ภายในงานมีเพลงประกอบการมอบรางวัลและเสียงโห่ร้องยินดีของผู้ชมดังออกมาเมื่อ “จักรพรรดินีจอเงิน” คนใหม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน เธอเป็นักแสดงหญิงมากความสามารถที่ได้รับเลือกเข้าชิงรางวัลมาหลายครั้ง และในที่สุดปีนี้เธอก็สมปรารถนาแล้ว
ตลอดทางที่ฉีลั่วอิ่งเดินอยู่มีจอภาพแขวนเอาไว้ บนหน้าจอกำลังฉายบรรยากาศในงานประกาศรางวัล เมื่อมองไปยังเวทีที่กว้างขวาง งานพิธีที่ยิ่งใหญ่ และใบหน้าของผู้ร่วมงานแต่ละคนที่พยายามรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้ากล้อง จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
ถ้าเขากลับเข้าไปตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่การแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ทำทีเหมือนไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็ไร จากนั้นก็เตรียมรับมือกับคนในวงการบางส่วนที่จะมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือไม่ก็นำความจริงมาทำเป็มุกตลกเสียดสี สุดท้ายก็จะถูกสื่อจี้ถามความรู้สึกของประสบการณ์ที่ตกม้าตายถึงสามครั้ง
ฉีลั่วอิ่งสามารถรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเมื่อปีก่อนที่ไม่ได้รับรางวัลเขาก็ทำแบบนั้น แต่ปีนี้เขาไม่อยากรับมือด้วยวิธีการเ่าั้อีกแล้ว
เขาเรียนการแสดงเพราะความชื่นชอบ ไม่ใช่เพื่อใช้แค่นยิ้มยินดีในเวลาแบบนี้
สถานที่จัดงานประกาศรางวัลอยู่ทางซ้ายมือ แต่ฉีลั่วอิ่งเลือกเดินไปทางขวา
ฉีลั่วอิ่งตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าที่ดูทางการบนตัวเขานั้นสะดุดตาเกินไป จึงเดินพร้อมกับถอดเสื้อคลุมสูทตัวนอกออก ปลดเนกไทเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ และจัดทรงผมให้ยุ่งๆ ปล่อยผมหน้าม้าที่ยาวเล็กน้อยลงมาบังหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวังว่าจะไม่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากเกินไป
อีกครึ่งเดือนก็จะสิ้นปีแล้ว ขณะนี้อุณหภูมิด้านนอกลดลงไปถึงสิบสองสิบสามองศา ส่วนค่ำคืนนี้มีฝนตกปรอยๆ และลมพัดมาเป็่ๆ จนรู้สึกหนาวเหน็บราวกับโดนเข็มทิ่มแทง
อย่างไรก็ตาม ฉีลั่วอิ่งไม่ได้สนใจสภาพอากาศตรงหน้าเลยสักนิด แม้การแอบหนีออกจากงานประกาศรางวัลจะทำให้เขาไม่สามารถติดต่อผู้ช่วย เพื่อเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนติดตัวไปได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังโทรศัพท์เรียกรถได้ เขารู้ว่าตัวเองแข็งแรงและสุขภาพดี ดังนั้น การรอรถแค่ไม่กี่นาทีจึงไม่มีทางทำให้เขาเป็ไข้ขึ้นมาได้
งานประกาศรางวัลยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สื่อมวลชนทุกเ้าต่างก็จดจ่ออยู่กับบรรยากาศและเหตุการณ์ภายในงาน จนไม่มีใครทันสังเกตว่ามีดาราคนหนึ่งแอบออกจากงานทางประตูหลัง ฉีลั่วอิ่งพยายามก้มหน้าลงและรีบขึ้นแท็กซี่ไป
คนขับรถแท็กซี่เป็คนมีอายุที่ไม่ดูละครและไม่ได้ติดตามดารา แม้จะสงสัยว่าเขารับดารามาหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นผู้โดยสารหน้าหล่อที่เบาะหลังนั่งหลับตาสงบสติอารมณ์ทันทีที่ขึ้นรถ ไม่มีท่าทีว่า้าสนทนากับใคร เขาจึงปิดปากเงียบอย่างชาญฉลาด ผ่านไปไม่นานรถก็มาจอดด้านหน้าที่พักระดับไฮเอนด์ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง
ฉีลั่วอิ่งจ่ายเงินและมองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นคนน่าสงสัยก็เดินเข้าไปในอาคารอย่างว่องไว
“คุณฉี ยินดีต้อนรับกลับครับ” ผู้ดูแลเคาน์เตอร์ในห้องโถงที่สวมชุดเครื่องแบบกล่าวทักทายเขาอย่างสุภาพ
ฉีลั่วอิ่งพยักหน้ายิ้มบางๆ พร้อมพูดตอบรับว่า “ทำงานหนักแล้ว” จากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟต์
ข้อดีของที่พักแห่งนี้คือระบบการจัดการที่เข้มงวด ผู้ดูแลและพนักงานรักษาความปลอดภัยจะรู้จักผู้พักอาศัยทุกคน จึงไม่ใช่เื่ง่ายที่ผู้ไม่เกี่ยวข้องจะแฝงตัวเข้ามา แต่แน่นอนว่าที่นี่ก็มีข้อเสียเช่นกัน บางครั้งที่ฉีลั่วอิ่งรีบ ไม่มีเวลาตอบรับพนักงาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ
เมื่อเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์ ฉีลั่วอิ่งก็ปิดประตูลง และรู้สึกได้ถึงการผ่อนคลายอย่างแท้จริง
อะพาร์ตเมนต์ระดับไฮเอนด์บนชั้นที่สิบสองแห่งนี้ เป็ห้องที่ฉีลั่วอิ่งซื้อไว้เมื่อสามปีก่อน เขาเลือกสไตล์การตกแต่งเองทั้งหมด ไม่ว่าจะห้องรับแขก ห้องอาหาร หรือห้องครัว ก็ล้วนเป็การตกแต่งแบบเปิด สว่าง และไม่ยุ่งยาก จึงไม่มีพื้นที่ใดที่โล่งหรือซับซ้อนเป็พิเศษ นอกจากนี้เขายังเลือกใช้โทนสีขาวเป็หลัก แล้วประดับด้วยสีน้ำเงินเทาและสีเทาควัน ทำให้ห้องของเขานั้นเรียบง่ายแต่สง่างาม
เขาผู้เคยชินกับชีวิตในวงการบันเทิงที่มีสีสัน กลับอยากแต่งบ้านออกมาให้เรียบง่ายสักหน่อย แม้ว่าในปีปีหนึ่งเขาจะถ่ายละครอยู่ข้างนอกจนแทบไม่ได้กลับบ้านก็ตาม
ห้องรับแขกมีโซฟานำเข้ารูปตัวแอลจัดวางอยู่ เป็โซฟาแฮนด์เมดที่ทั้งตัวทำจากหนังวัว แม้จะมีราคาแพงแต่คุณภาพก็สูง ทั้งขนาดใหญ่และมั่นคง ยิ่งนอนลงไปก็ยิ่งรู้สึกสบายมากๆ
อีกด้านของโซฟาเป็กระจกใสสูงจรดเพดาน ฉีลั่วอิ่งมักจะเอนตัวกึ่งหนึ่งอยู่บนโซฟา เพียงแค่เปิดโคมระย้าสร้างบรรยากาศ รินไวน์หนึ่งแก้ว ชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนไปพลางผ่อนคลายจิตใจไปพลาง สบายใจเป็อย่างยิ่ง
ฉีลั่วอิ่งพาดเสื้อคลุมสูทเอาไว้ด้านหลังของเก้าอี้โซฟาอย่างไม่ใส่ใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟ นั่งลงไปบนโซฟา ปลดกระดุมคอเสื้อและแขนเสื้อ กดรีโมตไปที่เครื่องสเตอริโอ จากนั้นเสียงเพลงที่บรรเลงด้วยเปียโนก็ดังออกมาเบาๆ
เขาเพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน เสียงริงโทนมือถือก็ดังขึ้น เมื่อเหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็สายจาก “อาโย่ว” ผู้ช่วยของเขา
ฉีลั่วอิ่งเลื่อนสายตากลับมา ไม่ได้รับโทรศัพท์ แล้วกดเพิ่มเสียงสเตอริโอให้ดังขึ้น
เสียงริงโทนมือถือที่ดังอยู่นานก็ตัดไป แต่เงียบได้ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คนที่โทรมาก็ยังเป็อาโย่วเช่นเดิม
ฉีลั่วอิ่งยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มาปรับเสียงให้อยู่ในโหมดเงียบ และวางลงไปบนโต๊ะกาแฟดังเดิม
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่บาร์เล็กหน้าห้องครัว หยิบน้ำแข็งในตู้เย็นมาใส่แก้วใส จากนั้นก็รินวิสกี้ลงไปเล็กน้อย แกว่งแก้วในมือเบาๆ ให้น้ำแข็งละลายผสมเข้ากับเหล้า แล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขกอย่างเชื่องช้า และเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างอยู่
ผ่านไปสิบนาที คนที่โทรมายังคงไม่ยอมแพ้ แม้สายจะตัดไปก็ยังโทรมาต่อ
ฉีลั่วอิ่งจิบของเหลวสีอำพันลงคอ สายตาที่จ้องมองโทรศัพท์นั้นแสดงความจนใจออกมาราวกับค้นพบมโนธรรม ในที่สุดเขาก็จำใจรับสายและตอบอย่างเฉื่อยชา “ฮัลโหล?”
“ฉีเกอ พี่อยู่ที่ไหน? ผมรอจนคนในงานออกไปหมดแล้วยังไม่เห็นพี่เลย คนเก็บกวาดสถานที่จัดงานยังถามผมอยู่เลยว่าผมหลงกับเพื่อนหรือเปล่า ผมถามไปทั่วว่ามีใครเห็นพี่บ้างไหม แต่ก็โดนเข้าใจว่าเป็แฟนคลับของพี่อีก ไม่มีใครยอมบอกผมเลย” ทันทีที่โทรติด อาโย่วก็รัวคำพูดออกมาชุดใหญ่ราวกับะุปืน ฟังน้ำเสียงแล้วค่อนข้างน่าสงสาร
อาโย่วเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เขาเสียงดังถึงขนาดทำให้ฉีลั่วอิ่งเกิดภาพหลอนว่าแก้วหูได้รับาเ็ จึงรีบลดเสียงโทรศัพท์ลงและนั่งอยู่บนโซฟา “ฉันเพิ่งถึงบ้าน”
“พี่ถึงบ้านแล้ว? พี่กลับไปั้แ่เมื่อไร? ไม่ใช่ว่ายังมีงานเลี้ยงฉลองอย่างเป็ทางการต่อเหรอ?”
ฉีลั่วอิ่งชินกับคำถามลวกๆ ที่นับไม่ถ้วนของผู้ช่วยแล้ว โชคดีที่ความสามารถในการจับประเด็นสำคัญของเขาไม่เลวเลย “ไม่ไปแล้ว”
“ผมจำได้ว่าเซวียเกอบอกจะมีนักลงทุนคนหนึ่งไป เหมือนอยากไปกินข้าวกับพี่ ฉลองไปด้วย──แค่ก คุยเกี่ยวกับหนังเื่หน้าไปด้วย”
“ไม่ไป”
“แต่เซวียเกอบอกว่าพี่ต้องไป”
“ฉันไม่เคยตอบตกลง”
“แต่ว่า──”
“ถ้าเซวียข่ายซินโทษนาย นายก็โบ้ยมาที่ฉันก็ได้”
“เซวียข่ายซิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เซวียเกอ” เป็ผู้จัดการของฉีลั่วอิ่งที่ซิงเหอ[1]จัดหามาให้ เขามีเส้นสายกว้างขวาง เข้ากับคนง่าย แต่ค่อนข้างเห็นแก่เงินและชอบคิดเล็กคิดน้อย ข้อดีของการทำงานกับคนแบบนี้ คือ ค่าตัวในการเป็แอมบาสเดอร์และถ่ายโฆษณาจะเจรจาได้ราคาสูงกว่าคนอื่น แต่ข้อเสียก็คือตารางงานของเขาจะถูกยัดจนแน่นเอี้ยด
“ผมใช้ไม้นี้บ่อยจนใช้ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมโดนด่าอย่างน่าอนาถทุกครั้งเหรอ? เดือนที่แล้วไปถ่ายปกนิตยสารสายสองชั่วโมง ผมก็ถูกหักเงินค่าแรงไปสามวัน หัวใจของผมแตกสลายจนหลั่งเืแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้นฉีลั่วอิ่งก็หัวเราะออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าฉันชดเชยให้นายไปสามเท่าเหรอ?”
“ถึงการได้เงินชดเชยสามเท่าจะดีมาก แต่าแในใจของผมก็ไม่สามารถประเมินค่าได้หรอก ถ้าเลือกได้ผมก็อยากจะทำงานให้ดีมากกว่า!”
“โอ้?” ฉีลั่วอิ่งส่งเสียงตอบกลับไปครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่มีความเย้าแหย่ ยืนยัน และขอไปที
“ครั้งนี้เื่ที่เซวียเกอมอบหมายมาเหมือนจะสำคัญมาก ถ้าพี่ไม่ไปผมกลัวว่าผมจะถูกไล่ออกจริงๆ”
“วางใจเถอะ ฉันจะจ่ายค่าชดเชยให้” ฉีลั่วอิ่งจิบเหล้าไปอีกอึก กลิ่นหอมของพรรณไม้ภายในเหล้าโชยเข้ามาเต็มจมูก เหล้าที่ไหลลงคอให้ความรู้สึกแสบร้อนตามมาด้วย
“ผมไม่้าเงินชดเชย!”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่จ่ายให้”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น!”
----------
ฉีลั่วอิ่ง : “เก็บเงินชดเชยเอาไว้แล้ว จะซื้ออะไรดีนะ?”
…………………………
[1] บริษัทต้นสังกัดของฉีลั่วอิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้