บังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง?
เมิ่งเชวี่ยไป๋ดูประหลาดใจมากเช่นกันที่เห็นฉีลั่วอิ่ง เขาหยุดฝีเท้าและยืนอึ้งอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอย่างอื่น
ฉีลั่วอิ่งสบตาของเมิ่งเชวี่ยไป๋อย่างสงบนิ่ง ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย และเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเสื้อ เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองกำลังอ่านความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ต
ในขณะเดียวกัน สายตาของเมิ่งเชวี่ยไป๋ก็เลื่อนไปมองถังขยะที่อยู่ข้างตัวฉีลั่วอิ่ง แล้วก็ค่อยๆ เลื่อนกลับมามองหน้าของเขา
ได้ยินแล้วแน่นอน!
ฉีลั่วอิ่งไม่ได้ตื่นตระหนก เขาคิดคำแก้ตัวไว้เรียบร้อยแล้วและพูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “บังเอิญชนเข้าน่ะ แต่ดูแล้วไม่ได้เสียหายอะไรนะ”
เขาไม่มีทางยอมรับว่าเตะถังขยะเพื่อระบายอารมณ์อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่มีทางที่จะอธิบายเหตุผลให้เมิ่งเชวี่ยไป๋ฟังด้วย
“ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว” เสียงของเมิ่งเชวี่ยไป๋เ็าอย่างเป็ธรรมชาติ จังหวะการพูดราบเรียบไม่ค่อยมีความขึ้นลง เหมือนกับวิดีโอที่เขาให้สัมภาษณ์ในอินเทอร์เน็ต แม้จะเป็เพียงบทสนทนาสั้นๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกห่างเหินและไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ
ฉีลั่วอิ่งยืดตัวขึ้นพร้อมยื่นมือออกไปอย่างสุภาพ “สวัสดี ฉันคิดว่าพวกเราไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้วมั้ง?”
เมิ่งเชวี่ยไป๋มองไปที่มือข้างนั้นนิ่ง มีท่าทางเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไว้ จนกระทั่งมือของฉีลั่วอิ่งค้างอยู่กลางอากาศเป็เวลานาน เมิ่งเชวี่ยไป๋ถึงได้พูดออกมาว่า “ผมไปล้างมือก่อนดีกว่า”
เมิ่งเชวี่ยไป๋เพิ่งออกมาจากห้องสุขา แต่ฉีลั่วอิ่งก็รีบเข้าไปจับมือทันที สถานการณ์ไม่สามารถกระอักกระอ่วนได้มากกว่านี้อีกแล้ว จนฉีลั่วอิ่งเกือบหลุดการควบคุมสีหน้า แต่โชคดีที่เขาเป็นักแสดงมืออาชีพ ทักษะการแสดงถึงได้เข้ามาช่วยในเวลาแบบนี้
ฉีลั่วอิ่งยังยืนตัวตรงมั่นคงอยู่เช่นเดิม เขาแสดงรอยยิ้มตามมารยาทออกมา และเก็บมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างใจเย็น ท่าทางราวกับกำลังถ่ายนิตยสารอย่างไรอย่างนั้น
“ยินดีด้วยกับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่”
เมิ่งเชวี่ยไป๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ผมไม่คิดว่ากรรมการเป็กลางสักเท่าไร”
ฉีลั่วอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเมิ่งเชวี่ยไป๋จะมีความคิดแบบนี้ และยิ้มออกมาบางๆ “กรรมการมีอคติมากอยู่แล้ว” เขาสองคนเพิ่งเจอกันครั้งแรก จึงไม่อยากคุยเื่นี้ให้ลึกซึ้งมากเกินไป และถ้าคำพูดลับหลังกรรมการถูกเผยแพร่ออกไปคงจะไม่น่าฟัง เขาจึงให้คำแนะนำในฐานะรุ่นพี่ “นายอย่าไปพูดแบบนี้ต่อหน้าสื่อเชียว เดี๋ยวคนจะด่านายว่าได้ผลประโยชน์แล้วยังจะทำตัวเป็คนดีอีก แล้วก็ไม่รู้ว่ากรรมการพวกนั้นจะจดจำความแค้นเอาไว้หรือเปล่าด้วย”
ในปีที่ฉีลั่วอิ่งรับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เขาได้ให้สัมภาษณ์อย่างไม่ทันระวังตัวว่า “ผมคิดว่านักแสดงอีกท่านเหมาะสมที่จะได้รางวัลมากกว่าครับ” หลังจากปีนั้น ฉีลั่วอิ่งก็ไม่เคยได้รางวัลจากงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ทองคำอีกเลย แม้เขาจะไม่สามารถพิสูจน์เบื้องลึกเื้ัได้ แต่เพราะเื่นี้เขาจึงโดนผู้จัดการอบรมสั่งสอนอยู่เป็เวลานาน
“ขอบคุณ”
ฉีลั่วอิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดมากเกินไป ทั้งๆ ที่อยู่ในวงการนี้มาสิบปีและไม่ใช่หนุ่มน้อยเืร้อนอย่างตอนนั้นแล้ว แต่ทำไมถึงยังเป็คนสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้? พอคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ค่อนข้างรีบร้อนจบบทสนทนา “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปทำธุระของนายต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”
“ผมไม่มีธุระ”
“ไม่ใช่ว่าจะไปล้างมือเหรอ?”
“เื่นั้นไม่นับว่าเป็ธุระ”
ฟังไม่ออกหรือไงว่ามันเป็มารยาทน่ะ? ไม่จำเป็ต้องตอบจริงจังขนาดนี้ก็ได้!
รอยยิ้มของฉีลั่วอิ่งแข็งทื่อเล็กน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยสัมภาษณ์เมิ่งเชวี่ยไป๋ทันที
“ฉันยังมีธุระอีก มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
นายไม่ยุ่ง ถ้าอย่างนั้นฉันยุ่งก็ใช้ได้แล้วใช่ไหม?
น้ำเสียงของฉีลั่วอิ่งเรียกได้ว่าเป็มิตรมาก แม้จะแฝงความนัยที่อยากจากไปเต็มที แต่เพราะสีหน้าที่แสดงการขอโทษนั้นดูจริงใจอย่างยิ่ง ต่อให้อีกฝ่ายเป็คนที่แข็งกร้าวกว่านี้ก็คงละอายใจไม่น้อยถ้าจะกล่าวโทษเขา ดังนั้น ประโยคสุดท้ายที่ว่า “มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่” จึงเป็คำพูดตามมารยาท เขาไม่คิดจะคุยอะไรกับเมิ่งเชวี่ยไป๋ต่อหรอก สุดท้ายแล้วก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่สนทนาที่น่าพูดคุยด้วย
เมื่อพูดจบเขาก็หมุนตัวเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก
“เดี๋ยวก่อน”
ฉีลั่วอิ่งคาดไม่ถึงว่าจะถูกรั้งตัวไว้ แม้จะรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยังหยุดฝีเท้าลง เขาร้อนใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเื่เตะถังขยะอย่างเสียมาดเมื่อครู่นี้ หวังว่าเมิ่งเชวี่ยไป๋จะไม่เอาเื่นี้มาขู่เขา ถึงจะไม่อยากคิดเช่นนี้แต่เขาก็ต้องตั้งป้อมระวังตัวเหมือนกัน
ในวงการก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากที่เื่เล็กๆ กลายเป็ข่าวครึกโครมอยู่หลายวัน แล้วเขาเองก็ถูกถล่มมาไม่น้อยแล้ว
อยากได้พื้นที่สื่อเหรอ? หรืออยากให้เขาถอนตัวจากบทของหนังเื่ไหน? หรือว่าอยากจะให้แสร้งเป็เพื่อนที่ดีเพื่อสร้างกระแสให้กันและกัน?
ฉีลั่วอิ่งกดความคิดดำมืดในใจลงไป แล้วหันมายิ้มอย่างขอโทษ “ถ้าถังขยะมีอะไรเสียหาย เดี๋ยวฉันจะชดใช้ตามราคาเลย ส่วนเื่ในวันนี้──”
“ผมคิดว่าคุณแสดงเื่《เนินเขาในหน้าร้อน》ออกมาได้ดีมากเลย” เมิ่งเชวี่ยไป๋พูดตัดบท ดวงตาสีเข้มมีเสน่ห์ทั้งสองข้างจับจ้องมาที่ฉีลั่วอิ่ง แม้สีหน้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก น้ำเสียงราบเรียบ และรูปประโยคก็ตรงไปตรงมา แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นจริงใจมาก
หือ? เมิ่งเชวี่ยไป๋กำลังปลอบใจเขาเหรอ?
อีกอย่าง นี่เป็ประโยคที่ยาวที่สุดที่ฉีลั่วอิ่งได้ยินเมิ่งเชวี่ยไป๋พูดในคืนนี้แล้ว คนคนนี้เ็าถึงขนาดที่ว่าตอนขึ้นไปรับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ก็พูดแค่ “ขอบคุณทุกคน” แต่ตอนนี้กลับใช้คำจำนวนสูงสุดเป็สิบคำมาปลอบใจเขาเลย?
“ขอบคุณ” ฉีลั่วอิ่งอึ้งไปสองสามวินาที จากนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ แล้วพูดขอบคุณด้วยท่าทางปกติ เขามองเมิ่งเชวี่ยไป๋อย่างลึกซึ้ง และเปิดประตูเดินจากไป
หลังจากฉีลั่วอิ่งปิดประตูก็ใช้นิ้วคลายปมเนกไทออกเล็กน้อยและสูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจจะลืมเื่ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำเมื่อครู่นี้ไปให้หมด
เขาไม่ได้ตกต่ำถึงจุดที่้ากำลังใจจากนักแสดงหน้าใหม่เสียหน่อย
----------
ความในใจของเมิ่งเชวี่ยไป๋ : “เจอกันครั้งแรกฉันทำพังใช่ไหม? ทำยังไงดี? เขาจะคิดว่าฉันแปลกหรือเปล่า?” (อยู่ภายในใจเป็หมื่นล้านคำ ส่วนภายนอกก็ยังคงไร้อารมณ์ต่อไป...)