บนถนนสายเก่าแก่ที่กว้างใหญ่ มีรถม้ากำลังวิ่งไปตามเส้นทางและทิ้งรอยล้อไม้ไว้บนถนน
รถม้าคันนี้มีม้าสามตัวกำลังลากอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็มีผู้คนไม่น้อยเลยที่กำลังขี่ม้าอยู่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็องครักษ์
“ฮี้ๆๆ…”
ในขณะนั้น คนบังคับรถม้าดึงบังเหียนกะทันหัน ทำให้ม้าทั้งสามตัวต้องชะงักฝีเท้าลง
จากนั้นองครักษ์ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาก็เดินหน้าต่อไป จนกระทั่งเห็นมีคนนอนอยู่บนพื้น คนผู้นั้นสวมชุดเกราะดูเหมือนจะเป็ทหาร
“ฝูโป๋ เขายังหายใจอยู่และไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแค่ไม่ได้สติเท่านั้น”
ชายคนหนึ่งกล่าวกับคนบังคับรถม้า ขณะตรวจสอบร่างกายของคนที่นอนกองอยู่บนพื้น
“พาเขาไปไว้ริมถนน พวกเรากำลังรีบอยู่”
ฝูโป๋ที่บังคับรถม้ากล่าวอย่างเฉยชา ทำให้ชายผู้นั้นต้องทำตามคำสั่งเขาทันที แตขณะนั้นผ้าม่านสีขาวของรถม้าก็ถูกเปิด ใบหน้าอ่อนโยนปรากฏเื้ัม่าน นางเป็หญิงสาวที่งดงามและมีอายุประมาณ 15-16 ปี และมีดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมาก
“ฝูโป๋ ทำไมถึงมีทหารมานอนอยู่กลางถนนกัน”
สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงสดใส ฝูโป๋ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ทราบขอรับ แต่ทหารยศธรรมดาของโม่เยว่นั้นไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก นอกจากจะเป็ผู้บังคับกองพันหรือตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ซึ่งทหารนายนี้น่าจะอ่อนแอมาก อาจเป็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ถูกทิ้งไว้กลางทาง”
“โอ้” สาวน้อยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นนางก็กล่าวว่า “พาเขาเข้ามาในรถม้า”
“คุณหนู มันดูไม่เหมาะสมนะขอรับ” ฝูโป๋กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เป็ไรหรอกฝูโป๋” สาวน้อยกล่าวอย่างเมินเฉย แล้วเหลือบมองร่างหลินเฟิงเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกล่าวกับองครักษ์คนนั้นว่า “พาเขาเข้ามาในรถม้า”
คนผู้นั้นเหลือบมองฝูโป๋ด้วยสายตาจำใจ จากนั้นแบกทหารที่ไม่ได้สติเข้าไปในรถ
เมื่อไร้สิ่งใดขวางทางแล้ว รถม้าก็เคลื่อนตัวไปช้าๆ ภายในรถม้ามีหญิงสาวสองคน คนหนึ่งเป็หญิงสาวที่ดูบอบบาง และอีกคนมีอายุประมาณ 18-19 ปี ซึ่งงดงามไม่แพ้กัน
“จื่อหลิง ทำไมเ้าถึงนำคนแปลกหน้าขึ้นมาล่ะ?”
หญิงสาวที่มีอายุ 18-19 ปี กำลังมองชายหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่ในรถม้า นางอดขมวดคิ้วแน่นอย่างนึกประหลาดใจไม่ได้
“พี่จื่ออี ท่านดูสิ ดูเหมือนเขาจะยังเยาว์นัก ท่านพี่สามารถเดาอายุเขาได้ไหม?”
สาวน้อยผู้งดงามกล่าวราวกับนางไม่ได้ยินคำถามของจื่อหลิง นางดูสนใจชายในชุดเกราะทหารโม่เยว่เป็อย่างมาก
จื่อหลิงเหลือบมองจื่ออีและส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นนางก็เบนสายตาไปมองชายหนุ่มที่ไม่ได้สติ จากนั้นแววตานางก็เกิดความแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ช่างเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลานัก”
จื่ออีคิดขณะถอนหายใจ ถึงแม้ชายหนุ่มคนนี้จะหมดสติ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงดูละเอียดอ่อน เขามีคิ้วโก่งและแก้มที่อ่อนนุ่ม ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยเศษฝุ่น
ดูไปแล้วชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่เหมือนทหาร แต่ทำไมเขาถึงสวมชุดเกราะกัน
“พี่จื่ออี ข้าว่าเขาก็น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับท่านพี่ และเขาก็ยังหล่อเหลามาก เขากับท่านพี่จะต้องเป็คู่รักที่สมบูรณ์แบบแน่ๆ”
จื่อหลิงกล่าว ดูเหมือนนางจะพบอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่
“ไร้สาระ”
จื่ออีกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“พี่จื่ออี ข้าก็แค่ล้อเล่น ข้ารู้ว่าสามีของพี่จะต้องแข็งแกร่งกว่าพี่ และพี่จื่ออีได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าเป็อัจฉริยะ แต่เขาคนนี้ยังเยาว์นักและยังเป็ทหารอีกด้วย แล้วเขาจะแข็งแกร่งกว่าพี่จื่ออีได้อย่างไรกัน”
จื่อหลิงกล่าวขณะยิ้ม ทำให้จื่ออีได้แต่ส่ายหัว
“จื่อหลิง เ้าอย่าเอาแต่พูดถึงข้าเลย เ้าน่ะไปค้นหาทักษะดาบของเ้าก่อน”
“ฮิๆๆ” จื่อหลิงหัวเราะ “พี่จื่ออี ทำไมจู่ๆ จื่อโฉงถึง้าแต่งงานกัน? ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีหญิงสาวที่ชื่นชอบแล้ว”
เมื่อจื่ออีได้ยินคำพูดของจื่อหลิง นางก็ขมวดคิ้วจากนั้นก็กล่าวว่า “วันไหว้บรรพบุรุษกำลังใกล้เข้ามาแล้ว จื่อโฉงต้องแต่งงานเพื่อเข้าถึงพื้นที่ต้องห้าม ดังนั้นการแต่งงานของเขาจึงเป็เื่ปกติอย่างมาก ส่วนหญิงสาวที่จะแต่งงานกับเขา ข้าได้ยินมาว่าพวกเขารู้จักกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น มิฉะนั้นข้าคงไม่รู้อะไรมากไปกว่าเ้า”
ดวงตาของจื่อหลิงเป็ประกาย จากนั้นนางก็ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ
แต่ในขณะนั้นชายหนุ่มที่นอนอยู่บนรถม้าก็ขยับนิ้วมือ ทำให้จื่อหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “เขาฟื้นแล้ว”
จากนั้นแขนของชายหนุ่มก็เริ่มขยับ เปลือกตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้น
ดวงตาของชายหนุ่มนั้นทั้งโตและงดงาม ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความคลุมเครือบางอย่างในแววตา
ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลินเฟิง
หลังจากที่เขาแยกกับต้วนซินเยี่ยมาและเดินทางไปได้สักพัก เขาพลันรู้สึกว่าร่างกายของตนไม่ไหวแล้ว เขาจึงล้มพับไปที่พื้นและสมองก็ว่างเปล่า
เกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้เื่เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งผ่านไปหลายวันเขาก็ยังไม่เข้าใจ
จื่อหลิงและจื่ออีต่างก็ประหลาดใจเมื่อพวกนางเห็นหลินเฟิง เขาเป็ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ในขณะที่กำลังพิจารณาใบหน้าเขาอยู่เช่นนั้น หลินเฟิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นขณะนอนอยู่บนพื้นรถม้า
“ข้าอยู่ที่ไหน?”
หลินเฟิงกล่าวถามอย่างมึนงงขณะจ้องมองหญิงสาวทั้งสอง
“ในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว ข้าชื่อจื่อหลิง เ้าหมดสติอยู่บนพื้นถนนและพวกข้าบังเอิญเจอเ้า ดังนั้นพวกข้าจึงพาเ้าเข้ามาในรถม้าของพวกเรา” จื่อหลิงกล่าวขณะกะพริบตาไม่หยุด จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ทำไมเ้าถึงนอนสลบอยู่บนถนนสายนี้กัน? เ้าเป็ทหารหรือ? แล้วเป็ทหารยศอะไร? เ้าแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?”
จื่อหลิงรัวคำถามไปไม่หยุดหย่อน จึงทำให้หลินเฟิงที่มึนงงอยู่แล้วยิ่งปวดหัวขึ้นไปอีก เขาเพียงถามนางกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวยว่า “ขอให้ข้าลุกนั่งก่อนได้หรือไม่?”
“อื้ม” จื่อหลิงกล่าวอย่างรู้สึกไม่ค่อยดีนัก จากนั้นหลินเฟิงก็ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้หลินเฟิงก็นั่งอยู่ตรงข้ามนางพอดี
“ข้ามีนามว่าหลินเฟิง เพราะข้าได้รับาเ็ถึงได้หมดสติไป แล้วข้าก็เป็ทหารยศธรรมดา ส่วนความแข็งแกร่งก็...”
ขณะกล่าวไปนั้นหลินเฟิงก็ดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ตัว ทว่าเวลาต่อมา หลินเฟิงก็ต้องประหลาดใจ เพราะรอบตัวเขาในตอนนี้มันว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหยวนชี่
“เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนนี้หัวใจของหลินเฟิงกำลังสั่นระรัว ม่านตาพลันหดลง เขาจำได้ว่าเขาสามารถทะลวงขอบเขตได้แล้ว ความแข็งแกร่งก็น่าจะเพิ่มขึ้น แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงไม่สามารถดูดซับหยวนชี่ได้ และเขาก็ไม่สามารถรวบรวมหยวนชี่ฟ้าดินรอบๆ ตัวได้
“เ้าเป็อะไรไป?” จื่อหลิงถามขึ้น เมื่อนางเห็นสีหน้าของหลินเฟิงเปลี่ยนไป จากนั้นนางก็ถามต่อว่า “เ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเ้าแข็งแกร่งแค่ไหน?”
หลินเฟิงเหลือบมองจื่อหลิงแล้วหลับตาลง เขายังคงสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวเขาได้ชัดเจน
แม้เขาจะไม่ได้ปลดปล่อยขั้นแรกของจิติญญาแห่ง์ แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็เนื้อ กล้ามเนื้อและเส้นโลหิตของเขา เขาเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
หากหลินเฟิง้าเขาสามารถรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ได้โดยมีรัศมีหนึ่งพันกิโลเมตร ทุกสิ่งเบื้องหน้าทั้งหมดจะปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“ใช่แล้ว! ข้าได้ก้าวข้ามไปอีกขั้นของขอบเขตแล้ว นอกจากนี้โครงกระดูกในร่างกายของข้าดูเหมือนจะสมบูรณ์มากกว่าแต่ก่อนด้วย”
หลินเฟิงลืมตาขึ้นและปล่อยหมัดออกไป เขาแข็งแกร่งมากกว่าเดิม แม้จะไม่มีหยวนชี่ แต่เมื่อพูดถึงพละกำลัง ตอนนี้เขาทรงพลังมากแม้จะไม่พึ่งหยวนชี่ฟ้าดิน นั่นหมายความว่าในตอนนี้เขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงยังคงพยายามรวบรวมหยวนชี่ฟ้าดิน แต่ถ้าจะพูดให้ถูก นั่นก็คือหยวนชี่ภายในร่างกายของเขามันว่างเปล่า
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินเฟิงคิดขณะขมวดคิ้ว เขาแข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่กลับไม่มีหยวนชี่ใดๆ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าหลังจากที่เขาทะลวงสู่ขอบเขตหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบ ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป? ทำให้หยวนชี่ภายในร่างกายต้องเหือดแห้ง?
หลินเฟิงลองดูดซับหยวนชี่อีกครั้ง แต่มันเพียงแค่ไหลเวียนเข้าไปในร่างกาย ทว่ามันไม่ถูกดูดซับเข้าไปข้างใน เหมือนกับว่าโลกภายนอกและภายในร่างกายของเขาถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
หลินเฟิงไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินมา ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
เวลายิ่งผ่านไปนานเข้าหลินเฟิงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหัวคิ้วของหลินเฟิงก็เริ่มผ่อนคลายและปล่อยไปตามธรรมชาติ
บางทีมันอาจเป็เื่ดี บางทีเขาอาจเข้าไปในเส้นทางแห่งนักรบที่ไม่มีใครรู้จัก
เมื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้ใบหน้าของหลินเฟิงก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น เขาในตอนนี้ไม่มีลมปราณที่แข็งแกร่งนักและไม่ได้มีลมปราณที่ผิดปกติ แต่เป็เพียงบุรุษธรรมดาคนหนึ่งที่หน้าตาดีมาก
“ทำไมเ้าถึงไม่พูด?”
จื่อหลิงกล่าวถามอีกครั้ง ขณะจ้องมองหลินเฟิงที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป
หลินเฟิงเงยหน้ามองจื่อหลิง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีความแข็งแกร่ง”
“ไม่มีความแข็งแกร่ง?” จื่อหลิงถอนหายใจอย่างรู้สึกประหลาดใจ
“เศษขยะ?”
จื่ออีกล่าวตรงๆ นางขมวดคิ้ว คนที่ไม่มีความแข็งแกร่งก็คือเศษขยะ แต่ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้ หากไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกทอดทิ้ง แม้จะมีร่างกายสมบูรณ์แบบราวกับ์ประทานให้ก็ตาม
สายตาของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย เหยียดหยาม และดูถูกขณะมองไปที่หลินเฟิง