพิธีการและรองกรมพิธีการมาถึงในเวลานี้เอง องครักษ์เปิดประตูตำหนักนำทุกคนเข้าไป
ภายในตำหนักกว้างขวาง นางกำนัลจัดเรียงโต๊ะเอาไว้สามสิบหกตัว เหล่าคนหนุ่มเข้ามานั่งแล้วรอข้อสอบอย่างใจจดจ่อ
มู่หรงฉือกับเ้ากรมพิธีการนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ขันทีซ้ายขวาเริ่มแจกข้อสอบ
มองข้อสอบสองข้อบนกระดาษสีขาว ปฏิกิริยาของเหล่าบุรุษต่างไม่เหมือนกัน มีทั้งขมวดคิ้ว ทั้งพรูลมหายใจ มีทั้งยกยิ้มมั่นใจ มีทั้งตื่นเต้น...สีหน้าหลากหลายไม่ต้องพูดถึง
ตอนนี้เอง ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงรายงานขึ้น “อวี้หวางเสด็จ!”
หัวใจของมู่หรงฉือกระตุก เงยหน้ามองไปทางด้านนอกทันที เขามาทำอะไร?
ไม่ยอมจัดการฎีกาที่ห้องหนังสือ มาดูการสอบเพื่ออะไร? มีเื่ให้เขาทำที่ไหน!
วันนั้นองค์หญิงจาวฮวาไปก่อเื่ที่ตำหนักชิงหยวน นางก็พอจะได้ยินมาบ้าง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะผลักจาวฮวาไปจนไกล ไม่คิดจะไว้หน้าแม้แต่น้อย
แต่ว่านางเองก็เข้าใจ เขาปฏิเสธเด็ดขาดถึงเพียงนี้เพราะไม่อยากให้จาวฮวาลุ่มหลงอีกต่อไป หากตัดบัวแต่เหลือใยนั่นต่างหากจึงจะเป็เื่ที่ร้ายแรงมากที่สุด
ด้านในตำหนักเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา คนๆ นั้นเดินเข้ามาอย่างองอาจ ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์ เหมือนเหยียบทั้งโลกเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า
บนศีรษะสวมกวานทอง บนร่างสวมชุดสีดำปักดิ้นทอง เรือนกายสูงใหญ่ ท่าทางเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี
สายตากวาดมองไปโดยรอบภายในพริบตาเดียว
ไม่รู้เพราะเหตุใด มู่หรงฉือรู้สึกวันนี้ทั้งๆ ที่มู่หรงอวี้สวมเสื้อผ้าตามปกติ แต่กลับดูทรงอำนาจกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม สายตาน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายส่วน ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้คนเกรงกลัว
เ้ากรมพิธีการนำเพื่อนร่วมงานและคุณชายทั้งสามสิบหกคนโค้งตัวทักทาย “ท่านอ๋อง”
นางนั่งสบายๆ มองไปทางเขา
คนหนุ่มที่เข้าร่วมการสอบทั้งสามสิบหกคนโค้งตัว เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม
หากไม่ใช่เคารพนับถือ ก็เป็กริ่งเกรงจากใจจริง ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ
นางยกยิ้มอย่างนึกสนุก อย่าใถึงเพียงนั้นได้หรือไม่? มู่หรงอวี้มีสามเศียรหกกร หรือว่าฆ่าคนเหมือนตัดหญ้า หรือเป็เทพจาก์ชั้นเก้าที่มีค่าพอให้นับถือจากใจเพียงนั้นเชียวหรือ?
เชิงอรรถ
[1] 锦上添花 เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เป็สำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้